เข้าสู่ระบบค่ำคืนแห่งไอยคุปต์…
... ... ... ...
ม่านรัตติกาลทาบทอลงเหนือมหาปิรามิดอันสูงตระหง่าน พระจันทร์ดวงโตลอยคล้อยเหนือแม่น้ำไนล์ เปล่งแสงนวลกระทบผืนน้ำส่องประกายระยิบ ไออุ่นของสายลมแห่งทะเลทรายพัดเบา ๆ ผ่านซุ้มไม้ดอกของพระตำหนักทิศตะวันออก ขับเอากลิ่นบัวหลวงหอมกรุ่นละมุนชวนให้จิตได้เพลิดเพลินผ่อนคลาย
อัมพุชินี นางทาสจากแดนชมพูทวีป ยังคงดำรงตนอย่างเรียบง่ายในสถานะอันต่ำต้อย หากแต่ในค่ำคืนนี้ เธอกลับได้รับพระบัญชาให้เข้าเฝ้าฟาโรห์เมเรนคาเร ณ ห้องบรรทมส่วนพระองค์ด้วยเหตุผลหนึ่ง…
“ฝ่าพระบาท คืนนี้ทรงบรรทมไม่หลับอีกหรือ...เพคะ” เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาขณะก้มกราบแนบพื้นหินอ่อนเบื้องหน้า
ฟาโรห์เมเรนคาเร มิได้ทรงสนพระทัยในความอ่อนน้อมนั้นนัก พระวรกายอันสูงสง่าเอนพิงแท่นหินสลักรูปเทพอนูบิส พระเนตรหม่นหมองยิ่งนักจนแลคล้ายแสงเปลวเทียนริบหรี่ใกล้ดับ
“ข้าหลับตาลงมิได้… แม้นหลับลงได้คราใด ดวงจิตกลับกระตุกหวั่นไหวดั่งถูกปีศาจร้ายไล่ล่าในความฝัน”
“ขอพระองค์...รับการถวายพระโอสถสมุนไพร จักชะลอความว้าวุ่นในพระทัยลงได้...เพคะ” อัมพุชินีกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
อัมพุชินีมิได้รอช้า นางเปิดหีบยาไม้จันทน์หอมที่นำติดตัวมาตั้งแต่แรกที่ถูกจับกุม กลีบบัวหลวงแห้งสีม่วงเข้ม กลิ่นหอมอ่อนปะปนชะเอมเทศ ขิง และดอกพิกุล เธอได้ตำอย่างละเอียดในอ่างหินศิลาใบน้อย แล้วต้มน้ำจนระเหยเอากลิ่นละมุนน่าชวนลิ้มลอง
เธอเตรียมความพร้อมไว้แล้วก่อนออกมาเข้าเฝ้าตามพระบัญชา ประหนึ่งได้คิดการณ์ไว้ล่วงหน้าตามแผนในใจ หม้อดินเผาใบน้อยได้บรรจุน้ำต้มสีม่วงเข้มจากกลีบบัวหลวงแห้งที่บรรจงปิดฝา เอาผ้าขาวบางผืนน้อยห่อไว้เอากลิ่นหอมจากสมุนไพรอบร่ำไว้มิให้เล็ดลอดออกมา
เสียงน้ำเดือดปุด ๆ ดังเบา ๆ จากหลืบด้านใน ที่เป็นซอกมีแท่นหินไว้สำหรับตั้งเตาต้มน้ำเพื่อเสวยยามราตรี บัดนี้กลับอบอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนน่าอภิรมย์ดุจเวทมนตร์โบราณ ซึ่งปลุกฟื้นอณูของห้องบรรทมอันเงียบสงัด ไร้ชีวิตชีวา ให้กลับมาเต้นเร่ากระชุ่มกระชวยในหทัยของฟาโรห์หัวใจหินอีกครั้ง
แววพระเนตรของฟาโรห์ซึ่งเคยแข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลงอย่างประหลาด...
“บัวหลวงนี้… ข้าเคยเห็นมันเพียงในบึงหน้าท้องพระโรง และในสุสานของบรรพกษัตริย์”
“ในบ้านเกิดของข้ากระหม่อม บัวหลวงมิใช่เพียงเครื่องประดับหรูหรา หากแต่ คือ เครื่องปรุงยารักษา และยังเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำขึ้นบวงสรวงแก่ทวยเทพทรงฤทธานุภาพเหนือสามโลก”
เสียงของอัมพุชินีเอื้อนเอ่ยอ่อนโยนราวเสียงสายธารไหล ฟาโรห์เมเรนคาเรทอดพระเนตรเธออย่างตรึกตรอง
“เจ้าศึกษาสมุนไพรด้วยรึ”
“ข้าเคยดูแลบิดา ยามท่านป่วยไข้” คำกล่าวนี้ทำให้พระทัยของฟาโรห์สั่นสะเทือนบาดลงห้วงลึกของดวงจิต
พระองค์จำได้... ว่าพระราชบิดาของพระองค์ ถูกศัตรูจากฮิตไทต์ประหารต่อหน้าพระเนตร พระชนนีน้ำพระเนตรนองหน้ากอดพระองค์จนสิ้นพระชนม์ ก่อนจะถูกเหล่าเสนานำพระองค์ไปหลบซ่อนตัวตน แล้วในที่สุดพระองค์ก็กลับมากอบกู้เอาราชบัลลังก์คืนสำเร็จ อาการนอนไม่หลับเป็นความผิดปกติยาวนานนับทศวรรษก่อนทรงขึ้นครองราชย์
หลังจากเสวยน้ำสมุนไพรนั้นเพียงครู่ พระสุรเสียงของพระองค์เริ่มเปลี่ยน
“อัมพุ... จงวาดให้ข้าเห็นภาพบัวที่เจ้ากล่าวอ้าง ... ไม่ใช่บัวที่ปักอยู่ในโถกลางท้องพระโรง หากแต่บัวที่มีชีวิต...!!!”
อัมพุชินีก้มกราบรับสนองด้วยความสงบ แล้วเอาห่อผ้าที่บรรจุอุปกรณ์สำหรับเตรียมมาวาดภาพ ซึ่งพระองค์ได้รับปากจัดหาให้แล้วนั้น เธอหยิบผ้าเปลือกไม้ออกมาวางตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวของเธอจุ่มสีจากพืชธรรมชาติ ผงดินแดง ผงบัวบด และสีจากเปลือกไม้ ภายในไม่กี่อึดใจ ภาพบัวหลวงกลางสระน้ำก็เริ่มปรากฏร่าง มีแสง... มีเงา... และมีชีวิต
... ... ... ...
ยามรุ่งอรุณ
ฟาโรห์เมเรนคาเรทรงบรรทมหลับสนิทโดยไม่มีฝันร้ายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
เหล่าข้าราชบริพารผู้ดูแลเฝ้าหน้าห้องบรรทม ต่างลอบมองอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นพระพักตร์อันสงบนิ่ง ริมพระโอษฐ์คล้ายมีรอยแย้มสรวลอยู่จางๆ
ข่าวเรื่อง ‘นางทาส…ผู้ทำให้ฟาโรห์หลับสนิท’ แพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง
แต่ในยามสายวันถัดมา...
พระองค์ฟาโรห์ทรงมีพระบัญชาให้เชิญอัมพุชินีมาประทับเคียงข้างพระองค์ ณ สวนบัวหลวงส่วนพระองค์
ใต้ศาลาริมสระบัว สายลมพัดเย็นเอื่อยๆ อ้อยสร้อย ดอกบัวบานสะพรั่งล้อมรอบ ท่ามกลางกลิ่นดินและกลิ่นน้ำฉ่ำชุ่ม พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ศิลาขัดเงา ส่วนอัมพุชินีนั่งอยู่เบื้องต่ำ กำลังถวายภาพวาดอีกแผ่นหนึ่ง
พระเนตรของฟาโรห์ทอดมองภาพนั้นอยู่นาน
“เจ้าวาดความฝันให้ข้าดู… แต่ข้าต้องการวาดมันด้วยตนเอง”
“โปรดสอนข้าเถิด...” สุรเสียงอ่อนโยนราวกับหัวใจหินของพระองค์ กำลังจะถูกเคาะให้ทลายลงด้วยนิ้วเรียวของหญิงสาวผู้นี้
อัมพุชินีมิได้กล่าววาจาใดใด นางเพียงยื่นพู่กันให้พระองค์อย่างอ่อนโยน พระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์หยิบพู่กันขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ใช่เพื่อเซ็นพระราชโองการ... แต่เพื่อสร้างภาพในพระทัย
“เริ่มจากเส้นกลาง... จากนั้นค่อยขยายกลีบ... แต่ละกลีบ ล้วนเติบโตไปจากจุดเดียวกัน” น้ำเสียงเรียบง่ายของสาวน้อยประกอบกับการช่วยจับพู่กันให้พระองค์ทรงค่อยๆ วาดภาพไปอย่างบรรจง
ขณะที่พระองค์ทรงวาดไปด้วยกันกับเธออย่างเงียบๆ แต่พระทัยกลับเต้นแรงอย่างประหลาด... ไม่ใช่เพราะศิลปะ แต่เพราะมือน้อย ๆ ที่แตะหลังพระหัตถ์นั้นอ่อนโยนทำให้พระหทัยหวั่นไหววาบหวิว
หลังจากวันนั้น... ฟาโรห์มิได้ทรงเรียกขานเธอว่า ‘ทาส’ อีกต่อไป แต่เรียกเธอว่า ‘คุรุอัมพุ’ ด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนดุจผู้ควรคารวะ
แต่ในเงามืดของวังหลวงแห่งนี้ เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้น...ดังขึ้นเรื่อยๆ
สนมเอกจากตระกูลเสนาบดีผู้มั่งมีพร้อมอำนาจล้นมือ ย่อมมิพึงใจในแววพระเนตรที่ฟาโรห์มีให้นางทาสผู้นั้น
เหล่าข้าราชบริพารบางคนเริ่มหันหน้าหนี ขุนนางบางกลุ่มเริ่มลอบวางแผน แผ่นดินไอยคุปต์... กำลังสั่นคลอนด้วยมิใช่จากศึกภายนอก
แต่จากหัวใจขององค์ราชัน ที่เผลอทุ่มเทให้ทาสหญิงนางหนึ่ง...
ซึ่งกำลังจะกลายเป็นมากกว่านั้น
ยามราตรีในนครวาเซตเงียบสงัดกว่าทุกคืนที่ผ่านมา แสงจันทร์เต็มดวงทอดเงาแสงสีเงินงามลงบนกลีบบัวหลวงที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำแห่งสระบัวข้างพระตำหนักทรงบรรทม สายลมบางเบาหอบไออบอุ่นจากแม่น้ำไนล์ พัดโชยเอากลิ่นดอกบัวนิลุบลสีฟ้าครามลอดผ่านม่านประตูด้านหน้าของของตำหนักชั้นในเคล้ากลิ่นสมุนไพรให้ลอยตลบอยู่ภายในห้องนอนของอัมพุชินีภายในห้องเล็กของตำหนักเคยเป็นที่ประทับรับรององค์ฟาโรห์ยามดึกสงัดคราพระองค์ทรงกลัดกลุ้มในพระทัย และเป็นที่ซึ่งเพลงรักของพระองค์กับอัมพุชินีได้บรรเลงขึ้นอย่างไพเราะผสมผสานเสียงพิณซึ่งขับขานอยู่ทุกชั่วยามในทุกราตรีอันแสนหวานแต่มาบัดนี้เต็มไปด้วยความหม่นหมองตรอมตรมของการจากลา แม้ไม่มีถ้อยคำใดเปล่งออกมา แต่กลับดังอยู่ในทุกจังหวะเต้นกลางหัวใจของหญิงสาวบนโต๊ะไม้หอมมีจดหมายผืนเล็กพับวางอยู่ข้างแท่นประทีป ด้านบนเขียนด้วยลายมือที่สั่นเทา“ขอทรงประทานอภัย ที่ข้ากระหม่อมจากไปโดยมิได้ทูลลา”หยาดน้ำตาหลายหยดร่วงลงประทับบนลายหมึกนั้น คือเครื่องหมายแทนหัวใจที่แสนทุกข์ทรมานยากต่อการจากลาเสียเหลือเกินณ ราตรีนั้น การตัดสินใจของอัมพุชินีเด็ดเดี่ยว ยากจะฉุดรั้ง...ก่อนหน้าเพียงไม่กี่ชั่วยาม
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่งดงามด้วยแสงสีทองซึ่งปกคลุมขอบฟ้าเหนือบริเวณพระราชวังหลวง เสียงสวดสรรเสริญพระนามเทพเจ้าดังกังวานจากลานหินกว้างหน้าวิหาร ‘เมเนเฟอร์' วิหารศักดิ์สิทธิ์ภายในเขตชั้นในของพระราชวังของนครวาเซตแห่งนี้ อันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของ 'เทพเฮกา' เทพแห่งเวทมนตร์และพลังชีวิตกลิ่นหอมจากยางไม้เมอร์และอบเชยลอยตลบอบอวล แสงประทีปพันดวงสะท้อนบนกำแพงหินแกะสลักลวดลายเทพผู้ถือคทาเวท ด้านในสุดของวิหารเป็นบัลลังก์ศิลาสำหรับประกอบพิธี เรียก ‘กะ’ พลังแห่งชีวิตคืนสู่ร่างของผู้ที่ผ่านพ้นความเจ็บป่วยหรือภัยร้ายพระมารดาเงา ‘ติเยนา’ ซึ่งป่วยด้วยพิษสะสมมานานหลายเดือน วันนี้ลุกขึ้นได้ด้วยกำลังใจ และความช่วยเหลือจากอัมพุชินี นางผู้ถูกกล่าวหาแต่กลับมอบทั้งแรงกายและความรักอันซื่อบริสุทธิ์เพื่อเยียวยาเสียงฆ้องดังขึ้นเป็นจังหวะ ข้าราชบริพารสวมผ้าลินินสีขาวเดินเรียงแถวเข้าไปภายในวิหาร กลีบดอกบัวหลวงสีฟ้าเข้มแกมชมพูอ่อนถูกวางเรียงรายตามทางลาดพระบาท ประดุจลานเคลือบเงาสีฟ้าเจือชมพูสลับไปตลอดเส้นทางอัมพุชินี กำลังจัดเตรียมโถน้ำปรุงจากผงบดละเอียดของไพรเวชศักดิ์สิทธิ์ของ ดอกมะลิ ดอกบัว และใบมะตูมจากดินแดนต
แม้ลมราตรี ณ ยามค่ำคืนนี้ จะพัดหอบไอเย็นเอื่อยๆ ลอดตามบานประตูหน้าต่างของราชวังทองคำแห่งนี้ แต่ภายในหทัยร้อนรุ่มของ ฟาโรห์เมเรนคาเร นั้น...ยังหาความสงบลงมิได้เลยแม้แต่น้อยภัยในเงามืดยังคงแทรกซึมอยู่ อันตรายคืบคลานมาจากคนใกล้ตัว ไม่ว่าจากสนม เสนาบดี ขุนนาง และแม้กระทั่งนางกำนัลในตำหนัก ขณะที่พระมารดาเงายังคงอ่อนแรงด้วยพิษสะสม ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของนางใด พระองค์ทรงรับรู้แน่ชัดแล้วว่า ศึกครั้งนี้มิใช่ศึกประจัญหน้ากับคมดาบของศัตรู แต่คือศึกพิษร้ายที่แฝงเงาลับไว้ในทุกย่างก้าวภายในห้องทรงอักษร แสงประทีปพลิ้วไหวลู่ไปตามแรงลมโชยมาอ่อนๆ เงาที่ปรากฎบนผนังโยกคล้ายอำนาจลึกลับกำลังเริงระบำอย่างปรีดา อัมพุชินีนิ่งเงียบหมอบอยู่เบื้องพระบาทหน้าแท่นประทับขององค์ฟาโรห์ มือเรียวประคองพู่กันไม้ ดวงตาเธอเหลือบไปยังผืนผ้าเปลือกไม้ที่ยังมิได้แต้มสีใดใด ด้วยในใจของเธอยังเต็มไปด้วยความว้าวุ่นหาความสงบลงไม่ได้เฉกเช่นกัน“ฝ่าพระบาท... ข้ากระหม่อมเกรงว่าข่าวลือทั้งหลายจักก่อภัยใหญ่หลวง” เสียงสั่นแผ่วเบาเอ่ยขึ้นเมเรนคาเรทอดพระเนตรมายังสาวน้อยที่บัดนี้ได้กำหทัยของพระองค์ไปหมดแล้ว แววพระเนตรแสนเหนื่อยล้าแต
แสงตะวันสีทองอมส้มคล้อยต่ำบนเหนือแม่น้ำไนล์ ต้องผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ แต่ในความสงบแห่งยามเย็นนั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวลสุมอยู่กลางพระทัยของฟาโรห์เมเรนคาเร มานานหลายคืนแล้วข่าวลือภายในตำหนักพระมารดาเงา...แม่นมผู้เก็บงำความลับของราชวงศ์ฟาโรห์แห่งธีบส์ มีอาการอ่อนแรงลงอย่างผิดปกติวิสัย อาการนั้นมิอาจอธิบายได้ว่ามาจากโรคหรือเหตุอันใดภายในห้องโอสถแห่งวังหลวง สมุนไพรและเครื่องยาปรุงโชยกรุ่นกลิ่นจากความหอมอ่อนๆ ของบัวหลวงที่เคยเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบ แต่มาบัดนี้กลับกลายเป็นกลิ่นที่นำพาความหวาดระแวงมาเกาะกุมในหทัย ฟาโรห์ทอดพระเนตรไปยังอัมพุชินี เธอหมอบหน้าลงกับพื้นเบื้องพระบาท มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดนอกจากนิ่งเงียบ ปล่อยให้หัวใจเต้นระส่ำไปตามแรงกดดันค่ำคืนนี้พระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรการปรุงโอสถด้วยพระองค์เอง และทรงรับน้ำปรุงโอสถจากบัวหลวงต้ม และยังทรงสำรวจการต้มโอสถสมุนไพรที่นำมาจากดินแดนตะวันออก ซึ่งชาวกัมโพชน์ใช้รักษาโลหิตเป็นพิษ เปลือกจากต้นไม้นามว่า ‘จามูน’ นำมาบดผสมกับโกฐน้ำเต้าเจือความหอมละมุนของไม้กฤษณา เพื่อรักษาโรคพิษคั่งค้างสะสมของพระมารดาเงาอัมพุชินีได้เดินตามฟาโรห์ออกมา
ดวงจันทร์เสี้ยวลอยเด่นเหนือหอคอยศิลาสูงตระหง่าน ได้ทอดเงาพระราชวังทองคำอันงดงามลงบนผืนทรายกว้างใหญ่ สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาภายในราชวังหลวง ในค่ำคืนเงียบสงัดยามนี้...ดูผิดไปจากทุกวัน ฟาโรห์เมเรนคาเรประทับอยู่ภายในพระตำหนักทรงบรรทม พระพักตร์นิ่งสงบ พระเนตรฉายแววความกังวลในพระทัย ราตรีนี้พระองค์ทรงรับสั่งให้อัมพุชินีกลับไปยังตำหนักของเธอทันที หลังจากทรงรับน้ำปรุงโอสถต้มจากดอกบัวหลวงแล้ว ทั้งยังทรงปฏิเสธการเรียนวาดภาพศิลปะอัมพุชินีเข้าใจถึงหทัยที่ทรงแบกรักอย่างหนักหน่วง ด้วยข้อท้วงติงว่า...เข้าข้างเธอโดยไม่ฟังคำเตือนจากเหล่าเสนาบดี และ สนมเอกอย่าง ...เนเฟรตารี นางผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ มีสายเลือดใกล้ชิดฟาโรห์ เป็นธิดาฝ่ายพระญาติผู้น้องทางพระชนนีของพระองค์หลังจากที่นาเยรีสนมคนโปรดผู้เคยถวายงานพัด ได้สารภาพว่าผู้วางแผนลอบทำร้ายอัมพุชินี คือพระมารดาเงา...แม่นมผู้บริบาลองค์ฟาโรห์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ฟาโรห์จึงได้ทรงบัญชาให้จับตัวพระมารดาเงาไปคุมขังไว้ในห้องใต้ดินลับเฉพาะสำหรับสมาชิกราชวงศ์ เพื่อป้องกันภัยจากผู้ที่กำลังวางแผนร้ายแอบอ้างชื่อนางอีก และเพื่อสืบหาความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์ใน
การกล่าวโทษเริ่มต้นอย่างเข้มข้น ... แม้สายพระเนตรของฟาโรห์ที่เพ่งมองไปยังเหล่าอาณาบริวารทั้งหลายภายในท้องพระโรงทอง จะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง แต่พระองค์ทรงมีหทัยตั้งมั่นไม่ได้หวั่นไหวไปกับคำกล่าวโทษเหล่านั้น ทว่าอัมพุชินีซึ่งกำลังหมอบลงกับพื้นก้มหน้าต่ำมองพื้นหินทรายสีชมพูประดับประดาด้วยลวดลายสีน้ำเงินจากพลอยลาปิสลาซูลี กำลังวิตกกังวลถึงเรื่องโจษขานจะทำลายพระเกียรติขององค์ฟาโรห์ให้เสื่อมเสียเนเฟรตารีก้าวออกมายืนอยู่ด้านหน้าของอัมพุชินี ชุดลินินขาวประดับคาร์เนเลียนสีแดงรอบคอ แสงของพลอยราวพร้อมใจกันส่องประกายลุกโชน ประดุจหัวใจของนางที่เต็มไปด้วยเพลิงริษยา นางประนมมือขึ้นต่อหน้าฟาโรห์เมเรนคาเร ทูลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงจริตที่หมายมุ่งร้าย“โอ...ข้าแต่เทพรา องค์ฟาโรห์ทรงจุติจากองค์อะมุน ข้ากระหม่อมทั้งหลายกังวลยิ่งนัก… สมุนไพรที่หายไปจากห้องของอัมพุ...หาใช่ความเพียงเท่าฝ่ามือนางไม่ หากนำมาใช้โดยมิได้รู้นัยยะ อาจทำให้โลหิตเป็นพิษ ทำลายครรภ์ หรืออาจทำให้บุรุษสูญสิ้นพละ พระองค์กำลังตกอยู่ในเงาแห่งคำสาปของเทพีไอซิสด้วยเหตุเพราะนาง หากบัลลังก์ไร้รัชทายาท ใครเล่าจะสืบราชวงศ์ต่อไป”เสียงฮือ







