โลภ!อะไรทำให้คนเรากลายเป็นคนโลภ? ความหวังที่จะมีเงินทองและความมั่งคั่งถือเป็นความโลภหรือเปล่า? หรือการเห็นแก่ตัวในบางสิ่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองนับเป็นความโลภหรือไม่?สำหรับฉัน คนที่หัวเราะเยาะกับปัญหาคนอื่น แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาดีๆให้กับตัวเองเพราะพวกเขาได้หลีกหนีออกมาจากตารางงานที่ยุ่งๆ และสามารถมาหัวเราะเยาะคนอื่นในใจได้ การมีส่วนร่วมในการทำให้คนอื่นต้องอับอายและเป็นทุกข์ ฉันถือว่าคนเหล่านั้นโลภ เพียงเพื่อความสนุกชั่วครู่ แต่คุณเลือกที่จะทำลายช่วงเวลาและความทรงจำของใครบางคน คุณคิดว่าคุณไม่ได้โลภหรอกหรือ?ฉันมองไปที่ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้น คนเดียวกันที่พยายามรังแกฉันกำลังรังควานเอซ ผู้ซึ่งคอยช่วยฉันตั้งแต่วันแรก ช่วยตอบข้อสงสัยของฉันโดยไม่เคยร้องขออะไรตอบแทน เธอเทน้ำผลไม้ใส่เขา ทำแว่นตาของเขาหัก เด็กชายที่ไม่ได้สูงขนาดนั้นเมื่อเทียบสาวผมบลอนด์ แต่ฉันก็หวังว่าอย่างน้อยเขาจะยืนหยัดขึ้นเพื่อตัวเองหรือบางทีเขาอาจจะร้องไห้เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกแย่ แต่แล้วสาวผมบลอนด์กลับยืนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เธอถุยหมากฝรั่งใส่หัวเขาและแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาณ จุดนั้น ฉันหวังว่าเอซจะยืนหยัดป้องกันตัวเ
ผมกระพริบตาสองสามครั้ง ยังคงจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาของผมมีดำคล้ำและแม้ว่าจะไม่ได้สวมแว่นตาแต่ก็ยังมองเห็นอย่างชัดเจนว่าผมเหนื่อยล้าเพียงใด ผมโกนหัวได้เพียงสัปดาห์เดียวและก็ยังไม่ชินกับมันจริงๆผมชอบทรงผมแบบเก่ามากกว่า แต่เมื่อผมกลับบ้าน แม่ตกใจมากที่เห็นทรงผมใหม่ของผม และเอาแต่ถามซ้ำๆ ว่าทำไมจู่ๆถึงโกนหัว ผมเลยได้แต่บอกเธอว่า...กลัวตกเทรนด์!พ่อดูเหมือนจะชอบทรงผมใหม่ของผมและบอกว่ามันเข้ากับสไตล์ของพ่อมากกว่า พ่อยังเล่าเกี่ยวกับสมัยเรียนและเปิดเผยว่าเขาก็เคยมีทรงผมแบบเดียวกันในสมัยนั้น ในขณะที่เอมิเลียน้องสาวของผมเอาแต่ล้อเลียนลุคใหม่และเรียกผมว่า 'พี่ชายหัวล้าน' ตลอดทั้งสัปดาห์ ผมเหนื่อย ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการกลับไปลอนดอน ซึ่งทำให้จุงโล่งใจเป็นอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใดการสอบก็ใกล้เข้ามาทุกทีมากไปกว่าการที่ไม่ค่อยจะพอใจนักของที่บ้านผมก็กลับมาลอนดอนและพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่ถือหนังสือในมือและสวมแว่นตากรอบหนาอันใหม่ก่อนที่จะออกจากห้องเพื่อไปเรียนทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นบันไดของอาคาร ผมเห็นนักศึกษาที่รู้จักกันมองมาทางผม บางคนมีสีหน้าตกใจ ขณะที่บา
“หายใจเข้าลึกๆ” เธอพูด และผมก็บังคับตัวเองให้วางมือลงบนเข่าแล้วมองไปข้างหน้า ในขณะที่รู้สึกว่าเธอกำลังแตะที่หน้าอกของผม“เอซ?”จุงวิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัดขณะที่เขามองมาที่ผม และหันไปถามหมอ "เขาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" เขาถามขณะวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้แล้วหันกลับมาหาผมขณะที่หมอตรวจโดยใช้หูฟังของแพทย์ "หายใจออก" หมอบอกและผมก็ทำตาม ผมมองไปที่จุงที่ดูสับสนจนเกินไป“อืม ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกตินะ” หมอที่ดูเหมือนจะอายุ 50 ปลายๆ หัวเราะเบาๆ ขณะที่เธอตบที่หลังและโยนหูฟังของเธอไปคล้องที่คอ เธอผลักเก้าอี้หมุนไปที่โต๊ะของเธอ “หมอครับแล้วทำไมหัวใจผมถึงเต้นแรงล่ะครับ” ผมถามอย่างสับสนขณะเอามือแตะหน้าอกและรู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรง“หัวใจเต้นแรง?” จุงดูงุนงง“ใกล้สอบแล้วใช่ไหมล่ะ หรืออาจจะเป็นภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ความเครียดจากการสอบ” หมอพูดแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมมั่นใจจริงๆว่าไม่ได้เป็นอะไรเครียดเรื่องสอบน่ะเหรือ? อะไรกัน? ผมพร้อมมากสำหรับการสอบ “คุณหมอครับ ผมควรต้องไปตรวจเลือดอะไรแบบนี้ไหมครับ” ผมดึงดันให้เธอตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น และเธอก็มองมาที่ผมผ่านแว่นอ่านหนังสือและพยักหน้า “ก็ได้ค
ตาของผมมองเร็วๆผ่านกระดานประกาศผลการสอบ เอซ ไนท์อันดับอยู่ที่หนึ่ง ริมฝีปากของผมก่อตัวเป็นเส้นบางๆ ผมทำคะแนนได้น้อยกว่าคะแนนเต็มไปห้าคะแนน ทำไมนะ? ผมถอนใจขณะที่คิดว่าผมทำคะแนนกับ5 แต้มที่เหลือได้อย่างไร ผมงีบหลับอยู่ในห้องสอบอย่างต่อเนื่อง และทั้งหมดก็เป็นเพราะ....เพราะ...อะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้“ยินดีด้วยเพื่อน นายได้อันดับท็อปอีกแล้ว” จุงยิ้มขณะที่เขาเดินเข้ามาหาผม ขณะที่ผมกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง“เอซ?”"สวัสดี!"“เฮ้ เอซ!” เสียงของจุงทำให้ฉันหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเอง และมองที่เขาอย่างงงงันด้วยเสียงขึ้นอย่างกะทันหัน "อื้ม อะไรเหรอ?" ผมถามในขณะที่เขาหรี่ตามอง “นายดูไม่ค่อยมีความสุขเลยนะที่เป็นคนที่สอบผ่านด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง” เขามองอย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่ผมจะตอบคำถามไปเขาก็มองมาด้วยสายตาที่บอกว่าฉันรู้แล้วดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาจ้องมองมาที่ผม “นี่แหละปัญหาของคนอย่างนายนายแค่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี!” เขาบ่นอย่างฉุนๆและฉันก็ยักไหล่ให้เขา“เอซ นายไม่เข้าใจเหรอ นายเป็นตัวท็อป!ตัวท็อปเลยนะ! นายได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนเต็มเพียงแค่ห้าคะแนน ในขณะที่คนที่ได้อันดับสองได้คะ
คุณรู้ว่าคุณต้องการทำอะไรบางอย่าง แต่คุณไม่สามารถทำได้ คุณกำลังทำมัน แต่สมองของคุณไปอยู่ที่อื่น มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องโง่ๆที่ไม่ควรจะกังวลจริงๆ ไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นแต่คุณปล่อยให้สมองของคุณไปยุ่งกับเรื่องโง่ๆนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ ผมอ่านหนังสือมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว แต่ไม่มีอะไรเข้าหัวเลย ราวกับว่าดวงตาของผมกำลังมองผ่านลายเส้นที่ว่างเปล่า สมองของผมก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้ น่าหงุดหงิดชะมัด!ผมปิดหนังสือและเดินไปที่ระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ มันดึกแล้วและผมก็แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืน มันเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแสงจันทร์ส่องสว่างทั่วทั้งวิทยาเขต และผมก็ได้ยินเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของนกเค้าแมว วิทยาเขตแห่งนี้เป็นบ้านของนกเค้าแมวสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมาก และผมก็เคยชินกับเสียงแหลมของพวกมัน ลมหนาวที่พัดมากระทบหน้า ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลับไปนอนหลับฝันดี ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันขณะที่ผมกำลังจะหันหลัง มีบางอย่างกระทบหน้าเข้าอย่างจังด้วยความตกใจ ผมจึงกระโดดหลบเข้ามาข้างในจับแว่นตาไว้ไม่ให้หล่นจากระเบียง ผมมองลงไปก็พบกับยางลบและรอยที่หัวคิ้วผมหยิบขึ้นมาแ
"เพื่อน?" จุงดูตกใจเมื่อเขารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเวโรนิกา เวโรนิกาจิบกาแฟเย็นเธอนั่งบนที่นั่งและมองมาระหว่างที่เราคุยกัน “เดี๋ยวก่อนนะ! เธอทะเลาะกับเชลซีเหรอ?” เขายิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ ขณะที่เขาหันเก้าอี้ไปทางเวโรนิกาเวโรนิกายิ้มให้เขาซึ่งเป็นการให้คำตอบว่า ใช่แล้วเธอมีเรื่องกับเชลซี"เยี่ยมมาก! คุณผู้หญิง!" จุงดูตื่นเต้นและทั้งคู่ก็แปะมือไฮไฟว์กัน และผมก็กลอกตาขณะกินอาหาร โรงอาหารดูเหมือนจะค่อนข้างแออัด และเราสามคนก็นั่งที่เดียวกับตอนที่ผมพบกับเวโรนิกาครั้งแรก “ฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่ในที่สุดก็มีคนมาทำให้เอลเลียตและแฟนของเขารู้ตัวเสียที เธอรู้ดีว่าเอซน่ะ ไม่มีวันที่จะมีท่าทีต่อต้านพวกเขาเลย” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อ “เฮ้ เธอรู้มั้ยว่าเอซน่ะ ไม่เคยขึ้นเสียงกับใครเลยจริงๆ?” เขาถามและนั่นทำให้เวโรนิกามองมาทางผม "จริงเหรอ?" เธอถามและผมก็ทำเป็นไม่สนใจขณะที่หยิบส้อมมากินอาหาร“เฮ้ พวก” เราเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็พบกับเรยันซ์ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนดีอีกคนที่เป็นรุ่นน้อง "ผมนั่งตรงนี้ได้ไหม?" เขาถามและผมก็ยิ้มให้เขา และเขายิ้มตอบแล้วนั่งลง "ใครเหรอ?" เวโรนิกากระซิบถามฉัน
สิบสี่ปีต่อมาเมื่อเดินไปตามถนนที่พลุกพล่านในแมนฮัตตัน ผมรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่คนธรรมดาจะต้องวิ่งวุ่นผ่านพ้นไปในแต่ละวันจนกว่าจะถึงวันสิ้นเดือนของพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกของที่ผมเดินไปตามท้องถนน เพราะรถเกิดยางแบนและผมต้องทิ้งมันไว้ข้างทางกับคนขับขณะที่เขากำลังยุ่งกับการเปลี่ยนยาง ผมก็ใช้เวลาเดินไปยังอาคารสำนักงานของผมซึ่งจริงๆ แล้วเป็นน้องสาวผม ที่เข้ามาดูแลกิจการบริษัท ไนท์ คอร์ปซึ่งเป็นบริษัทของพ่อตึกนี้ตั้งตระหง่านและแข็งแกร่งเหมือนพ่อและน้องสาวของผมพวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัทให้คงไว้ดังที่เคยเป็นมาตั้งแต่ตอนที่ปู่ผู้ล่วงลับของผมเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ผมได้ยินมาว่าหลายคนพยายามอย่างมากที่จะแย่งชิงบริษัทไปจากพ่อ แต่ด้วยความที่เป็นคนหัวแข็งและดื้อรั้น เขาไม่เคยล้มเหลวและแสดงให้ผู้คนได้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาทำได้ดีกว่าพ่อของเขาเองเมื่อทำธุรกิจ ตอนนี้เป็นน้องสาวของผมเอมีเลีย เกรซ ไนท์ ที่แสดงความสนใจในธุรกิจของพ่อมาโดยตลอด และผู้คนต่างเชื่อว่าเธอคือบุคคลที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารบริษัทสืบต่อจากพ่อ เธอสำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ดเมื่อหนึ่งปีที่แล้วและได้เข้ามาร่วมทำงานท
สามเดือนแล้วที่ผมเป็นเพื่อนกับเวโรนิกา เราสามคน ผม เวโรนิกาและจุง และบางครั้งเรยันซ์ พวกเราต่างสนุกไปกับสายใยแห่งมิตรภาพ ออกไปเที่ยวด้วยกัน เรียนด้วยกัน และทำสิ่งอื่นๆด้วยกันตามที่คนปกติทั่วไปทำกันในกลุ่มเพื่อน เรยันซ์ ได้สร้างกลุ่มเพื่อนในแอปพลิเคชั่นแมสเซนเจอร์สำหรับเราทั้งสี่คน และผมก็จะช่วยพวกเขาเป็นครั้งคราวหากพวกเขามีข้อสงสัยในวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาอื่นๆ แต่มีบางอย่างที่คอยกวนใจผมอยู่เสมอ นั่นคือเวโรนิกา เมื่อใดก็ตามที่เธอยิ้ม ผมจะรู้สึกบางอย่างผิดปกติราวกับว่าเธอได้ไม่มีความสุขอย่างที่เธอแสดงให้เราเห็น ผมไม่เคยรู้สึกอะไรเลยหรือสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อใดก็ตามที่เธอหัวเราะ เราจะสัมผัสมันได้เมื่อเรายิ้มหรือเห็นคนอื่นยิ้ม? แต่ในกรณีนี้ ผมไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ทุกครั้งที่เธอยิ้ม มีบางอย่างในดวงตาของเธอ ตลอดหลายเดือนมานี้ ผมได้เพ่งความสนใจไปที่เธออย่างสมบูรณ์ และทำให้ถามตัวเองว่าผมสนใจเธออยู่หรือ แต่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบห้า จะรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตหรือความรัก?ดวงตาของเธอว่างเปล่าเสมอ เธอซ่อนอะไรบางอย่างไว้เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น และนั่นทำให้ผมอยู่ห่างจากเธอ ผมชอบอะไรที่เป็นความลับ และไ