เมื่อการเจรจาต่อรองไม่เป็นผล พิมภาจึงตรงกลับบ้านด้วยความกลัดกลุ้มใจ ขณะเดียวกันกิตติภพเองก็ลำบากใจมากเหมือนกัน เขาคิดแล้วคิดอีกถึงเรื่องนี้
การบังคับลูกให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไม่ต่างอะไรจากการที่ขายลูกกิน เธอเป็นลูกสาวที่รักมากเพราะเกิดจากผู้หญิงที่เขารักมากด้วยเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะต้องทำแบบนี้กับลูก ที่ผ่านมาเฝ้าทะนุถนอมตั้งแต่เล็กจนโต แล้วนี่หรือคือสิ่งที่ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาจะต้องเจอ การทรมานชั่วชีวิต แต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันช่างทุกข์ทรมาน ขนาดตนเองแต่งกับศจีหลังจากที่สูญเสียภรรยาที่รักไป วันนี้ชายวัยกลางคนยังรู้สึกทรมานแทบขาดใจ ทั้ง ๆ ที่เลือกมาเองแท้ ๆ ตอนนั้นก็เลือกด้วยความรู้สึกที่รักอยู่เหมือนกัน นี่คนที่ไม่ได้รักกันเลยจะแต่งกันได้อย่างไรนะ เขาคิดจนหัวแทบแตกและรู้สึกปวดหัวมากขึ้น กิตติภพนั่งดื่มอยู่ที่บาร์ภายในบ้านจนกระทั่งลูกสาวเดินเข้ามานั่งลงเคียงข้าง
“พ่อคะ… หนู…”
“พ่อตัดสินใจแล้วบริษัทจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ถ้าลูกไม่อยากแต่งงานจริง ๆ พ่อก็จะไม่บังคับ พ่อไม่อยากขายลูกกิน ยกโทษให้พ่อเถอะนะ”
เท่านั้นเองพิมภาก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความเสียใจ มันอัดอั้นตันใจจนไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก เธอโผเข้ากอดพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความซาบซึ้งสองคนพ่อลูกกอดกันร้องไห้
นานเท่าไรที่สองพ่อลูกเหินห่างและไม่ค่อยเข้าใจกันพูดคุยกันน้อยลงทุกวัน กระทั่งไปอยู่ต่างประเทศก็มีแต่ความคิดถึงให้กัน แต่ด้วยภาระหน้าที่และอะไรหลายอย่างทำให้กิตติภพไม่เคยไปเยี่ยมลูกสาวเลยสักครั้งเดียว
ความโดดเดี่ยวและความเหงาแทรกซึมเข้าไปทุกอณู แต่พิมภาก็อดทนตั้งแต่เสียแม่ไป ทั้งชีวิตของเธอก็มีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้นที่รักสุดหัวใจ ผู้เป็นพ่อเองก็รักแต่ไม่ค่อยเอ่ยปากจนกระทั่งวันนี้ที่ได้เห็นความรักของผู้เป็นพ่ออย่างแท้จริง
“หนูคิดถึงแม่จังเลย”
“พ่อก็คิดถึง คิดถึงแม่ของลูกสุดหัวใจ”
“ฮึก… พ่อขา ฮื้อออ~”
“ลูกพ่อ อย่าร้องเลยนะ พ่อขอโทษ ต่อไปนี้พ่อจะไม่บังคับอะไรลูกอีกแล้ว ใช้ชีวิตของลูกต่อไปเถอะนะไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก”
“อึก… ฮึก… พ่อขา… พ่อ… ฮือ… หนูขอโทษที่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้เลย ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรลูกพ่อ ไม่เป็นไรเลย พ่อผิดเองที่ทำให้ทุกอย่างมันพังไปหมด”
สองคนพ่อลูกนั่งปรับความเข้าใจกันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดใจในสิ่งที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน กิตติภพปลอบลูกสาวจนเธอหยุดร้องไห้ พิมภาร้องไห้จนปวดหัวท้ายที่สุดจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อน
ร่างของชายวัยกลางคนเดินเข้าไปนั่งที่ห้องทำงาน เปิดแฟ้มเอกสารต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กว่าเขาผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนอีกครั้ง พยายามขบคิดหัวแทบแตก แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็มองไม่เห็นทางออก อับจนหนทางไปหมด เขาสุดแสนจะสมเพชตัวเองที่ไร้ความสามารถถึงเพียงนี้
“ป้าคะ คุณพ่อลงมาหรือยังคะ ถ้ายังเดี๋ยวหนูจะออกไปก่อน รบกวนบอกคุณพ่อด้วยนะคะว่าวันนี้หนูมีธุระนัดกับเพื่อนเอาไว้”
“คุณหนู ป้ายังไม่เห็นว่าคุณท่านจะลงมาเลยนะ ดูเหมือนจะยังไม่ออกจากห้องทำงานเลยนะคะ เพราะว่าเมื่อเช้ายัยแป้นขึ้นไปทำความสะอาดห้องของคุณท่านแล้ว แต่ก็ไม่เห็นคุณท่านอยู่ในห้อง คุณหนูจะเข้าไปพบคุณพ่อก่อนไหมคะ” ป้านวลคนเก่าแก่ของบ้านเอ่ยบอกอย่างห่วงใย
“ยังไม่ออกจากห้องทำงาน ?” พิมภาคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืน จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ลงมาด้วยความอารมณ์ดีแท้ ๆ เพราะพ่อยอมรับความคิดเห็นแล้วก็เปลี่ยนใจไม่ให้เธอแต่งงาน แต่พอรู้ว่าพ่อยังอยู่ในห้องทำงานนั้น ก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีจึงรีบสาวเท้าเดินไปที่ห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
“คุณพ่อ !!”
“คุณท่าน !!”
“ป้านวลโทร.ตามรถพยาบาลเร็วเข้า”
ถึงแม้จะตกใจแค่ไหนพิมภาก็พยายามตั้งสติ ร่างสูงของชายวัยกลางคนนอนแน่นิ่ง ไม่มีเลือดหรืออะไรที่บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะจับแตะเนื้อต้องตัวผู้เป็นพ่อมากนัก ก็ไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บที่ตรงไหน ทำให้ได้แต่ร้องไห้มือสั่นตัวสั่น
ขณะที่ป้านวลก็วิ่งกลับมาหา มือไม้สั่นแล้วร้องไห้ด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนกอดกันระหว่างที่รอรถพยาบาลมาถึง ไม่นานนักเสียงรถฉุกเฉินก็แล่นเข้ามาจอดภายในบ้าน สาวใช้คนอื่นพาบุรุษพยาบาลและพยาบาลกู้ชีพมาปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากนั้นนำตัวส่งโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรรู้แค่ว่าเนิ่นนานมากในความรู้สึก พิมภาเดินกระวนกระวายแล้วร้อนรนอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง
“ตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณภพถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้ เกิดอะไรขึ้น พูดมาซิ !!”
ศจี รีบชิงโวยวายเสียงดังขึ้นก่อน เพราะกลัวว่าหากอีกฝ่ายเป็นอะไรไปตนจะไม่ได้สมบัติถึงแม้มันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเสียมันก็ยังมีอะไรที่เธอควรจะได้จากที่นี่บ้าง ไม่อย่างนั้นการแต่งเข้าตระกูลคนรวยก็ไม่มีประโยชน์อะไรน่ะสิ เมื่อถามลูกเลี้ยงแล้วอีกฝ่ายไม่พูดอะไร จึงได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาในทันที
“คอยดูนะ หากว่าคุณภพเป็นอะไรขึ้นมาละก็ เธอจะไม่ได้อะไรแม้แต่สตางค์แดงเดียว แม้แต่รูปของแม่แกที่เก็บเอาไว้ในห้องเก็บของรก ๆ นั่น”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดแบบนั้น พิมภากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำเอาแต่นั่งทำหน้าเครียด จ้องมองไปที่ห้องฉุกเฉิน หลังจากที่เธอเดินวนไปวนมาจนอ่อนล้าไปทั้งกายและใจจึงเลือกมานั่งรอคอย พยายามที่จะใจเย็นที่สุดเพราะทุกอย่างประดังประเดเหลือเกิน
เธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของพ่อในมุมนี้มาก่อน ไม่รู้เลยว่าพ่อจะเครียดจนถึงขั้นล้มตึงไปแบบนั้น การรอคอยยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดผู้เป็นแม่เลี้ยงก็ทนไม่ไหวบอกว่าเหม็นกลิ่นยาเหลือทน รู้สึกเวียนหัวขอตัวกลับบ้านไปก่อน
พิมภายังคงรอคอยอยู่ตรงนั้นอย่างมีความหวังในที่สุด หลังจากผ่านไปนานกว่าสิบชั่วโมงหมอก็ออกมาจากห้องผ่าตัด ใบหน้าของหมอก็ซีดเซียวและชื้นเหงื่อไม่น้อย สีหน้าและแววตาค่อนข้างจะเคร่งเครียด
“ลุงหมอคะ คุณพ่อเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอปาฏิหาริย์เพราะว่าเส้นเลือดในสมองแตกแล้วก็มาถึงโรงพยาบาลช้ามาก ยังดีที่เจ้ากิตยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้แต่... คงไม่เหมือนเดิม”
“ขอบคุณลุงหมอมากค่ะที่ช่วยคุณพ่อ”
“อืม... เราก็เหมือนญาติกัน อย่าคิดมากเลยหนูพิม” หมอเกษมสันต์ที่คอยดูแลตระกูลเรืองเดชสกุลมาหลายรุ่น เอามือแตะไหล่บางอย่างให้กำลังใจก่อนจะเดินจากไป
พิมภาทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง ทั้งโล่งอกแล้วก็ไม่สบายใจไปพร้อม ๆ กัน โล่งอกที่อย่างน้อยพ่อก็ยังมีชีวิตอยู่ เธอยังคงมีความหวังเพราะหมอบอกว่าให้รอปาฏิหาริย์ แต่ถ้าพ่อจะต้องพิการไปตลอดชีวิตหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา จะทำอย่างไร บริษัทที่พ่อรักต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากที่นั่งคิดสักพักหญิงสาวก็เดินไปที่ห้องซึ่งถามพยาบาลมาแล้วว่าพ่อพักฟื้นอยู่ที่ห้องนี้
พิมภาคิดย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เธอเองเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ ด้วยความที่ไม่ชอบในตัวแม่เลี้ยงจนพยายามต่อต้านอยู่ลึก ๆ คิดแต่จะสู้รบปรบมือกันจนลืมนึกถึงคนกลางแบบพ่อ สาเหตุที่พ่อต้องมาเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากตน ถ้าอย่างนั้นหญิงสาวก็คงไม่เหลือตัวเลือกอื่น เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาอัศวิน…
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต