ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาอีกหลายสิบขั้นจนถึงชั้นสามในที่สุด ก่อนจะพบว่าหมายเลขห้องเรียงเหมือนกับชั้นสองเลย ทำให้การหาห้องของกันต์ง่ายกว่าครั้งแรกและไม่นานก็เจอห้องสามหนึ่งสาม ทว่าเมื่อกันต์จะใช้กุญแจไขเปิดประตูห้องก็มีนักศึกษาหนุ่มร่างบึกบึนคนหนึ่งเปิดประตูออกมาพอดี
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มผิวแทนกล่าวทักทาย
“ดีครับ คนไหนพักห้องนี้เอ่ย” อีกฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่เห็นน้องใหม่ยืนอยู่หน้าห้องสองคนก็ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร
“ผมครับ” กันต์ตอบกลับแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ก็รุ่นพี่ตรงหน้าดูน่ากลัวจะตายไป หุ่นนี่อย่างกับหมีเลย ถึงเขาจะตัวใหญ่ไม่แพ้กันแต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับรุ่นพี่ที่หุ่นเป็นนำมวยปล้ำแบบนี้
“อ่า เข้าไปจัดของได้เลย พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย”
“ผมให้เพื่อนเข้าไปด้วยได้มั้ยครับ”
“...เอ่อ...” คำถามของกันต์ทำเอาอีกฝ่ายอึกอักเล็กน้อย อินเห็นว่ารุ่นพี่คนนั้นมีท่าทีไม่สบายใจก็พูดอธิบาย
“ผมชื่ออินครับอยู่ห้องสองศูนย์ห้าคือผมแค่อยากมาดูว่าเพื่อนอยู่ห้องเดียวกับใคร ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยครับ” น้ำเสียงของอินฟังดูจริงจังและหนักแน่นจนทำให้รุ่นพี่ยอมใจ
“ก็ได้...ยังไงก็อย่าทำเรื่องวุ่นวายล่ะ” การกระทำดังกล่าวทำให้รุ่นพี่รู้สึกดีและมองว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนคงไม่ทำอะไรเสียหาย เลยอนุญาตและ กล่าวเตือนเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากไป
“คนอะไรจะตัวใหญ่ได้ขนาดนั้น” เงาของรุ่นพี่ไม่ทันจะหายลับตา เสียงของกันต์ก็ดังพึมพำขึ้นทันที
“แต่พี่เค้าดูเป็นคนใจดีนะ ไม่งั้นคงไล่กูกลับห้องไปนานละ” อินพูดพลางคิดว่ารุ่นพี่คนนั้นดูเป็นคนใจดีจริง ๆ เพราะการที่อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวพวกเขาขนาดนี้แสดงว่าเป็นพื้นฐานก็คงเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย
“มึงกลับห้องได้ละ” อินที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ต้องย่นคิ้วทันทีเพราะคำพูดจากเพื่อนสนิทที่ตอนนี้จัดวางสัมภาระอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถามตามปกติเพื่อให้แน่ใจ
“ให้กูอยู่ช่วยจัดของก่อนมั้ย” คำถามนั้นทำให้กันต์หยุดมือที่กำลังจะเปิดกระเป๋าและหันหน้ามองอิน
“กูพูดจริงนะไอ้อิน กูรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้กลัวขี้ขลาด แต่มึงไม่ต้องดูแลกูขนาดนี้ก็ได้ แค่มึงเดินมาเป็นเพื่อนจนถึงห้องพักเนี่ย กูก็สบายใจแล้ว มึงเป็นคนพูดเองว่าต่อไปกูก็ต้องใช้ชีวิตคนเดียว ให้กูค่อย ๆ เรียนรู้ไปอ่ะ อีกอย่างคือกูไม่ใช่น้องชายมึงนะ...”
“...โอเค...งั้นกูกลับห้องก่อน มีอะไรก็โทรมา” น้ำเสียงที่ตอบกลับไปฟังดูเศร้าหมองกว่าปกติแต่อินรู้ดีว่าเพื่อนสนิทพูดด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์
“เออ แล้วมึงก็ไม่ต้องเก็บคำพูดกูไปคิดมากอีกล่ะ ที่กูพูดไปเพราะอยากให้มึงได้ใช้ชีวิตของมึงบ้างเหมือนกัน กูไม่มีอะไรในใจทั้งนั้น” กันต์แตะบ่าอินเบาๆ อย่างรู้ใจ
“เออน่า กูเข้าใจแล้ว” อินพยักหน้างึกงักและเดินกลับห้องตัวเอง
เมื่อถึงห้องพัก อินหยุดนิ่งยืนมองตัวเลขสีทองที่ติดอยู่หน้าประตู เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมาพรูใหญ่ราวกับกำลังระงับความวิตกกังวลภายในจิตใจ
“หรือความจริงแล้วเป็นตัวกูเองที่ขี้กลัว”
สองขายาวก้าวเข้าห้องและทำความสะอาดเท่าที่ทำได้ ก่อนจะจัดแจงสัมภาระที่ขนมาให้เข้าที่เข้าทาง เสื้อผ้าประเภทชุดนักศึกษาถูกนำไปแขวนไว้ในตู้ล๊อกเกอร์อย่างเรียบร้อย ขณะที่เสื้อผ้าทั่วไปถูกพับเก็บและเรียงไว้ในลิ้นชักด้านล่างตู้ รวมถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายก็ถูกจัดไว้ในซอกมุมข้างโต๊ะไม้
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เด็กหนุ่มก็จัดสรรของทุกอย่างให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสะดวกต่อการใช้งานได้สำเร็จ รวมถึงจัดของจิปาถะเล็กน้อย เช่น อุปกรณ์อาบน้ำหรืออุปกรณ์การเรียนให้เป็นระเบียบด้วยเช่นกัน ก่อนจะหย่อนก้นลงบนเบาะนอนแสนบางที่วางอยู่บนเตียงเหล็กสองชั้นแข็ง ๆ พลางเหม่อมองไปยังพื้นที่โล่งกว้างอีกฝั่ง
‘ภูริวัฒน์’
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเห็นชื่อนี้เพียงแค่ครั้งเดียวจากกระดานรายชื่อแต่เขาจำมันได้ขึ้นใจเพราะนั่นคือชื่อเพื่อนร่วมห้องที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยจนกว่าจะเรียนจบมหาลัยฯ คิดว่าคงเป็นอย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายไม่ชิงย้ายหอไปเสียก่อน จะว่าไปเจ้าของชื่อนี้จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
เราสองคนจะนิสัยเข้ากันได้รึเปล่า ถ้าเขาออกกำลังกายในห้องพักอีกฝ่ายจะบ่นเหม็นเหงื่อมั้ยนะ สงสัยคงต้องจัดตารางฝึกนอกสถานที่ซะแล้วหรือไม่ก็ต้องไปสมัครเข้าฟิตเนสแทน จริงสิ ถ้าอีกฝ่ายเป็นพวกหัวรุนแรงจะทำยังไงดีล่ะ ยิ่งคิดยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่จนต้องสะบัดหัวเพื่อสงบสติอารมณ์
ครืดดด ครืดดด
แรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์มือถือช่วยเบี่ยงเบนความคิดมากของอินได้ทันท่วงที มือหนากดรับสายและเงียบฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“จัดของเสร็จยัง” ซึ่งปลายสายก็ไม่พ้นนายกันต์นั่นเอง
“เสร็จแล้ว มีอะไรรึเปล่า”
“กูเพิ่งจัดของเสร็จเลยว่าจะเอารถกลับไปจอดไว้ที่บ้าน วันรับน้องค่อยนั่งแท็กซี่มา มึงจะกลับเลยมั้ย” อินเงียบไปและคิดตาม ถึงแม้ว่างานรับน้องจะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าแต่เขาก็ยังไม่อยากนอนค้างที่หอพักวันนี้
“กลับ บอกพ่อไว้ว่าวันนี้แค่มาทำความสะอาดห้อง ไม่ได้บอกว่าจะมานอนค้าง”
“เค เจอกันข้างล่าง”
.
.
.
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็กลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงแก่พ่อแม่ไม่น้อยเพราะอีกสองวันก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัยฯ แล้ว แต่ทำไมเด็กหนุ่มพวกนี้ถึงไม่นอนค้างที่หอพักเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนคนอื่นกันนะ
จนกระทั่งวันรับน้องได้มาถึง อินนั่งรถโดยสารมาลงหน้ารั้วมหาลัยฯ เพียงคนเดียวเพราะกันต์มีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงและป่วยหนักจนไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ เมื่อวานอินก็โทรติดต่ออาจารย์หอเพื่อขอช่วยให้ประสานงานเรื่องยกเว้นการเข้าร่วมกิจกรรมของกันต์เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้อินก็มายืนอยู่ตรงลานกว้างที่เต็มไปด้วยใครก็ไม่รู้
ณ ลานกิจกรรมของมหาวิทยาลัย XX นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งมากหน้าหลายตาต่างก็หลั่งไหลมารวมตัวกันตรงพื้นที่แห่งนี้เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้องประจำปีการศึกษานี้ หลายคนมาด้วยกันก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มได้เร็ว บางคนมาเป็นคู่ก็จะยืนอยู่ใกล้กัน ขณะที่รุ่นพี่จากคณะต่าง ๆ ก็มาช่วยกันคอยสอดส่องดูแลรุ่นน้อง คอยดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความราบรื่น
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ร่างสูงของอินก็ถูกหลายสายตาจับจ้องเพราะเขาดูโดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือกริยาท่าทาง ทุกอย่างดูดีไปหมด เสียอย่างเดียวคือใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าคมดูดุดันจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“เขียนชื่อเล่นนะครับ” กระดาษแข็งสีเขียวสว่างแผ่นหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาพร้อมเชือกขาวแดหนึ่งเส้นงสำหรับทำป้ายชื่อ
อินมองหน้ารุ่นพี่ที่ส่งอุปกรณ์พวกนั้นมาให้ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับและหันมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่รอบข้าง ส่วนใหญ่ก็เริ่มลงมือเขียนป้ายชื่อกันแล้ว เด็กหนุ่มรอให้เพื่อนคนหนึ่งเขียนเสร็จก่อน แล้วขอยืมปากกาต่อจากอีกฝ่าย อินเขียนชื่อเล่นและร้อยเชือกขาวแดงเพื่อให้เป็นสายคล้องคอ
“เขียนชื่อเสร็จกันรึยังครับ เขียนเสร็จแล้วรบกวนแขวนป้ายชื่อและหันมาฟังทางนี้หน่อยครับ” พี่ว้ากตะเบ็งเสียงผ่านโทรโข่งดังมากจนทำให้เหล่ารุ่นน้องสะดุ้งโหยงนั่งหลังตรงกันเป็นแถว ก่อนจะหันไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
“ยินดีต้อนรับน้อง ๆ เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย XX นะครับ วันนี้ทุกคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมแรกพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็คือกิจกรรมรับน้องนั่นเอง!!!” เสียงเฮของรุ่นพี่ดังลั่นพร้อมเสียงรัวกลองสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน
“กิจกรรมวันนี้พี่ ๆ ร่วมกันจัดเตรียมไว้ให้รุ่นน้องด้วยความรักความเอ็นดูเลยนะครับ” จบประโยคพูดนี้ รุ่นพี่หลายคนที่ยืนล้อมรอบน้องปีหนึ่งต่างก็ส่งเสียงโห่แซวทันทีแต่ทำได้ไม่นาน พี่ว้ากก็ยกมือขึ้นห้ามเพื่อขอพูดต่อ
“ตอนนี้ขอให้น้อง ๆ ก้มดูป้ายชื่อของตัวเองนะครับ แต่ละคนจะได้กระดาษแข็งที่มีสีแตกต่างกัน ใครได้ป้ายชื่อสีอะไรก็ให้แยกย้ายไปตามสีนั้น ซึ่งแต่ละสีจะมีพี่เลี้ยงคอยชูป้ายบอกทางและตะโกนเรียก ขอให้แยกย้ายกันอย่างเป็นระเบียบด้วยนะครับ”
อินจำได้ว่าตัวเองรับป้ายชื่อสีเขียวมา เขาจึงหันมองรอบทิศเพื่อหาป้ายบอกทางไปยังกลุ่มสีดังกล่าว ทว่ามีเพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มพากันลุกขึ้นยืนจนทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด เด็กหนุ่มเลยตัดสินใจลุกขึ้นยืนเช่นกัน ก่อนจะเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชูป้าย ‘สีเขียว’ อยู่ไม่ไกล
โอ๊ยยยย!
“โทษที พอดีเราโดนไอ้คนนั้นชนมาอีกทีน่ะ” เสียงเล็กแหลมของใครบางคนอุทานออกมาพร้อมคำขอโทษปนอธิบาย อินมองคนตรงหน้าและประมวลผล ตัวบางขนาดนี้ก็สมควรแล้วที่จะโดนชนจนกระเด็นมา
“ไม่เป็นไร...ว่าแต่เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า” อินถามไถ่อาการอีกฝ่าย นี่โชคดีนะที่มือหนาของเขาจับต้นแขนบางของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ก่อนจะล้มลงไปนอนกองกับพื้น
“หะ!เรียกใครว่าเธอ กูเป็นผู้ชายจ้ะ ไม่เห็นเหรอว่ากูใส่กางเกงอ่ะ!” แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงและพยายามดีดตัวออกจากมือหนาที่จับตัวอยู่ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่กางเกงสแล็กสีดำของตัวเอง
“เห็นแล้วว่าใส่กางเกง แต่มึงตัวเล็กจะตายแถมดูบอบบางขนาดนี้จะให้กูไปถามว่า มึงเป็นไรมั้ยทั้งที่ยังไม่รู้จักกัน มันก็ฟังดูแปลก ๆ มั้ยล่ะ” อินพูดไปตามสิ่งที่คิดโดยไม่มีอะไรแอบแฝงเลยสักนิดแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้หน้าแดงขึ้นมาล่ะ หรือจะเขินที่โดนชมว่าเป็นคนตัวเล็ก?
“ตะ...ตัวเล็กเหรอ! ถะ...แถมยังบอบบางอีก! หึ้ย! มึงมันไอ้ยักษ์!” โอเค ที่หน้าแดงไม่ได้เป็นเพราะเขินแต่เป็นเพราะโกรธสินะ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปล่ะ” อินเห็นว่าอีกฝ่ายเถียงกลับได้ขนาดนี้ก็คงจะไม่เป็นไรแล้วเลยขอตัว แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขาออกมาก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเล็กแหลมที่ตะโกนรั้ง
“ดะ...เดี๋ยว! มึงป้ายชื่อสีเขียวเหมือนกูเลย กูไปด้วย”
“หึ อยากไปด้วยเพราะมองทางข้างหน้าไม่เห็นเหรอ” สายตาดุดันจ้องมองร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว
“ใครบอกว่ากูมองทางไม่เห็น! กูแค่จะเอามึงมาบังตัวเองไว้เพราะกลัวว่าจะมีใครเดินมาชนกูอีกต่างหาก ตัวใหญ่เป็นยักษ์อย่างมึงใครชนก็คงไม่เจ็บหรอก!” ตอนนี้คนตัวเล็กหน้าดำหน้าแดงเพราะทั้งโกรธและอายจนทำตัวไม่ถูกแต่เรื่องอะไรเขาจะไปยอมอ่อนข้อให้ไอ้ยักษ์ปากเสียนี่กันล่ะ
“งั้นก็เดินตามมาให้ทันล่ะ” อินที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปก็ขอสงบศึกไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายไปยังกลุ่มสีเขียว
.
.
.
เริ่มรู้สึกได้ถึงความวายป่วง...ว่าแต่นายภูริวัฒน์จะเป็นคนแบบไหนกันนะ
ชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ดำเนินต่อไป ผ่านเรื่องราวสุขทุกข์แต่ก็ยังคงจับมือกันและฝันฝ่าทุกอย่างไปได้จนมาถึงวันนี้ วันที่ทั้งสองคนเรียนจบและเข้ารับปริญญาทุกคนต่างก็มีเป้าหมายและเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกกันต์เรียนจบช้ากว่าพวกเขาไปหนึ่งเทอมแต่ก็ยังโชคดีที่เด็กหนุ่มขยันและติดตามงานจนเรียนจบมาได้ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินคือการไปทำงานต่างประเทศร่วมกับแม่ เด็กหนุ่มตัดสินใจประกาศปล่อยขายบ้าน ตอนนั้นเองที่หมี่คุยกับพี่ชายของตัวเองว่าอยากให้ช่วยซื้อบ้านหลังนี้ จะได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ กันแมนก็กลับไปคิดทบทวนอยู่หลายวันเพราะการย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ทั้งข้าวของเครื่องใช้ ทั้งการเดินทางและเรื่องการเงิน อีกอย่างตอนนี้เขาไม่ได้เป็นโสดแล้ว ย่อมต้องปรึกษาคนรักท้ายที่สุดแล้วแมนก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นพร้อมพาแฟนมาอยู่ด้วยกัน หมี่มีความสุขมากที่เห็นพี่ชายมีคนรักที่ดี คนตัวเล็กรู้สึกชอบว่าที่พี่สะใภ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น พี่กวางทั้งสวยทั้งน่ารัก ทำงานเก่ง นิสัยดีแถมยังชวนหมี่ทำอาหารด้วยกันบ่อยมากซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้หมี่ก็ได้เดินตามเส้นทางของตัวเองเหมือนกัน เขาไปสมัครงานที่ร้
และแล้วช่วงเวลาก็ผ่านพ้นไปจนใกล้จะสิ้นปีอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนก็ใกล้จะจบการศึกษากันแล้ว ทว่ากิจกรรมที่หมี่อยากลองทำร่วมกับอินมาโดยตลอดคือการแต่งตัวในวันฮัลโลวีน“นะ มึงเบ้าหน้าดีจะตาย แต่งตัวคู่กับกูหน่อยไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงออดอ้อนแกมเว้าวอนดังมาจากหมี่“ไม่เอา” อินที่ฟังประโยคนี้มาร่วมสัปดาห์ก็เริ่มรู้สึกท้อใจแทนคนตัวเล็กแต่เขาไม่อยากแต่งตัวแฟนตาซี จะให้ทำยังไงได้“โธ่! ปีหน้าก็เรียนจบกันแล้ว ขอแค่นี้ก็ไม่ได้!” จากการอ้อนก็เปลี่ยนเป็นประชดประชัน ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างอินเหรอจะยอม“เฮ้อ ก็ได้” และใช่ เขายอม“จริงนะ!” หมี่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ สาเหตุที่เขาชวนอินทำกิจกรรมร่วมกันไว้วันนี้เป็นเพราะรู้สึกเบื่อ นี่ถ้าพ่ออาร์มกับแม่ฝันอยู่บ้านคนตัวเล็กคงอ้อนผู้ใหญ่มากกว่าชวนร่างสูงทำอะไรแบบนี้“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” อินที่ตอบตกลงก็พูดต่อ เด็กหนุ่มไม่อยากจะนับเลยว่าเขาพูดไอ้คำว่า ‘แค่ครั้งเดียว’ กับอีกฝ่ายไปกี่ล้านครั้งแล้ว ทว่าหมี่ที่เอาแต่คิดรังสรรเรื่องเครื่องแต่งกายก็ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย“แล้วเราจะแต่งไปหลอกใครดี” ปากเล็กขยับขอความคิดเห็นจากคนรักด้วยท่าทีตื่นเต้น ต่างจากอินที่คิ้วขมว
“ไปเล่นน้ำกันนนนน” หมี่สดใสร่าเริงแต่หัววันเพราะวันนี้เป็นวันสงกรานต์และทางมหาลัยฯ ได้จัดสถานที่สำหรับสาดน้ำไว้ให้นักศึกษาและชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง“ไปเปลี่ยนชุด” ทว่าขาของคนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงเรื่องเครื่องแต่งกาย“เปลี่ยนทำไม ชุดนี้แหละได้แล้ว” คนตัวเล็กก้มมองชุดที่ตัวเองสวมอยู่ เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าบางโปร่งโล่งสบาย กางเกงขาสั้นพร้อมลุยน้ำ สายคล้องคอสำหรับใส่มือถือกันเปียกน้ำ อุปกรณ์ก็พร้อมลุยแล้ว จะให้เปลี่ยนทำไม“จะไปเปลี่ยนเองหรือจะให้กูเปลี่ยนให้” แต่อินก็ยังคงยืนยันที่จะให้คนรักไปเปลี่ยนชุด เขาเป็นผู้ชายมากกว่าอีกฝ่ายและรู้ดีว่าชุดนี้มันล่อแหลม อันตรายมากขนาดไหน“กู! ไม่! เปลี่ยน!” หมี่ปฏิเสธเสียงแข็งและดึงดันที่จะใส่ชุดนี้ไปให้ได้ อินที่ทนไม่ไหวก็กำลังจะเอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายมาเปลี่ยนชุดก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“ไอ้หมี่เสร็จยัง! แห้วรออยู่ข้างล่าง!” ตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงเรียกจากบั๊มดังแทรกเข้ามา“เออ! เพื่อนมารอแล้วเห็นมั้ย รีบไปปป” คนตัวเล็กฉวยโอกาสนี้ดดันร่างสูงของอินตรงไปที่ประตู“ก็ได้” เด็กหนุ่มที่รับรู้ได้ว่าหมี่คงไม่ยอ
“แห้ว เรามีเรื่องจะปรึกษา” หมี่นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขามีพลางกระซิบกระซาบเสียงเบาเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องสมุดของทางมหาลัยฯ“เรื่องอะไรเหรอหมี่” หญิงสาวหันมองเพื่อนแสนแสบด้วยสายตาสงสัย“ปกติวันวาเลนไทน์ต้องซื้ออะไรให้คนรักเหรอ ไม่เอาพวกชอกโกแลตหรือของกินนะ” ได้ยินคำถามแล้วแห้วก็ยิ้มอ่อนทันที“ก็ของขวัญทั่วไปแหละ หมี่จะซื้อของให้อินเหรอ”“ใช่ คราวก่อนซื้อกำไลข้อมือไปให้ตอนปีใหม่อ่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้างึกงัก ก่อนจะหน้าแดงเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น“ซื้อกำไลให้...แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะ” นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับเพื่อนสาว“ก็...ช่างเถอะ แห้วล่ะ วันวาเลนไทน์นี้จะซื้อของให้บั๊มมั้ย” ในเมื่อเขาไม่อยากนึกถึงเรื่องค่ำคืนแลกของขวัญวันปีใหม่ก็มีแต่จะต้องเบี่ยงประเด็นเท่านั้น“เราทำเค้กให้น่ะ” แห้วตอบกลับแกมเขินอายพลางอมยิ้มเล็กน้อย ต่างจากหมี่ที่หน้าซีดหน้าเซียวเป็นไก่ต้ม“เค้กเหรอ ไม่เอาเค้ก!”“หมี่จะตะโกนทำไมเนี่ย เราตกใจหมดเลย” เพื่อนสาวถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะจู่ ๆ คนตัวเล็กก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“ขะ ขอโทษ คือเรา...เราไม่อยากทำเค้กน่ะ” โอ๊ย! ให้ตายสิ สมองน้อย ๆ ของไอ้หมี่ อย่
“หมี่ ปีใหม่นี้ไปเที่ยวกันมั้ย” เสียงทุ้มของอินเอ่ยถามคนรักอย่างแผ่วเบา ตอนนี้พวกเขากำลังจัดตกแต่งบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้“เที่ยวที่ไหน” คนตัวเล็กตอบพลางแปะแผ่น ‘สวัสดีปีใหม่’ ตรงขอบประตูหน้าบ้าน“ไม่รู้ อยากไปไหนรึเปล่า” เด็กหนุ่มตอบแบบขอไปทีเพราะเขาไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย...แค่อยากลองชวนหมี่ไปเที่ยวเท่านั้น“ขี้เกียจอ่ะ” ตอบเสร็จ คนตัวเล็กก็เท้าสะเอวยืนชื่นชมผลงานของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงจากเก้าอี้ที่อินช่วยจับไว้ให้“ไปสวนสนุกมั้ย กูเห็นคนไปกันเยอะเลย”“ร้อนจะตาย ไม่ไป” หมี่หน้ายู่เมื่อคิดถึงสภาพอากาศที่ร้อนระอุขนาดนี้ในพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด“แต่กูอยากทำกิจกรรมร่วมกับมึงไง” ดวงตาสีคาราเมลของคนตัวเล็กเบิกกว้าง ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อีกฝ่ายพูดกับตนแบบนี้“เอ๊ะ? เมื่อก่อนกูเป็นคนพูดคำนี้นะ ทำไมเดี๋ยวนี้กลายเป็นมึงพูดแทนล่ะ” แค่คิดว่าทุกวันนี้ไอ้ยักษ์หลงตัวเองหัวปักหัวปำก็เขินจนตัวบิดเป็นเกลียว“เออน่า สรุปไปมั้ย” อินถามย้ำอีกครั้ง เขารู้ดีว่าตัวเองติดอีกฝ่ายงอมแงมมากแค่ไหนก็ยังใจแข็งไม่พูดออกไป“ไม่ไป” เมื่อได้ยินคนรักปฏิเสธเสียงแข็งก็ทำอะ
งานวันเกิดของหมี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงเดือน ก็ถึงงานวันเกิดของแฝดอย่างอินและอันต่อ ซึ่งหลายคนเห็นพ้องตรงกันว่าอยากจัดงานเล็ก ๆ แบบเดิม โดยงานนี้จะมัดรวมวันเกิดของกันต์ไว้ด้วยเด็กหนุ่มผิวแทนก็ไม่บ่นอะไรเพราะวันเกิดของเขาถัดไปอีกแค่สามวันเท่านั้น ดีซะอีกที่เขาไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่มาช่วยงานที่บ้านลุงอาร์มป้าฝันก็พอและถึงแม้ว่างานนี้จะไม่มีอันแล้วแต่ทกุคนก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ อินรู้สึกดีที่ได้งานวันเกิดปีนี้เขามีคนรักเพิ่มเติมมาด้วยและเขาก็รับรู้ว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มยิ้มให้ภาพของแฝดน้องที่ติดอยู่บนฝาผนัง ก่อนจะเดินไปหาหมี่ในครัว“สอนกูทำเค้กหน่อย” เสียงทุ้มของอินขอความช่วยเหลือจากคนรักเด็กหนุ่มคิดมาตั้งแต่งานวันเกิดหมี่แล้วว่าเขาอยากทำเค้กให้คนสำคัญได้กิน แต่ตอนนั้นถ้าบอกให้คนตัวเล็กสอนมีหวังความลับรั่วไหลกันพอดี เลยต้องอุบเงียบเอาไว้ก่อน ทว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ลองแล้ว“หะ? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย” คนตัวเล็กที่กำลังล้างจานอยู่ ถึงกับหันควับมามองหน้าแฟนหนุ่มของตน“กูอยากลองทำเค้กให้พ่อกับแม่กิน” อินตอบอย่างที่ใจคิด ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วเขาเพียงแค่อยากใช