พิมภามองดูตึกระฟ้าตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ เธอรู้ว่าเขาร่ำรวยแต่ก็ไม่คิดว่าจะรวยขนาดนี้ คาดเดาด้วยสายตาตึกนี้สูงมากทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะสูงกว่าหนึ่งร้อยชั้นก็เป็นได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่เมืองไทยจะมีตึกแบบนี้อยู่อีก มหาเศรษฐีในเมืองไทยมีมากก็จริงแต่น้อยคนที่เป็นเจ้าของตึกสูงเช่นนี้ได้ แถมการดีไซน์ของตึกก็ยังสวยมากอีกด้วย
อัศวิน สิงหมนตรี จะเป็นผู้ชายแบบไหนกันแน่นะ คิดแล้วก็สงสัย ปกติเธอเคยเจอแต่ผู้ชายที่เย่อหยิ่งและโอ้อวด หญิงสาวแอบคาดหวังว่าเขาจะไม่เป็นแบบนั้นเพราะอยากเจรจากันให้ง่ายที่สุด
“มาหาใครคะ”
“ต้องการพบคุณอัศวินค่ะ อัศวิน สิงหมนตรี”
“ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัดค่ะ ดิฉันชื่อพิมภา คุณคงจะเป็นเลขาฯ อาจจะพอได้ยินชื่อของฉันมาบ้าง ใช่ไหมคะ ?”
“อ๋อ คุณพิมเองเหรอคะ พอดีว่าท่านประธานกำลังประชุมใหญ่อยู่ค่ะ น่าจะใช้เวลาอีกสักประมาณสองชั่วโมง ถ้าหากว่าคุณรอได้ก็เชิญรอที่ห้องอาหารใต้ดินก่อนได้เลยค่ะ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ก็คงน่าจะไม่เกินสองชั่วโมงโดยประมาณค่ะ ถ้าหากว่าท่านประธานประชุมเสร็จออกมาแล้วจะบอกให้ค่ะว่าคุณมาขอพบ เดี๋ยวฉันจะให้คนพาไปค่ะ”
พิมภาพยักหน้าให้แทนการรับปาก เพราะประเมินและสำรวจด้วยสายตามาแล้ว ที่นี่เป็นตึกชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเธออาจจะลืมเลือนไปบ้างเพราะไปอยู่ต่างประเทศนาน ที่นี่คล้ายกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เลยด้วยซ้ำ มีแหล่งร้านค้ามากมายแถมยังเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินอีกด้วย เป็นตึกที่ไม่ใช่แค่ตึกสำนักงานแต่เป็นตึกที่ปล่อยให้เช่าให้คนได้ทำมาค้าขาย กลายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางเมือง นับว่าคนของครอบครัวนี้มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลยิ่งนัก
เธอเดินชื่นชมความงดงามของตึก แล้วก็ชื่นชมผู้ก่อตั้งที่นี่ไปด้วย อารมณ์ค่อนข้างสงบนิ่งมากกว่าปกติ แต่ก็เริ่มแปรปรวนมากขึ้น อารมณ์เริ่มจะคุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหญิงสาวรอแล้วรอเล่ามองนาฬิกาหลายครั้งก็พบว่าผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ขาดอีกเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
“บ้าจริง ทำไมผู้บริหารพวกนี้ถึงได้หัวแข็งแบบนี้นะ พูดอะไรไปก็แทบไม่เข้าหัว พวกหัวโบราณ ทำไมคนเราจะเป็นประธานและดูแลบริษัททั้งสองที่ไม่ได้ มีอะไรจะต้องย้ายให้เราไปดูแลบริษัทของฝั่งนั้นเต็มรูปแบบและฝั่งนี้จะให้ใครดูแล หึ วางแผนเอาไว้แยบยลจริงนะ”
อัศวินเดินบ่นออกมาจากห้องประชุมอย่างไม่ค่อยพอใจเพราะประชุมวันนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความเครียด ชายหนุ่มพยายามที่จะโต้แย้งและต่อรองกับทุกคน เนื่องจากวันนี้เป็นการตกลงกันครั้งสุดท้ายว่าจะให้เขาย้ายไปดูแลและเป็นประธานบริษัทของคนที่อัศวินจะต้องแต่งงานด้วยในเร็ววันนี้ ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำตามนั้น ถึงแม้เขาจะโต้แย้งต่อรองอยู่เสมอว่ายังอยากเป็นประธานที่นี่ควบคู่ไปด้วยแต่สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ ต้องส่งต่องานให้กับคนที่มารับช่วงต่อ
ถึงแม้จะไม่พอใจก็ต้องเก็บเอาไว้ให้ลึกสุด ๆ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาเป็นลูกที่พ่อคาดหวังมากแล้วก็รักมาก ถึงแม้จะไม่ค่อยแสดงออกเพราะเกรงใจแม่ใหญ่ก็ตาม ถึงจะรู้อยู่เต็มอกก็ตาม อัศวินก็ยังโมโหหงุดหงิดอยู่ดีที่พ่อบังคับให้แต่งงานกับอีกครอบครัว แล้วยังต้องย้ายไปดูแลที่นั่นอย่างเต็มรูปแบบอีกต่างหาก เลยทำให้พาลโมโหฝ่ายครอบครัวของว่าที่เจ้าสาว
อัศวินเดินหงุดหงิดใบหน้าบึ้งตึงขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง เลขานุการที่ทำงานกับเขามานานก็พุ่งเข้ามาขวางไว้อย่างทันท่วงที
“คุณอัศวินคะ มีคนมาขอพบค่ะกำลังรอคุณอยู่ที่ร้านอาหารชั้นใต้ดิน”
“ใครครับ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า”
“เธอแจ้งว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณค่ะ คุณพิมภา”
“เธอมารอตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เอ่อ… ถ้าดูเวลาตอนนี้อีกไม่กี่นาทีเธอก็จะรอครบสามชั่วโมงแล้วค่ะ”
“บ้าจริง !!”
ชายหนุ่มกลับหลังหันทันที จากที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปเคลียร์งานในห้องให้มันจบ ๆ ก่อนที่จะกลับบ้าน กลายเป็นว่าเขาต้องรีบร้อนตรงไปที่ชั้นใต้ดิน เดินดุ่มไปที่ร้านอาหารซึ่งเลขานุการมักจะนัดคนสำคัญให้มาพบที่นี่อยู่เสมอ จึงไม่จำเป็นต้องสอบถามว่าเป็นร้านอะไร ร่างสูงรีบตรงไปยังห้อง VIP ซึ่งเป็นห้องประจำของเขาเช่นเคย ขณะที่พิมภากำลังลุกขึ้นยืนนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่อัศวินนั่งลงตรงข้ามตรงที่ที่เธอเคยนั่งอยู่ หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจและค่อนข้างตกตะลึง
“นี่คุณ… ผิดที่หรือเปล่า นั่งผิดใช่ไหม”
“หึหึ ใช่ที่ไหนกันล่ะคุณ ผมน่ะมาถูกที่แล้ว คุณน่ะถูกหรือเปล่า”
อัศวินหัวเราะในลำคอเพราะเห็นสีหน้าที่ตื่นตกใจของเธออย่างปิดไม่มิด ชายหนุ่มก็ตกใจไม่แพ้กันไม่นึกเลยว่าคนที่ตบหน้าเขาในตอนนั้นจะเป็นว่าที่เจ้าสาว หรือเรียกง่าย ๆ ว่าที่เมียนั่นแหละ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในลำคอของร่างสูงสร้างความไม่พอใจแปลก ๆ ให้กับพิมภา
“คุณเป็นใคร”
“คุณนัดใครเอาไว้ ผมก็คือคนนั้นนั่นแหละ”
“คุณคืออัศวิน ?”
พิมภาแอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จะกลับลงไปนั่งอีกครั้งและพยายามปั้นสีหน้านิ่ง ๆ เข้าไว้ ไม่แสดงออกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ถึงแม้จะรู้ว่าสายไปหน่อยเพราะก่อนหน้านี้เธอทำหน้าตาตื่นตกใจไปแล้ว เขาคงจะจับสังเกตได้อยู่แล้วละ หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าอารมณ์และน้ำเสียงให้คงที่ก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง เอ่ยพูดถึงวัตถุประสงค์ที่ตัวเองมาในวันนี้
“ฉันอยากจะมาต่อรองในเรื่องการแต่งงานของเรา ฉันเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย คุณยกเลิกงานแต่งงานได้ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะ ในเมื่อเราสองคนต่างคนต่างก็ไม่ได้รักหรือรู้สึกดีต่อกัน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ จะแต่งงานอยู่กินกันได้ยังไง”
“ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“ฉันยินดีที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้งานแต่งนี้ไม่ต้องเกิดขึ้น ขอแค่คุณยอมช่วยฉันกอบกู้ธุรกิจของพ่อ ฉันจะถือว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณ แล้วก็จะตอบแทนคุณทุกอย่างแต่ไม่ใช่การแต่งงานแน่ ๆ”
“ตอบแทนยังไง”
“จะให้ฉันทำงานชดใช้ไปทั้งชีวิตเลยก็ได้ แต่คุณแค่บอกกับครอบครัวคุณให้ช่วยเกื้อหนุนบริษัทของฉันหน่อย ช่วยลงทุนช่วยดูแลหรืออะไรก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้กิจการของพ่อตกไปอยู่ในมือของใครทั้งนั้น ฉันพูดตรง ๆ ธุรกิจของครอบครัวถ้าเป็นคุณก็คงไม่อยากให้ตกไปอยู่ในมือใครเหมือนกัน”
“แล้วยังไงต่อ”
“ฉันพูดจริง ๆ แค่คุณช่วยฉัน ฉันจะถือว่าเป็นหนี้คุณชั่วชีวิต จะให้ฉันทำอะไรก็ได้แต่ช่วยยกเลิกงานแต่งงานนี้หน่อย ฉันไม่อยากแต่งงานจริง ๆ การถูกบังคับคุณคงไม่เข้าใจ คุณเป็นผู้ชายคุณไม่มีอะไรเสียหายเลยนะ อีกอย่างการลงทุนในธุรกิจโดยที่ให้คุณถือหุ้นส่วนหนึ่งมันก็น่าจะเพียงพอแล้วนี่”
“พูดง่ายไปไหมล่ะคุณ คิดจะมาหลอกใช้ผมอย่างเดียว ให้ถือหุ้นส่วนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์แลกกับการที่ผมต้องลงทุนและทำงานเพื่อช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้ฟื้นฟู แล้วผมจะได้อะไรล่ะ ?”
พิมภาพยายามต่อรองขอร้องอ้อนวอน งัดไม้เด็ดต่าง ๆ มาพูดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ช่างเจรจาและเป็นเหตุเป็นผลมากแล้ว แต่อัศวินฟังแค่ผ่าน ๆ เท่านั้นเพราะเขานึกชอบใจในตัวเธอขึ้นมา ชายหนุ่มเห็นใจอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยแหละ แต่ร่างสูงก็ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจหลังจากที่คนตรงหน้าพูดประโยคสุดท้ายจบ
“ขอโทษด้วยนะ ที่จริงแล้วผมเองก็ถูกบังคับมาเหมือนกัน ผมคงช่วยอะไรเรื่องนี้ไม่ได้หรอก ครอบครัวผม มีพ่อของผมที่เป็นคนกุมบังเหียนอย่างแท้จริง เขาเป็นคนออกคำสั่ง”
“หมายความว่ายังไงคะ ?”
“ผมพูดชัดแล้วนะ พ่อผมเป็นคนกำหนดชีวิตผมเหมือนกับคุณนั่นแหละที่ถูกพ่อกำหนดชีวิตเอาไว้แล้ว ผมไม่สามารถโต้แย้งหรือเปลี่ยนใจท่านได้ เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ”
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต