 LOGIN
LOGINค่ำคืนนี้ พระราชวังหลวงแห่งไอยคุปต์เรืองรองทอประกายแสงแห่งดวงตาเทพรา พระจันทร์ทรงกลดฉาบแสงเงินบนหลังคาทองคำของตำหนักทุกหลัง และในท่ามกลางอุทยานหลวงที่เงียบสงบ ท้องฟ้าดูเหมือนจะเฝ้ามองการเริ่มต้นของบริบทที่สำคัญยิ่ง ...ที่มีเพียงหัวใจสองดวงเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในท่วงทำนองความเป็นไป
อัมพุชินี ยืนอยู่หน้าตำหนักขนาดย่อมติดสวนบัวหลวง ที่เพิ่งได้รับพระราชทานจากฟาโรห์เมเรนคาเร พร้อมตราตำแหน่ง "จิตรกรหลวงแห่งไอยคุปต์" เธอเป็นหญิงทาสคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของพระราชวังทองคำแห่งนี้
คำกล่าวขานนี้ไม่ใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ 'เกียรติยศ' ที่ไม่มีนางทาสนางใดในไอยคุปต์เคยได้ครอบครองมาก่อน
พื้นที่ทำงานภายในตำหนักที่นางได้รับนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยแสงเทียน กลิ่นบัวหลวง และพู่กันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ
บนโต๊ะหินมีผืนผ้าเปลือกไม้จากแคว้นอียาเทป รอให้ศิลปะจากปลายนิ้วเรียวของเธอมอบชีวิตให้อย่างมีสีสัน
“ตำแหน่งนี้...หาใช่เพื่อข้าแต่ผู้เดียว...”
อัมพุชินีพึมพำ...
“หากเพื่อแคว้นที่ล่มสลาย เพื่อพระบิดา เพื่อความทรงจำที่มิอาจถูกลบเลือน”
ในขณะเดียวกัน ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จกลับสู่ตำหนักประทับหลังประชุมราชการยามบ่ายแล้ว
แต่พระทัยของพระองค์หาได้สงบนิ่งเหมือนเดิมไม่ ตั้งแต่พระองค์ได้ทอดพระเนตรนางทาสจากแดนไกล ผู้วาดภาพกลางแสงจันทร์ด้วยหัวใจเปี่ยมวิญญาณ พระองค์เริ่มตั้งคำถามกับคำที่เรียกว่า 'ชะตากรรม'
พระองค์เสด็จมายังเรือนตำแหน่งจิตรกร โดยมิได้รับสั่งแจ้งล่วงหน้า
เสียงย่างพระบาทลงพื้นหินเป็นจังหวะ ทำให้อัมพุชินีรีบหันหลังกลับทันที และย่อตัวลงหมอบกับพื้นถวายความเคารพ
“ข้ากระหม่อมยังมิได้ถวายงานใดในคืนนี้เพคะ... ขอประทานอภัยที่มิได้เตรียมการ” เธอเปล่งวาจาไม่เต็มคำด้วยเกรงกลัวอารมณ์ฉุนเฉียวของพระองค์
"คืนนี้ ข้ามิได้มาในฐานะราชัน" ฟาโรห์ตรัสเบาๆ ขณะจ้องแววตาหลุบต่ำของเธอ...
สาวน้อยที่มีปานดำใหญ่อยู่บนพวงแก้มด้านซ้าย หลายคนมองว่าเธอมีรูปหน้าอัปลักษณ์ ไม่งดงามให้น่าพึงใจแต่อย่างใด แต่สำหรับฟาโรห์เช่นเขา ไม่ได้มองที่รูปร่างหน้าตา แต่มองที่ตัวตนว่า มีจิตวิญญาณในระดับใด
แม้พระองค์จะถูกมองว่าเป็นราชันตั้งแต่อายุยังน้อย ขาดความรู้ในประสบการณ์ชีวิต แต่แท้จริงแล้วพระองค์ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาดั่งคำติฉิน แต่หยั่งรู้เรื่องราวภายในและภายนอก...ด้วยจิตวิญญาณแห่งผู้รู้
ไม่มีผู้ใดในราชวังแห่งนี้ล่วงรู้ว่าพระองค์มีสายพระเนตรแหลมคม มีเสนาบดีใต้ดินคอยสอดส่องอยู่ลับๆ และรายงานความผิดปกติของบรรดาสนมและข้าราชบริพารทุกคน
ฟาโรห์หนุ่มรูปงามกำลังจับจ้องแววตากริ่งเกรงของหญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นรับคำบัญชา... แล้วทรงตรัสต่อไปด้วยสุรเสียงเรียบเฉย แต่เน้นย้ำ
"หากแต่...ข้ามาในฐานะ ผู้ปรารถนาจะเรียนรู้ ว่าความงามที่แท้จริง...เกิดขึ้นได้เช่นไร"
อัมพุชินีเบิกตากว้างหลังสบสายพระเนตรของฟาโรห์ครานี้แล้ว จึงรับรู้ว่าไม่เหมือนเดิม พระองค์ช่างอบอุ่น และเปิดเผย
ภายในห้องวาดภาพ...เวลาได้ผ่านไปอย่างช้าๆ เนิ่นนาน เหมือนจะหยุดทั้งโลกทั้งใบไว้ ณ ที่แห่งนี้
เธอสอนพระองค์ให้จับพู่กันอย่างอ่อนโยน วาดเส้นสายที่ไม่ใช่เพียงรูปทรง แต่ออกมาด้วย 'จิตวิญญาณ' จากความรู้สึกายใน
“เส้นนี้...คือ ความรู้สึก 'คิดถึงบ้าน' เพคะ”
เธอว่าพลางวาดเส้นโค้งบางเบาลงไป...
“บ้านที่แม้ไม่มีหลังคาอีกต่อไป...แต่ยังอบอุ่นอยู่ในใจเสมอ เพคะ”
พระองค์ทรงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสแผ่วเบา
"เจ้าสอนในสิ่งที่เหล่าเสนาทั้งวังมิอาจสอนได้ นั่นคือการ 'มอง' ด้วยหัวใจ"
เมื่อแสงเทียนเหลือเพียงเปลวสุดท้าย พระองค์จึงเสด็จกลับโดยไม่ตรัสอันใดอีก
เหลือร่องรอยไว้เพียงกระดาษมีภาพที่พระองค์ทรงวาดทิ้งไว้เอง… เป็นรูป กลีบบัวโอบรอบหัวใจดวงเล็กๆ รูปหนึ่ง
... ... ... ...
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่
ข่าวการแต่งตั้งอัมพุชินีในตำแหน่งจิตรกรหลวงแพร่กระจายไปทั่วทั้งพระราชวัง.
เสียงกระซิบของสนมเอกและเหล่าข้าราชบริพาร... ออกมาจนดังเซ็งแซ่ไปทั่วอาณา
"หญิงทาสที่เคยเกือบทำให้ฟาโรห์สิ้นพระชนม์ กลับได้ตำแหน่งที่แม้แต่ชนชั้นสูงยัง
มิอาจเอื้อม"
"หรือฟาโรห์ทรงตกอยู่ในมนต์เสน่ห์ของนาง...เช่นนั้นรึ!!!"
แต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวออกมาให้ทรงรับรู้ต่อหน้าพระพักตร์ เพราะพระราชโองการเป็นคำบัญชาสูงสุด และด้วย...สายพระเนตรของฟาโรห์ในยามเอ่ยถึงนาง มิได้เป็นเพียงเจ้านายกับข้าราชบริพารคนหนึ่งเท่านั้น
ต่อมาในยามสายของวันนั้น...
อัมพุชินีได้รับบัญชาให้นำเสนอผลงานภาพแรก ในฐานะจิตรกรหลวงต่อหน้าพระพักตร์ของฟาโรห์และเหล่าเสนาบดี
เธอเลือกวาดภาพ 'ดอกบัวกลางทะเลทราย'
ภาพที่เต็มไปด้วยเส้นสายสีทองอ่อน บนผืนทราย และหยดน้ำเล็กๆ ที่หยดอยู่บนกลีบบัวหลวง
"เจ้าจะวาดภาพเทพอนูบิส หรือเทพีฮาเธอร์ก็ได้...!!!"
เสนาบดีคนหนึ่งกระซิบด้วยแววตาตำหนิ
"เหตุใดจึงวาดเพียงดอกบัว"
อัมพุชินีเพียงยิ้มตรงมุมปากก่อนกล่าวอย่างสงบนิ่ง
"แม้แค่บัวหลวงหนึ่งต้น...ก็เปี่ยมความหมาย หากผู้นั้นใช้ 'หัวใจ' มอง'"
พระเนตรของฟาโรห์จับจ้องผลงานของเธออย่างเงียบๆ ดูเฉยเมย ไร้คำกล่าวใดใดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมีรับสั่งว่า...
“จงนำภาพนี้ขึ้นติดบนแท่นศิลปะกลางท้องพระโรง นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
... ... ... ...
คืนนั้นพระองค์เสด็จมาเยือนถึงเรือนจิตรกรอีกครั้ง พระองค์มิได้ตรัสถึงราชการงานใด มิได้กล่าวถึงภาพศิลปะ แต่ทรงตรัสถึงความเดียวดายในหัวใจของพระองค์ ... ถึงการเติบโตและครอบครองบัลลังก์ในวังหลวงที่มีสนมมากมาย แต่ไร้ผู้เข้าใจถึง คำว่า 'หัวใจ' อย่างถ่องแท้
และยังตรัสกับเธอว่า...
"เจ้าคือบัวเพียงดอกเดียว ที่มิได้มาเพื่อไว้ประดับ แต่เพื่อทำให้ข้าหายเหนื่อยล้า หัวใจได้พักผ่อน..."
อัมพุชินีนิ่งไปเนิ่นนาน ก่อนจะยกดอกบัวหนึ่งดอกขึ้นถวายพระองค์
“ข้ากระหม่อมไม่มีอันใดจะตอบแทนหัวใจงดงามของพระองค์คราวนี้... มีแต่เพียงสิ่งนี้ เพคะ”
และแล้ว..
คืนนั้นจึงกลายเป็นคืนแรกในฐานะจิตรกรหลวง ที่ได้รับรู้ถึง 'หัวใจ' สุดแสนเปลี่ยวและเดียวดายของบุรุษรูปงาม ที่ได้ชื่อว่า 'ราชันหัวใจหิน'
เป็นค่ำคืนที่พระองค์และเธอมิได้อยู่ในสถานะใด นอกจาก 'มนุษย์สองคน' ... หนึ่ง คือ ผู้แบกรับทั้งแผ่นดิน และ อีกหนึ่ง คือ ผู้แบกรับอดีต
...และยังคือ
ราตรีหนึ่ง...ที่กลีบบัวดอกหนึ่งเริ่มผลิบานตราตรึงใน 'หัวใจ' ของกษัตริย์แห่งไอยคุปต์พระองค์นี้...ตลอดไป

ค่ำคืนนี้ พระราชวังหลวงแห่งไอยคุปต์เรืองรองทอประกายแสงแห่งดวงตาเทพรา พระจันทร์ทรงกลดฉาบแสงเงินบนหลังคาทองคำของตำหนักทุกหลัง และในท่ามกลางอุทยานหลวงที่เงียบสงบ ท้องฟ้าดูเหมือนจะเฝ้ามองการเริ่มต้นของบริบทที่สำคัญยิ่ง ...ที่มีเพียงหัวใจสองดวงเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในท่วงทำนองความเป็นไปอัมพุชินี ยืนอยู่หน้าตำหนักขนาดย่อมติดสวนบัวหลวง ที่เพิ่งได้รับพระราชทานจากฟาโรห์เมเรนคาเร พร้อมตราตำแหน่ง "จิตรกรหลวงแห่งไอยคุปต์" เธอเป็นหญิงทาสคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของพระราชวังทองคำแห่งนี้คำกล่าวขานนี้ไม่ใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ 'เกียรติยศ' ที่ไม่มีนางทาสนางใดในไอยคุปต์เคยได้ครอบครองมาก่อนพื้นที่ทำงานภายในตำหนักที่นางได้รับนั้นไม่ได้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเต็มไปด้วยแสงเทียน กลิ่นบัวหลวง และพู่กันที่จัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะหินมีผืนผ้าเปลือกไม้จากแคว้นอียาเทป รอให้ศิลปะจากปลายนิ้วเรียวของเธอมอบชีวิตให้อย่างมีสีสัน“ตำแหน่งนี้...หาใช่เพื่อข้าแต่ผู้เดียว...”อัมพุชินีพึมพำ...“หากเพื่อแคว้นที่ล่มสลาย เพื่อพระบิดา เพื่อความทรงจำที่มิอาจถูกลบเลือน”ในขณะเดียวกัน ฟาโรห์เมเรนคาเร เสด็จกลับสู่ตำหนักปร
ยามราตรีปกคลุมดินแดนไอยคุปต์อีกครา... แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงเหนือแม่น้ำไนล์ หากแต่มิอาจกลบเงามืดแห่งริษยาและเพลิงอิจฉาที่ค่อย ๆ ก่อตัวในพระราชวังหลวงข่าวลือเรื่อง ‘นางทาสจากแดนชมพูทวีป’ ผู้ทำให้ฟาโรห์เมเรนคาเร ทรงเปลี่ยนจากความเฉยชา เป็นพระราชาที่ทรงเริ่มยิ้มแย้มและมีพระบัญชากับนางผู้นี้ถี่บ่อยยิ่งนัก... ได้แพร่กระจายไปราวไฟลามต้นกกและภายในห้องสนมเอก ที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักกลางอันงดงามระยับนั้นเอง กลิ่นชาดหอมกรุ่นจรุง... ปะปนกับกลิ่นความเคลือบแคลงใจ“เจ้าเห็นหรือไม่... ฟาโรห์มิทรงทอดพระเนตรพวกเราอีกต่อไป...” สุ้มเสียงของ ‘เนเฟรตารี’ สนมเอกแห่งวังหลวง ทายาทของตระกูลขุนนางสูงศักดิ์จากเมืองเธบส์ เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย“แต่ทรงวาดภาพดอกบัว… หัวร่อต่อกระซิกกับนางทาสไร้ตัวตนจากแคว้นล่มสลาย!!!” สนมอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริมเสียงแหลมเจือพิษริษยา สายตาดุร้ายจิกมองออกไปยังนอกตำหนักสนมที่อยู่รวมกันนับสิบคน นางมักสอพลอยกยอสนมเอกอยู่เนืองๆ และเพียรพยายามยกตนข่มสนมบรรณาการต่างถิ่นต่างแดนอยู่ตลอด และไม่ยอมน้อยหน้าและลงให้สนมคนใด... ยกเว้นสนมเอกเนเฟรตารี เท่านั้นในตำหนักกลางที่พำนักของเหล่าส
ค่ำคืนแห่งไอยคุปต์…... ... ... ...ม่านรัตติกาลทาบทอลงเหนือมหาปิรามิดอันสูงตระหง่าน พระจันทร์ดวงโตลอยคล้อยเหนือแม่น้ำไนล์ เปล่งแสงนวลกระทบผืนน้ำส่องประกายระยิบ ไออุ่นของสายลมแห่งทะเลทรายพัดเบา ๆ ผ่านซุ้มไม้ดอกของพระตำหนักทิศตะวันออก ขับเอากลิ่นบัวหลวงหอมกรุ่นละมุนชวนให้จิตได้เพลิดเพลินผ่อนคลายอัมพุชินี นางทาสจากแดนชมพูทวีป ยังคงดำรงตนอย่างเรียบง่ายในสถานะอันต่ำต้อย หากแต่ในค่ำคืนนี้ เธอกลับได้รับพระบัญชาให้เข้าเฝ้าฟาโรห์เมเรนคาเร ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ด้วยเหตุผลหนึ่ง…“ฝ่าพระบาท คืนนี้ทรงบรรทมไม่หลับอีกหรือ...เพคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาขณะก้มกราบแนบพื้นหินอ่อนเบื้องหน้าฟาโรห์เมเรนคาเร มิได้ทรงสนพระทัยในความอ่อนน้อมนั้นนัก พระวรกายอันสูงสง่าเอนพิงแท่นหินสลักรูปเทพอนูบิส พระเนตรหม่นหมองยิ่งนักจนแลคล้ายแสงเปลวเทียนริบหรี่ใกล้ดับ“ข้าหลับตาลงมิได้… แม้นหลับลงได้คราใด ดวงจิตกลับกระตุกหวั่นไหวดั่งถูกปีศาจร้ายไล่ล่าในความฝัน”“ขอพระองค์...รับการถวายพระโอสถสมุนไพร จักชะลอความว้าวุ่นในพระทัยลงได้...เพคะ” อัมพุชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยอัมพุชินีมิได้รอช้า นางเปิดหีบยาไม้จันทน์หอมที่นำติดตัว
ณ ตลาดทาสนคร ‘วาเซต’... ... ... ...เสียงกลองและพิณจากพื้นเมืองไอยคุปต์ดังคลอไปทั่วนครวาเซต เมืองหลวงเก่าแก่แห่งแคว้นบนของอียิปต์ ซึ่งตั้งอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ รัศมีสีทองอ่อนเริ่มแต่งแต้มแนวเสาศิลาแห่งวิหารเพธา และกลิ่นกำยานลอยฟุ้งขจายไปในอากาศราวกับเป็นฤกษ์ยินดีได้ต้อนรับผู้มาใหม่อัมพุชินีอยู่ในกลุ่มทาสชั้นสูงที่รอคอยการนำขึ้นประมูลในลานกลางของตลาด นครวาเซต นั้นขึ้นชื่อว่าเป็น นครแห่งการค้าขาย ทั้งทองคำ ไข่มุก เครื่องหอม และชีวิตมนุษย์เหล่าทาสจากดินแดนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนูเบีย ลิเบีย ชาวฮิตไทต์ หรือ ชาวเปอร์เซีย ต่างก็ถูกจัดแบ่งโดยผู้ดูแลตลาดตามคุณลักษณะพิเศษอัมพุชินีมิใช่เพียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หากแต่กายเปล่งประกายด้วยความสง่างามที่ไม่อาจปฏิเสธ เส้นผมยาวดำขลับ ริมฝีปากชมพูอ่อนระเรื่อดั่งธรรมชาติ และเรียวดวงตาประดุจกลีบบัวบาน จึงมิอาจหลีกเลี่ยงสายตาของนายตลาดผู้มากอำนาจ“นางคือ 'บรรณาการจากอารยัน' ใช่หรือไม่” เสียงชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางเดินสำรวจ“ถูกแล้ว ขอรับ” เสียงผู้ดูแลคาราวานตอบ “ธิดาแห่งกัมโพชน์”“จงอย่าทำร้ายผิวของนาง อย่าให้มีรอยช้ำแม้เพียงป
“พระธิดา!!! เสด็จเร็วเพคะ ประตูทิศตะวันตกพังแล้ว…!!!”... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ... ...เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วพื้นพสุธา ราวฟ้าระเบิดกลางวันแสกๆ สายลมตะวันตกพัดแรง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นธูปหอมจากวิหารกลางนคร เสียงสวดบวงสรวงของพราหมณ์มิอาจกลบเสียงคำรามของศัตรูที่กำลังไล่บดขยี้เข้าใกล้กำแพงหลวงพระราชวังสุบรรณนาฏราช แห่งนครทวารกะ ซึ่งตั้งอยู่เหนือเนินศิลาทอง คือ ศูนย์กลางแห่ง ราชอาณาจักรกัมโพชน์ ดินแดนแห่งอารยธรรมชมพูทวีปอันรุ่งโรจน์ สง่างดงามราวภาพวาดแห่งห้วงจินตนาการ ทว่าบัดนี้ ทั้งสายน้ำ ศิลา และวังหลวงกลับต้องสะท้านสะเทือนด้วยรอยเท้าของม้าศึกแห่งกองทัพอารยัน“ขอประทานอภัยเพคะ พระธิดาอย่าเสด็จไปด้านนอกเลยเพคะ ภายนอกนั่นหาใช่ที่สำหรับพระองค์ไม่…!!!”เสียงวิงวอนของนางข้าหลวงผู้ชราสั่นเครือขณะหมอบกราบอยู่แทบบาทของ พระธิดา อัมพุชินี พระธิดาองค์สุดท้องใน ราชาธิบดีสิวราช แห่งกัมโพชน์พระธิดามิได้ตรัสตอบ ดวงเนตรอ่อนละมุนดำขลับเต็มไปน้ำพระเนตร แต่ดำเนินอย่างสง่างามประหนึ่งนางอัปสรบนชั้นฟ้า เส้นพระเกศาดำยาวดุจใยไหมสะบัดตามแรงลม ส่า








