 LOGIN
LOGINยามราตรีปกคลุมดินแดนไอยคุปต์อีกครา... แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงเหนือแม่น้ำไนล์ หากแต่มิอาจกลบเงามืดแห่งริษยาและเพลิงอิจฉาที่ค่อย ๆ ก่อตัวในพระราชวังหลวง
ข่าวลือเรื่อง ‘นางทาสจากแดนชมพูทวีป’ ผู้ทำให้ฟาโรห์เมเรนคาเร ทรงเปลี่ยนจากความเฉยชา เป็นพระราชาที่ทรงเริ่มยิ้มแย้มและมีพระบัญชากับนางผู้นี้ถี่บ่อยยิ่งนัก... ได้แพร่กระจายไปราวไฟลามต้นกก
และภายในห้องสนมเอก ที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักกลางอันงดงามระยับนั้นเอง กลิ่นชาดหอมกรุ่นจรุง... ปะปนกับกลิ่นความเคลือบแคลงใจ
“เจ้าเห็นหรือไม่... ฟาโรห์มิทรงทอดพระเนตรพวกเราอีกต่อไป...” สุ้มเสียงของ ‘เนเฟรตารี’ สนมเอกแห่งวังหลวง ทายาทของตระกูลขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองเธบส์ เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย
“แต่ทรงวาดภาพดอกบัว… หัวร่อต่อกระซิกกับนางทาสไร้ตัวตนจากแคว้นล่มสลาย!!!” สนมอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริมเสียงแหลมเจือพิษริษยา สายตาดุร้ายจิกมองออกไปยังนอกตำหนักสนมที่อยู่รวมกันนับสิบคน นางมักสอพลอยกยอสนมเอกอยู่เนืองๆ และเพียรพยายามยกตนข่มสนมบรรณาการต่างถิ่นต่างแดนอยู่ตลอด และไม่ยอมน้อยหน้าและลงให้สนมคนใด... ยกเว้นสนมเอกเนเฟรตารี เท่านั้น
ในตำหนักกลางที่พำนักของเหล่าสนมทั้งหลาย จะมีตำหนักสนมเอกอยู่ทั้งหมดสี่ตำหนัก เรียงรายตามแต่ฟาโรห์จะแต่งตั้งขึ้นตามชาติตระกูลต้นกำเนิดความเป็นมาของนางแต่ละคน สนมเอก สนมรองต้น สนมรองฝ่ายซ้าย สนมรองฝ่ายขวา ทั้งสามนางจะขึ้นตรงกับสนมเอกแต่เพียงผู้เดียว สำหรับสนมบรรณาการที่ไม่มีตำแหน่งจะเป็นเพียง สนมปลายแถว ไม่มีที่นั่งในพระราชพิธีใดใด จะถูกจัดให้นั่งรวมกลุ่มกันเรียงรายตามลำดับก่อนหลังที่ทรงรับเข้ามาสู่ตำหนักบูรพา
“อัมพุ… เจ้าคือผู้ใดกัน!!!” เนเฟรตารีเอ่ยชื่อนั้นอย่างเยียบเย็น
“นางช่างร้ายกาจนัก!!! ซ่อนคมมีดไว้ใต้พู่กัน ซ่อนเวทมนตร์ไว้ในกลิ่นดอกไม้”
ณ ตำหนักกลางยามดึก เสียงดังกรอบแกรบจากผืนทรายด้านนอกดังเบา ๆ เมื่อสาวใช้คนหนึ่งรีบร้อนโผเข้าประตูหน้าตำหนักของสนมเอก คลานไปคุกเข่าหน้าสนมเอกเนเฟรตารี
“สนมเอก… ข้าได้ยินจากสาวใช้ตำหนักทิศตะวันออกว่า…”
“มีอันใด จึงร้อนรนเข้ามาหาข้า ข้ามิได้เรียกหา ...บังควรรึ เจ้าอยากถูกลงโทษอย่างนั้นรึ!!!” สนมเอกขึ้นเสียงแหลมดุด่าข้ารับใช้
“มิได้...เจ้าค่ะ ข้า...ข้ามีเรื่องอยากเอามาเล่าให้สนมเอกได้รับรู้” เสียงสาวรับใช้ลนลานเกรงกลัว กล่าวอย่างตะกุกตะกัก
“…ฟาโรห์ทรงอยู่ในห้องบรรทม และเรียกหาแต่ อัมพุ นางทาสนั่น...มาถวายการวาดภาพก่อนบรรทมแทบทุกคืน ... เจ้าค่ะ”
เนเฟรตารีลุกพรวดจากเบาะทอง ปลายเล็บที่ทาสีครั่งแดงกำแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยังไม่เท่ากับความคับแค้นแทบอกระเบิดที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น
“พอกันที!!! เราจะไม่ยอมให้นางทาสนั่นใช้ปลายพู่กันมาทำลายศักดิ์ศรีพวกเราอีก”
น้ำเสียงตวาดดังลั่น จนสนมอื่นๆ ที่อยู่ข้างตำหนักใหญ่โผล่หน้าออกมาซุบซิบด้วยกระหายใคร่รู้เรื่องราว
อีกมุมหนึ่งภายในวังหลวง อัมพุชินีมิได้รู้เลยว่าตนเองตกเป็นเป้าในเงามืด เธอยังคงเดินไปตามเส้นทางหินอ่อนเรียงรายด้วยเสาสลักรูปเทพีฮาเธอร์ มุ่งหน้าไปยังสวนบัวหลวงส่วนพระองค์ ตามคำบัญชาของฟาโรห์เมเรนคาเร ซึ่งทรงประสงค์จะให้เธอวาดภาพใหม่ถวาย
ค่ำคืนนั้น... พระองค์มิได้เสด็จมาดังเคย ทิ้งให้หญิงสาวนั่งรออยู่ริมสระบัวและความเงียบงัน และในเวลาเดียวกัน... แผนร้ายก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
รุ่งเช้า ณ ห้องพระโอสถหลวง...
เสียงโกลาหลดังขึ้นเมื่อข้าหลวงนางหนึ่งรุดเข้าไปแจ้งว่า...
“น้ำโอสถที่จะถวายพระองค์เมื่อค่ำคืนก่อน มีผู้ลอบเจือสารพิษบางอย่าง…”
เหล่าหมอหลวงตรวจพบว่า ในหม้อดินน้ำสมุนไพรบัวหลวงนั้น มิใช่เพียงกลิ่นบัว แต่กลับเจือสารจากรากพิษแห่งทะเลทราย จะส่งผลร้ายแรงต่อจิตประสาท
“ใครกันที่กล้าทำร้ายฟาโรห์!!!”
กลางท้องพระโรง พระเนตรของฟาโรห์เคร่งขรึมเย็นเยียบยิ่งนัก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง... คือ พระสุรเสียงรับสั่งตะคอกลั่นสะท้อนกำแพงดังก้องกังวาน
“เรียกอัมพุ มา!!!… ข้าต้องการรู้จากปากนาง”
อัมพุชินีก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงท่ามกลางสายตาเกลียดชังและหวาดระแวงของเหล่าสนมและข้าราชบริพาร
พระพักตร์ของฟาโรห์เมเรนคาเรยังคงสงบนิ่ง มิได้แสดงอาการใดที่บ่งบอกถึงความลำเอียง
“อัมพุ… เจ้าคือผู้จัดเตรียมน้ำบัวหลวงเมื่อคืนนี้!!!”
“เพคะ…” เสียงของอัมพุชินีแผ่วเบา หากแต่หนักแน่น
“ข้ากระหม่อมใช้สมุนไพรจากตำรับเดิม... มิได้เปลี่ยนสิ่งใด... ข้ากล้าถวายสัตย์ต่อฟาโรห์ และต่อเบื้องหน้าของเทพีศักดิ์สิทธิ์ ไอซิส”
ท่ามกลางความตึงเครียด เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น...
“แล้วกล่องเครื่องสมุนไพรของนาง... เหตุใดจึงพบรากพิษแห่งทะเลทราย!!!”
คำกล่าวนั้นออกจากปากของเนเฟรตารี ซึ่งปรากฏกายขึ้นอย่างกรีดกราย หันหน้าชำเลืองด้วยสายตาเยาะหยันไปที่อัมพุชินี พร้อมด้วยข้ารับใช้ของนางสองคนที่สะบัดหน้าไม่พอใจ
ในสถานการณ์ตึงเครียด ข้าราชบริพารต่างจับจ้อง หากแต่ฟาโรห์กลับหรี่พระเนตร คล้ายตรึกตรองวิเคราะห์อย่างลุ่มลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณ
“จงนำอัมพุ...ไปยังห้องขังชั่วคราว ข้าต้องสอบสวนให้รู้...และสิ้นสงสัย”
คำบัญชานั้นทำให้หัวใจของเธอหล่นลงสู่พื้นหินอ่อนแทบหมดแรง เธอถูกคุมตัวไปยังคุกกำแพงหินใต้พระราชวัง... สถานที่แห่งนี้ทั้งคับแคบ ทั้งร้อนระอุ เต็มไปด้วยความมืดมน แทบไร้ลมหายใจ
สามวันผ่านไป
ไม่มีใครมาเยี่ยมเยือน ไม่มีข่าวจากพระองค์ ไม่มีแสงอาทิตย์ ในความเงียบสงัดนั้น อัมพุชินีหลับตานิ่ง นั่งสมาธิ มือประสานกันในท่ารูปดอกบัวบนตัก... อย่างเดียวดาย แม้ข้ารับใช้ที่ติดตามมาสองคนก็ไม่อาจฝ่าฝืนคำบัญชา สั่งห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้ามาอยู่ในคุกกับเธอ
หากแม้นชะตาจะพรากเธอไป… เธอก็ยินดี หากแต่ความสัตย์จริงยังคงเป็นพยานให้เธอ ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในสายตาแห่งองค์ฟาโรห์
จนกระทั่งรุ่งสางวันที่สี่…
ประตูหินถูกเปิดด้วยพระหัตถ์ของฟาโรห์เมเรนคาเร พระองค์ทรงยืนอยู่ตรงหน้าในอาภรณ์เรียบง่าย มิใช่ชุดทรงในราชพิธี พระเนตรทอดมองอัมพุชินีอย่างจับจ้อง ก่อนตรัสเบาๆ
“ข้าพบว่า ร่องรอยในกล่องสมุนไพรของเจ้านั้น... มีรอยรากพิษกระบองเพชรสด ซึ่งเจ้าไม่เคยใช้… นั่นยืนยันว่ามีผู้วางกลลวง” พระหัตถ์ของพระองค์ยื่นมาประคองมือสั่นเทาของเธอให้ลุกขึ้นยืนต่อหน้าพระองค์
“ข้าขออภัยต่อเจ้า... อัมพุ”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากดวงตาของหญิงสาวลงบนฝ่าพระหัตถ์ของฟาโรห์หัวใจหิน แต่บัดนี้หัวใจที่บุด้วยกำแพงน้ำแข็งเริ่มหลอมละลายลง ด้วยน้ำตาของนางทาสจากแดนไกล
“ข้ากระหม่อมไม่เคยถือโทษโกรธพระองค์… แต่ข้าเจ็บปวดนักเพราะพระองค์ไม่ทรงเชื่อที่ข้าได้ทูลไป”
พระองค์มิได้ตรัสใดใดต่อ หากแต่จูงมืออัมพุชินีขึ้นมาจากคุกด้วยพระองค์เอง ท่ามกลางสายตาเหล่าสนมและข้าราชบริพาร ทันทีที่ถึงท้องพระโรง พระองค์ทรงตรัสต่อที่ประชุม...
“ต่อแต่นี้ไป... อัมพุ จักไม่เป็นนางทาส นางคือ ‘ผู้ถวายโอสถและจิตรกรหลวง’ ประจำราชสำนัก” เสียงฮือฮาดังขึ้น... ขณะสนมเอกเนเฟรตารีกัดฟันแน่น เสียงดังกรอดๆ แอบชำเลืองอัมพุชินีอย่างแค้นเคือง
ในเงามืดนั้น...
แผนแรกแม้ล้มเหลว แต่เกมการเมืองในวังไอยคุปต์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
และ อัมพุชินี... กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางของแรงริษยาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ค่ำคืนนี้ พระราชวังหลวงแห่งไอยคุปต์เรืองรองทอประกายแสงแห่งดวงตาเทพรา พระจันทร์ทรงกลดฉาบแสงเงินบนหลังคาทองคำของตำหนักทุกหลัง และในท่ามกลางอุทยานหลวงที่เงียบสงบ ท้องฟ้าดูเหมือนจะเฝ้ามองการเริ่มต้นของบริบทที่สำคัญยิ่ง ...ที่มีเพียงหัวใจสองดวงเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในท่วงทำนองความเป็นไปอัมพุชินี ยืนอยู่หน้าตำหนักขนาดย่อมติดสวนบัวหลวง ที่เพิ่งได้รับพระราชทานจากฟาโรห์เมเรนคาเร พร้อมตราตำแหน่ง "จิตรกรหลวงแห่งไอยคุปต์" เธอเป็นหญิงทาสคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของพระราชวังทองคำแห่งนี้คำกล่าวขานนี้ไม่ใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ 'เกียรติยศ' ที่ไม่มีนางทาสนางใดในไอยคุปต์เคยได้ครอบครองมาก่อนพื้นที่ทำงานภายในตำหนักที่นางได้รับนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยแสงเทียน กลิ่นบัวหลวง และพู่กันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะหินมีผืนผ้าเปลือกไม้จากแคว้นอียาเทป รอให้ศิลปะจากปลายนิ้วเรียวของเธอมอบชีวิตให้อย่างมีสีสัน“ตำแหน่งนี้...หาใช่เพื่อข้าแต่ผู้เดียว...”อัมพุชินีพึมพำ...“หากเพื่อแคว้นที่ล่มสลาย เพื่อพระบิดา เพื่อความทรงจำที่มิอาจถูกลบเลือน”ในขณะเดียวกัน ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จกลับสู่ตำหนักปร
ยามราตรีปกคลุมดินแดนไอยคุปต์อีกครา... แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงเหนือแม่น้ำไนล์ หากแต่มิอาจกลบเงามืดแห่งริษยาและเพลิงอิจฉาที่ค่อย ๆ ก่อตัวในพระราชวังหลวงข่าวลือเรื่อง ‘นางทาสจากแดนชมพูทวีป’ ผู้ทำให้ฟาโรห์เมเรนคาเร ทรงเปลี่ยนจากความเฉยชา เป็นพระราชาที่ทรงเริ่มยิ้มแย้มและมีพระบัญชากับนางผู้นี้ถี่บ่อยยิ่งนัก... ได้แพร่กระจายไปราวไฟลามต้นกกและภายในห้องสนมเอก ที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักกลางอันงดงามระยับนั้นเอง กลิ่นชาดหอมกรุ่นจรุง... ปะปนกับกลิ่นความเคลือบแคลงใจ“เจ้าเห็นหรือไม่... ฟาโรห์มิทรงทอดพระเนตรพวกเราอีกต่อไป...” สุ้มเสียงของ ‘เนเฟรตารี’ สนมเอกแห่งวังหลวง ทายาทของตระกูลขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองเธบส์ เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย“แต่ทรงวาดภาพดอกบัว… หัวร่อต่อกระซิกกับนางทาสไร้ตัวตนจากแคว้นล่มสลาย!!!” สนมอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริมเสียงแหลมเจือพิษริษยา สายตาดุร้ายจิกมองออกไปยังนอกตำหนักสนมที่อยู่รวมกันนับสิบคน นางมักสอพลอยกยอสนมเอกอยู่เนืองๆ และเพียรพยายามยกตนข่มสนมบรรณาการต่างถิ่นต่างแดนอยู่ตลอด และไม่ยอมน้อยหน้าและลงให้สนมคนใด... ยกเว้นสนมเอกเนเฟรตารี เท่านั้นในตำหนักกลางที่พำนักของเหล่าส
ค่ำคืนแห่งไอยคุปต์…... ... ... ...ม่านรัตติกาลทาบทอลงเหนือมหาปิรามิดอันสูงตระหง่าน พระจันทร์ดวงโตลอยคล้อยเหนือแม่น้ำไนล์ เปล่งแสงนวลกระทบผืนน้ำส่องประกายระยิบ ไออุ่นของสายลมแห่งทะเลทรายพัดเบา ๆ ผ่านซุ้มไม้ดอกของพระตำหนักทิศตะวันออก ขับเอากลิ่นบัวหลวงหอมกรุ่นละมุนชวนให้จิตได้เพลิดเพลินผ่อนคลายอัมพุชินี นางทาสจากแดนชมพูทวีป ยังคงดำรงตนอย่างเรียบง่ายในสถานะอันต่ำต้อย หากแต่ในค่ำคืนนี้ เธอกลับได้รับพระบัญชาให้เข้าเฝ้าฟาโรห์เมเรนคาเร ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ด้วยเหตุผลหนึ่ง…“ฝ่าพระบาท คืนนี้ทรงบรรทมไม่หลับอีกหรือ...เพคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาขณะก้มกราบแนบพื้นหินอ่อนเบื้องหน้าฟาโรห์เมเรนคาเร มิได้ทรงสนพระทัยในความอ่อนน้อมนั้นนัก พระวรกายอันสูงสง่าเอนพิงแท่นหินสลักรูปเทพอนูบิส พระเนตรหม่นหมองยิ่งนักจนแลคล้ายแสงเปลวเทียนริบหรี่ใกล้ดับ“ข้าหลับตาลงมิได้… แม้นหลับลงได้คราใด ดวงจิตกลับกระตุกหวั่นไหวดั่งถูกปีศาจร้ายไล่ล่าในความฝัน”“ขอพระองค์...รับการถวายพระโอสถสมุนไพร จักชะลอความว้าวุ่นในพระทัยลงได้...เพคะ” อัมพุชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยอัมพุชินีมิได้รอช้า นางเปิดหีบยาไม้จันทน์หอมที่นำติดตัว
ณ ตลาดทาสนคร ‘วาเซต’... ... ... ...เสียงกลองและพิณจากพื้นเมืองไอยคุปต์ดังคลอไปทั่วนครวาเซต เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแคว้นบนของอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ รัศมีสีทองอ่อนเริ่มแต่งแต้มแนวเสาศิลาแห่งวิหารเพธา และกลิ่นกำยานลอยฟุ้งขจายไปในอากาศราวกับเป็นฤกษ์ยินดีได้ต้อนรับผู้มาใหม่อัมพุชินีอยู่ในกลุ่มทาสชั้นสูงที่รอคอยการนำขึ้นประมูลในลานกลางของตลาด นครวาเซต นั้นขึ้นชื่อว่าเป็น นครแห่งการค้าขาย ทั้งทองคำ ไข่มุก เครื่องหอม และชีวิตมนุษย์เหล่าทาสจากดินแดนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนูเบีย ลิเบีย ชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวเปอร์เซีย ต่างก็ถูกจัดแบ่งโดยผู้ดูแลตลาดตามคุณลักษณะพิเศษอัมพุชินีมิใช่เพียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หากแต่กายเปล่งประกายด้วยความสง่างามที่ไม่อาจปฏิเสธ เส้นผมยาวดำขลับ ริมฝีปากชมพูอ่อนระเรื่อดั่งธรรมชาติ และเรียวดวงตาประดุจกลีบบัวบาน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสายตาของนายตลาดผู้มากอำนาจ“นางคือ 'บรรณาการจากอารยัน' ใช่หรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางเดินสำรวจ“ถูกแล้ว ขอรับ” เสียงผู้ดูแลคาราวานตอบ “ธิดาแห่งกัมโพชน์”“จงอย่าทำร้ายผิวของนาง อย่าให้มีรอยช้ำแม้เพียงป
“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วพื้นพสุธา ราวฟ้าระเบิดกลางวันแสกๆ สายลมตะวันตกพัดแรง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นธูปหอมจากวิหารกลางนคร เสียงสวดบวงสรวงของพราหมณ์มิอาจกลบเสียงคำรามของศัตรูที่กำลังไล่บดขยี้เข้าใกล้กำแพงหลวงพระราชวังสุบรรณนาฏราช แห่งนครทวารกะ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินศิลาทอง คือ ศูนย์กลางแห่ง ราชอาณาจักรกัมโพชน์ ดินแดนแห่งอารยธรรมชมพูทวีปอันรุ่งโรจน์ สง่างดงามราวภาพวาดแห่งห้วงจินตนาการ ทว่าบัดนี้ ทั้งสายน้ำ ศิลา และวังหลวงกลับต้องสะท้านสะเทือนด้วยรอยเท้าของม้าศึกแห่งกองทัพอารยัน“ขอประทานอภัยเพคะ พระธิดาอย่าเสด็จไปด้านนอกเลยเพคะ ภายนอกนั่นหาใช่ที่สำหรับพระองค์ไม่…!!!”เสียงวิงวอนของนางข้าหลวงผู้ชราสั่นเครือขณะหมอบกราบอยู่แทบบาทของ พระธิดา อัมพุชินี พระธิดาองค์สุดท้องใน ราชาธิบดีสิวราช แห่งกัมโพชน์พระธิดามิได้ตรัสตอบ ดวงเนตรอ่อนละมุนดำขลับเต็มไปน้ำพระเนตร แต่ดำเนินอย่างสง่างามประหนึ่งนางอัปสรบนชั้นฟ้า เส้นพระเกศาดำยาวดุจใยไหมสะบัดตามแรงลม ส่า








