นิยาย Girl Love จากยัยอัปลักษณ์ตัวโต ศศิกานต์ต้องการพิชิตใจหงส์ จึงทำศัลยกรรมและลดน้ำหนัก ชะตาทำให้สวยแล้วได้เข้าวงการบังเทิง มาเอาใจช่วยแรห์ไอเท็ม(Rare Item) แห่งวงการLGBTQ จากคนไม่มั่นใจในตัวเอง มาพยายามพิชิตใจคุณSun Shine ด้วยกัน พร้อมภาพประกอบสีตลอดทั้งเรื่อง
View Moreถ้าใครถามฉันอยากบอกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่ไม่เหมือนใครเลย ฉันตัวสูงกว่าเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในชั้นเรียน ฉันมีหน้าตาอัปลักษณ์ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แค่ฉันรู้สึกว่า
แม่ไม่รักฉัน
แม่ไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยบอกว่ารักฉัน ฉันรู้ดี เพราะฉันทำเงินให้แม่ไม่ได้เท่าพี่ๆ ของฉันทั้งสองคน
ในตอนที่ฉันอายุได้เจ็ดขวบ แม่ก็บอกยายว่า
“หนูจะไปหาห้องเช่าใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจ เด็กสองคนจะได้อยู่ใกล้ห้องถ่ายทำ”
ที่จริงสถานที่ถ่ายทำกระจายอยู่ทั่วไป แต่การย้ายออกจากบ้านซ่อมซ่อ มันทำให้เชิดหน้าชูตาพี่สาวทั้งสองคน
“แล้ว...หนูละคะ”
ฉันถามเสียงเบา
“หนูก็อยู่กับยายไปก่อน ถ้าเราสามคนไปได้ดี แม่จะมารับหนูไปอยู่ด้วย”
ฉันยังเด็ก และก็เชื่อแม่อย่างเปี่ยมล้น ว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมารับฉันไปอยู่ด้วย
แต่มันไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก น้าติ๋มเพื่อนบ้านเคยบอกฉัน
“คนสวยเขามีชะตาชีวิตที่ดีกว่าคนทั่วไป แม่เอ็งผลักดันให้พี่สาวทั้งสองคนอยู่ในวงการฯ ส่วนเอ็งนะเหรอ อย่างดีก็ทำได้แค่เป็นตัวประกอบ ตัวตลก หรือนางอิจฉาเท่านั้นแหละ อย่าหวังให้แม่กลับมารับเลย ตั้งใจเรียนแล้วหาเงินมาใช้ดีกว่า งานที่ใช้หัว ไม่ใช่ใช้หน้าตา เอ็งเชื่อน้าเถอะ”
ฉันรู้สึกได้ว่าแก้มเปียก น้ำตานั่นเอง มันไหลออกมาเพราะรับความจริงไม่ได้ ฉันคิดเสมอว่า ถ้าเราดีกับโลก โลกจะดีตอบกลับเรา แต่มันจะเป็นจริงหรือเปล่านะ ฉันจะใช้เวลาในชีวิตเพื่อพิสูจน์มัน
ยายกับฉันอยู่ทาวน์เฮ้าส์ในเมือง ทุกวันยายจะเข็นรถเข็นไปขายขนมหวาน ฉันชอบขนมหวานของยายมากที่สุด แต่หัวสมองไม่เคยจดจำสูตรได้เลย ฉันจึงจดสูตรไว้ในสมุด แต่ตอนน้ำท่วมใหญ่ในปีนั้น สมุดก็หายไปกับความโกลาหล
“ยายคะ หนูชอบตัวเลข หนูจะเรียนการเงิน แล้วก็หางานดีๆ ทำนะคะ หนูจะเลี้ยงยายเอง”
“ยายส่งเอ็งได้แค่มหาวิทยาลัยของรัฐนะ”
ยายเป็นคนพูดน้อย พูดสั้นๆ แค่นั้น แล้วก็หันไปง่วนกับการนึ่งขนมชั้น สีสันของมันดูดี เอาไว้เย็นลงหน่อย ฉันจะตรวจคุณภาพ อะแฮ่ม..น้ำหนักขึ้นทุกครั้งที่ปิดเทอม ก็ฉันมีเวลาอยู่กับขนมแสนอร่อยของยายทั้งวันนี่นา
“ขนมไหมคะ ขนมไทยอร่อยๆ จ้า”
ฉันตะโกนขายสินค้าอย่างไม่เขินอาย
ก็น้าติ๋มว่า ด้านได้อายอด
“เอ้า เมฆ”
ฉันทักเพื่อนเสียงเบา แต่เขาก็ได้ยิน เมฆถือลูกฟุตบอลในมือ หันมายิ้มแย้มให้ฉัน เขาตัดผมทรงสกินเฮด หน้าตาคล้ายน้าติ๋ม ตรงที่คิ้วเข้ม ริมฝีปากอิ่ม เพราะเป็นแม่ลูกกัน และเมฆคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเอง
“ศศิ ไปเล่นบอลกันไหม เรานัดเจอเพื่อนๆ ที่สวนสาธารณะ ขาดโกลอยู่พอดี”
เขาเห็นฉันตัวสูงใหญ่ แถมยังว่องไวผิดกับท่าทางอ้วนท้วนที่มี เมื่อผู้รักษาประตูขาด ก็แวะเวียนมาชวนกันเสมอ
“ไปสิ”
ยายหันมาบอกและยิ้มใจดีกับฉันเสมอ ฉันตอบรับด้วยอาการแสนรักใคร่
“จ้ะ ยาย”
เราขึ้นรถเมล์ราคาประหยัดไปอีกราวห้าป้าย ก็ถึงสวนสาธารณะที่ว่า มีเด็กผู้ชายหลายคนยิ้มทักพวกเรา แต่มีคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่ แซ็ค เพื่อนร่วมชั้นเราเอง”
เมฆแนะนำ แล้วยังแนะนำฉันด้วย
ในสนามฟุตบอลมีพื้นหญ้าสีเขียว เราเอาเศษไม้มาทำเป็นประตูหลอกๆ ขีดเส้นกั้นกึ่งกลางสนาม ในช่วงที่อากาศร้อน แบบนี้ ลมร้อนพัดหอบเอาดินประทะหน้า แต่พวกเราหลับตาก่อนที่มันจะเข้าไปทำอันตรายดวงตาได้
ฉันรักษาประตูฝั่งแซ็ค เขาเป็นคนเอาจริง จึงตะโกนใส่เพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา
“ขึ้นไปทางซ้าย นายรอรับลูกจากฉันนะ”
สถานการณ์ระอุขึ้นเมื่อ ฉันใจลอยถึงแม่และพี่สาว ทำให้ไม่เห็นว่าลูกฟุตบอลลอยมาทางฉัน
และ...
และ มันก็ลอยเข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
แช็คเดินเข้ามาหาฉัน ใบหน้าแดงก่ำทั้งโกรธและหอบที่วิ่งจนเหนื่อย มันไม่ใช่ลูกเดียว แต่เป็นลูกที่ห้าแล้ว
“ไม่ได้เรื่องเลย เธอน่ะ ตั้งใจเล่นบ้างหรือเปล่า”
“...”
ฉันเงียบ ในสถานการณ์นี้ ฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แถมฉันยังผิดเต็มๆ
เพื่อนคนอื่นๆ ได้แต่มองดูพวกเรา แต่ไม่มีใครมาช่วยเลย ฉันนึกถึงแม่ ทุกครั้งที่ทำผิด มักจะโดนแม่ต่อว่าอยู่บ่อยครั้ง และด้วยความที่พี่สาวกลัวแม่จะไม่สนใจ จึงไม่เคยออกปากช่วยฉันเลย ส่วนยายก็ทำได้แต่ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนหลังการโดนต่อว่า ฉันจึงไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
แช็คโยนลูกบอลอัดใส่หน้าฉัน
“หน้าตาอัปลักษณ์อยู่แล้ว โดนแค่นี้ก็คงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอกนะ”
ผู้ชายฝั่งแซ็คเห็นด้วยว่าฉันสมควรโดนรังแก พวกเขาก่นด่าฉันที่นั้น และยังทำต่อไปที่โรงเรียน ราวกับว่าจะเป็นการกระทำที่เลียนแบบกัน
“ยัยอัปลักษณ์”
“ยัยห่วย”
“ไปให้พ้นเลย เดี๋ยวติดเชื้อโรค”
“ขนาดแม่ยังทิ้งมันเลย ใครจะอยากได้แกไปเป็นเพื่อน”
ฉันตวัดสายตาขึ้นมองเสียงนั้น คนเอ่ยคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันเอง คำพูดแทงใจนั่นออกมาจากปากของเขาสินะ ฉันหมดแรงจะต่อสู้ ยิ่งพวกเขาหยิบยกความจริงเกี่ยวกับครอบครัวฉันมาพูด คำตอบโต้ก็เลือนหายไปจากลำคอ
เพื่อนผู้ชายรังแกฉัน ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่แทบไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่แล้วก็กลับนิ่งเฉย ไม่รับฉันเข้ากลุ่มทำงานส่งครู ทุกวันฉันพยายามหาข้อดีของการอยู่คนเดียว และพยายามเดินหนีจากการ บูลลี่จากพวกเด็กผู้ชาย
ฉันเสียใจและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ยายฟัง ยายพยักหน้า และได้แต่ลูบหัวฉัน ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ดี
ความเกลียด
เกลียดที่ยายปกป้องฉันไม่ได้เลย แถมฉันยังต้องสู้อยู่คนเดียว ฉันนึกถึงแม่ที่ไม่เคยรักฉันเพราะฉันอัปลักษณ์
ใช่แล้ว เพราะฉันไม่ดีพอที่จะทำให้ใครมารัก โดนแบบนี้ก็สมควรแล้วล่ะ ฉันก็แค่ก้มหน้ารับกรรมต่อไป สักวันพวกเขาคงจะเห็นความดีของฉันบ้าง และรักฉันอย่างที่ฉันเป็นสักที
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว
Comments