หยางจูนิ่งอึ้ง นึกเสียดายที่ไม่ได้ทำหน้าทำตาให้มอมแมมขมุกขมัวมากกว่านี้ เมื่อเขาเห็นว่านางอึกอัก ก็ยิ่งคิดว่านางอับอายเพราะถูกล้อว่าเหมือนเด็ก จึงพูดเพื่อให้นางรู้สึกดีขึ้น
“อย่าคิดมากไปเลย เมื่อทำงานใช้แรงไปเรื่อย ๆ ตัวของเจ้าก็จะหนาเสียจนลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นเด็กมาก่อน” “ขอรับ” นางปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายถามแทน “แล้วท่านแม่ทัพล่ะขอรับ คิดจะแต่งงานเมื่อใดกัน” “ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องนั้น ในหัวมีแต่จะกำราบศัตรูให้สิ้นซากอย่างไรก็เท่านั้น” “แต่หากท่านทำสำเร็จ ฮ่องเต้จะต้องพระราชทานรางวัลให้ ดีไม่ดี จะให้ท่านแต่งกับหญิงงามมียศถาบรรดาศักดิ์เสียด้วยซ้ำไป” “ข้ารู้” มู่หรงเซียวหนานพอจะคาดการณ์เรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ ถึงขนาดที่น้องสาวของเขาก็อภิเษกไปกับ หลี่อวี้อ๋อง แล้วบุตรชายคนโตจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร “หากเป็นเช่นนั้น ก็แล้วแต่พระประสงค์ของพระองค์เถิด”เขาพูดพลางถอนหายใจอย่างคนที่เข้าใจเรื่องราวและเตรียมใจไว้แล้ว อันตัวเขานั้น แม้จะมีหัวใจ แต่ภาระหน้าที่ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนอยู่แล้ว หยางจูก็ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบอะไรที่แปลกไปมากกว่านี้ ในเมื่อชายผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นผู้สืบทอดและหน้าเป็นตาให้แก่วงศ์ตระกูล เขาเคารพบิดามารดายิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง สิ่งใดที่จะส่งเสริมตระกูลได้ให้มั่งคงยิ่งใหญ่ได้ เขาย่อมทำสิ่งนั้น อีกประการหนึ่ง มู่หรงเซียวหนานมีเลือดนักรบเต็มตัวทั้งยังซื่อสัตย์มั่นคง นั่นหมายถึงเขายอมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่อยู่เหนือหัวโดยไม่บิดพลิ้ว นั่นคือสิ่งที่นางหวั่นเกรง หากเสด็จพ่อพระราชทานทานพี่หรือน้องของนางคนอื่น ๆ องค์หญิงจากต่างเมือง บุตรีของท่านเสนาบดี หรือขุนนางสักคนแล้วเขาไม่คัดค้าน นางก็คงจะพลาดหวังจากเขาเป็นแน่ ยิ่งนึกก็ยิ่งร้อนใจ ด้วยเหตุนั้น นางถึงต้องดั้นด้นมาถึงนี่ และพยายามมัดใจเขาให้ได้ แม้พี่ชายจะคิดว่าอุปสรรคใหญ่หลวงจะอยู่ที่นางอยู่ในร่างของบุรุษเพศ แต่นางไม่เชื่อว่าหากมีใจให้กันแล้ว เขาจะก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปไม่ได้ “คิดอะไรของเจ้า ทำหน้ายุ่งเชียว” “คิดถึงงานที่ต้องทำของวันนี้ขอรับ” นางรีบแก้ตัว “ข้าเข้าใจว่าหน่วยเสบียงทำงานหนักมาก” “ถึงแม้จะหนัก แต่ข้าเชื่อว่าทุกหน่วยก็หนักไม่แพ้กัน โดยเฉพาะท่านที่เป็นถึงแม่ทัพ ต้องแบกความรับผิดชอบและภาระหน้าที่เอาไว้มากมาย” “พูดได้ดี ๆ” “ท่านคงจะเหนื่อยมาก” เขาสะท้านกับคำพูดนั้น รับรู้ได้ถึงความเห็นอกเห็นใจในน้ำเสียงของคนพูด จนต้องเงยหน้าขึ้นมาจากสำรับกับข้าวแล้วกล่าวขอบคุณนางจากใจ ทุกวันนี้เขาได้นอนวันละไม่กี่ชั่วยาม เดินย่ำไปตามแถวทหาร พูดปลุกใจพวกเขา ซ้อมต่อสู้และวางแผนรบไม่ว่างเว้น ความบันเทิงใจอื่นใดไม่มี ยิ่งเขาไม่ปริปากบ่นเท่าไหร่ ทุกคนยิ่งคิดว่าท่านแม่ทัพผู้นี้ช่างแข็งแกร่ง จนอาจจะคิดเลยเถิดไปถึงว่าเขานั้นเหนื่อยไม่เป็น แต่ตอนนี้หนุ่มน้อยที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้า กลับเข้าอกเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้งเสียอย่างนั้น “ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก เพียงแต่ลูกผู้ชายจะต้องไม่โอดครวญ” “จะลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงก็มีสิทธิ์เหนื่อยด้วยกันทั้งนั้น” “หากอยู่ข้างนอก เจ้าคงจะนับเป็นผู้ที่หัวแข็งน่าดู” เขาตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นท่าทางไม่ยอมคนของนาง “ข้าพูดความจริงนี่นา” “คุยกับเจ้าสนุกดี ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาก” เขากล่าวขึ้นมาดื้อ ๆ หยางจูกลั้นยิ้ม รีบก้มหน้าซ่อนความรู้สึก “ท่านก็พูดคุยมากกว่าที่ข้าคิดเอาไว้” “อืมม ทุกคนมักจะคิดว่าข้าเย็นชาสินะ” “เคร่งขรึมมากกว่าขอรับ” อันที่จริงนางเคยได้ยินคนเรียกเขาว่าแม่ทัพหน้านิ่งเสียด้วยซ้ำ และถ้าหากเขาไม่ได้ยิ้ม เขาก็ดูมีหน้าเดียวจริง ๆ แต่ใครจะไปพูดอย่างนั้นต่อหน้าเขากัน “ฮะ ๆ ฉลาดใช้คำดี เจ้าอ่านหนังสือออกหรือเปล่า” “ออกขอรับ” นางรีบตอบ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าชาวบ้านส่วนมากไม่รู้หนังสือ จึงแก้คำพูดเสียใหม่ “ข้าอ่านออกขอรับ แต่ก็ไม่ค่อยคล่องนัก” “แต่ก็เขียนได้ด้วยใช่หรือไม่” “ขอรับ ว่าแต่ท่านถามด้วยเหตุอันใดหรือ” “ข้าเป็นนายของเจ้า จะถามด้วยเรื่องอันใดก็ให้เป็นธุระของข้าเถอะ” นางไม่สามารถอ่านสีหน้าของเขาได้ แม้จะไม่ได้เคร่งขรึมจริงจัง แต่ก็ไม่ได้ยิ้ม นางจึงไม่กล้าเอ่ยคำใดออกไป เขาเองก็คล้ายจะลืมว่ายังมีคนอื่นอยู่ในนี้ด้วย ถึงได้ก้มหน้าก้มตากินอาหารไม่พูดไม่จา แม้จะบอกว่าน้ำแกงรสชาติแปลกไป แต่ก็กินเสียหมดถ้วย “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านรองแม่ทัพจางมาขอเข้าพบขอรับ” ทหารยามเปิดกระโจมแล้วเดินเข้ามาแจ้ง “ให้เข้ามาได้” หยางจูกำลังจะกลับออกไปด้วยความเงียบเชียบระหว่างที่ทั้งสองจะคุยธุระกัน และนางก็ไม่อยากจะเจอรองแม่ทัพเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่หรงเซียวหนานด้วย เกรงว่าจะแสดงละครกันไม่เก่ง หรือทำอะไรที่จะให้ชายหนุ่มสงสัยเอาได้ แต่นางยังไม่ทันไปไหน จางซื่อหมิงก็เดินตึงตังเข้ามาด้วยความ เร่งรีบ เมื่อเห็นนางเข้า เขาก็เผลอเรียกชื่อ “หยาง...” “ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ก่อนที่ชื่อของนางจะหลุดออกมาจากปากจางซื่อหมิงจนหมด นางก็รีบขัดจังหวะ แล้วทำความเคารพคนทั้งสองรีบ ๆ ก่อนจะเผ่นออกมาอย่างรวดเร็ว “เอ้า ดูสิ รีบร้อนอะไรขนาดนั้น” มู่หรงเซียวหนานหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะผายมือให้รองแม่ทัพคู่ใจนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่จางซื่อหมิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่สหายหน้านิ่งมีท่าทีถูกใจเจ้าเด็กยกสำหรับคนใหม่ถึงเพียงนี้ เขาเริ่มเห็นความหวังอยู่รำไร หากองค์หญิงหยางจูบรรลุประสงค์โดยเร็ว ศีรษะเขาคงตั้งอยู่บนบ่าได้นานขึ้น เขานั่งลง แล้วทั้งสองก็เริ่มสนทนากันด้วยเรื่องแผนการรบ หยางจูเดินวนหาทางกลับไปยังโรงครัว แต่เลี้ยวผิดจนไปเจอโรงผลิตอาวุธแทน จึงต้องถามเอากับทหารแถวนั้นว่าโรงครัวอยู่ทางใด เมื่อกลับมาถึงโรงครัวขนาดใหญ่ ลี่ถังก็รีบวิ่งเข้ามาหา “หยางหยาง เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองไปนานแค่ไหน ตอนนี้หัวหน้าโมโหมาก เพราะคิดว่าเจ้าเถลไถล หากข้าไม่กลับมารับหน้าให้ เจ้าได้โดนเขาฟาดแน่” ลี่ถังกระซิบกระซาบ “แต่ข้าเพิ่งมาใหม่ เขาจำข้าได้อย่างไร” “โธ่ หยางหยาง เจ้าตัวเล็กที่สุด หน้าหวานราวกับสตรี ผิวก็ขาวผ่อง ใครเห็นเจ้าแม้เพียงครั้งแรกก็ต้องสะดุดตาและจำได้กันทั้งนั้น แล้วอย่างเจ้านี่ ทั้งกองทัพเห็นจะมีแต่เจ้าผู้เดียว” ลี่ถังไม่ได้กล่าวประการใดผิดแม้แต่น้อย อย่างนางทั่วทั้งกองทัพมีเพียงหนึ่ง “แล้วเขาเรียกหาข้าด้วยเหตุอันใด” “ก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญหรอก เพียงแต่เขาต้องการจะใช้งานคนทุกคนที่อยู่ที่นี่เท่านั้นเอง” ลี่ถังพานางเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ก็ไม่รอดหูรอดตาคนอื่นอยู่ดี “มาแล้วเรอะ เจ้าตัวขี้เกียจ ให้ไปส่งข้าวแค่นี้ แต่หายหัวไปตั้งนาน เจ้าไปแอบอู้งานรึ” หัวหน้าโรงครัวที่มือข้างหนึ่งถือตะหลิวข้างหนึ่งยกเท้าสะเอวตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าเปล่านะขอรับ ข้าสาบานได้” นางรีบทำเป็นกลัวตัวสั่น “แต่ที่ข้ามาช้า เป็นเพราะท่านแม่ทัพชื่นชมว่าโรงครัวของเราทำอาหารได้ถูกปากเสมอ จึงให้ข้าอยู่คุยเรื่องอาหารต่อ แล้วยังชมท่านไม่ขาดปากด้วย” ดวงตาของเขาวาววับเมื่อได้รู้ว่าตัวเองถูกสรรเสริญเยินยอ จนลืมความโกรธเมื่อครู่ไปหมดสิ้น “ฮ่า ๆ อย่างนั้นรึ” ถามเพื่อความแน่ใจ หยางจูพยักหน้าหนักแน่น เขาจึงยอมปล่อยนางไป “รีบไปทำงานเถอะ ก่อนที่เขาจะอารมณ์เสียอีกรอบ แล้วมาพาลเอากับเจ้า” ลี่ถังดันนางไปตรงที่คนส่วนมากกำลังแช่ข้าวเพื่อจะหุงสำหรับมื้อเย็น ราวกับพวกเขาเป็นฟันเฟืองที่หมุนไปเรื่อย ไม่เคยหยุดและว่างเว้นจากการทำงาน นางมองไปรอบ ๆ และเป็นอีกครั้งที่เกิดสงสัยว่าตนเองต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ แต่หากนางท้อถอยแล้วกลับไป เสด็จพ่อจะต้องจับนางสมรสกับบุรุษแปลกหน้าแน่นอน แล้วนางก็จะต้องทนนอนเคียงข้างคนที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่น้อยไปตลอดชีวิตที่เหลือ แค่ฟังก็เศร้าใจเหลือเกินแล้วลู่อิงหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา เซี่ยหานปิงไม่เพียงอนุญาตแต่ยังค่อย ๆ ดึงลู่อิงให้เอนตัวขึ้นมา ก่อนจะลูบผมสลวยเพื่อให้คลายกังวล ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการกระทำที่ยากหรือน่ากลัว“ข้า...ข้ามิเคยทำมาก่อน”“ข้ารู้ เจ้าแค่อ้าปากแล้วกินมันเข้าไปเท่านั้น” เขาส่งยิ้มบางเบาแล้วค่อย ๆ ประคองใบหน้างดงามให้เคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆพอริมฝีปากแทบจะจ่ออยู่ปลายหัวของแก่นกายลู่อิงจึงค่อยยื่นลิ้นออกมา นางใช้ปลายลิ้นแตะลงบนปลายหัวสีแดงระเรื่อ แต่พอสัมผัสก็ได้ยินเสียงเซี่ยหานปิงครางต่ำออกมา นางจึงช้อนสายตาขึ้นไปมองก็“อืม...ดี ดียิ่งนัก” เซี่ยหานปิงก้มมองคนเบื้องล่างที่เรียนรู้ว่องไว เขารู้อยู่แล้วนางจะทำได้เพราะเรื่องแบบนี้มันอยู่ในสัญชาตญาณ แม้ว่าแรก ๆ ลู่อิงจะเคลื่อนไหวติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์หยุดชะงักลู่อิงตาลอยเล็กน้อย รู้สึกถึงความยาวดุนดันอยู่ในลำคอของนาง น้ำตาหยดเล็ก ๆ เปียกชื้น ทว่านางก็กลืนกินมันจนเกิดเสียงหยาบโลน เซี่ยหานปิงลูบผมนาง ก่อนจะสาวเอวสอบเข้าออกช้า ๆ และจากจังหวะเนิบช้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็ว
ลู่อิงนั่งอยู่ในเกี้ยวหามที่โคลงเคลงไปมาตลอดทาง นางพยายามสงบจิตใจของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นได้ เสียงตีฆ้องร้องป่าวจากด้านนอกบ่งบอกว่าขบวนแห่นำเจ้าสาวกำลังเดินทางมาถึงจวนของเซี่ยหานปิง ผู้ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ราชองครักษ์ แต่เป็นเจ้าบ่าวของนางจวนหลังนี้ไม่ใช่จวนธรรมดา เพราะเป็นจวนที่ได้รับพระราชทานจากองค์หญิงหยางจู และองค์ชายชาง ว่าที่องค์รัชทายาท ผู้เป็นพระเชษฐาขององค์หญิงหยางจู และเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ตอนที่องค์หญิงหยางจูปลอมตัวไปอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการที่เซี่ยหานปิงรับใช้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด จวนนี้แม้อยู่ในเมืองหลวง แต่ค่อนไปทางชานเมือง เนื่องจากเซี่ยหานปิงและลู่อิงชอบความเรียบง่าย มิอยากเผชิญความวุ่นวายในตัวเมือง แต่แม้จะห่างไกลออกมา จวนแห่งนี้ก็ยังโดดเด่น สง่างาม สมกับตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ของเขาเมื่อขบวนเจ้าสาวไปถึงหน้าจวน เกี้ยวได้ถูกวางลงบนพื้นช้า ๆ ลู่อิงไม่คุ้นเคยกับพิธีการเหล่านี้มากนัก เพราะเป็นเพียงนางกำนัลที่เติบโตอยู่ในวังหลวงมาตลอด ไม่มีครอบครัวที่ไหนจะส่งตัวนางออกมาเช่นนี
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงเมืองหลวง เขาถูกภารกิจมากมายถาโถมเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก แต่ละวันเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องจัดการอย่างไม่หยุดยั้ง จนเวลาผ่านไปหลายวันโดยที่เขาไม่ได้พบกับลู่อิงเลยสักครั้งแม้ตนจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงหยางจูก็ตามในหัวใจเขานั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง ไม่เพียงแต่งานที่ทำให้เหนื่อยล้า แต่ความรู้สึกโหยหาสตรีนางหนึ่งที่เขาใส่ใจมากขึ้นทุกวันก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พยายามข่มใจ ไม่อยากเร่งรีบอะไรจนเกินไป เพราะเขาต้องการจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะไปหานางฝ่ายลู่อิงเองก็เฝ้ารอคอยการกลับมาของเซี่ยหานปิงด้วยใจจดจ่อ แต่หลายวันผ่านไปแล้วนางก็ยังไม่เห็นหน้าเขา จิตใจที่เคยสงบสุขจึงเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่อาจห้ามความคิดถึงเขาได้ ทุกคืนที่หลับตานอน ก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนหัวใจเต็มไปด้วยความกังวลและโหยหาสุดท้าย ความคิดถึงของทั้งสองก็ถึงจุดที่ไม่อาจต้านทานได้ เซี่ยหานปิงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนในคืนนั้นเขาตัดสินใจว่าอย่างไรจะต้องเจอหน้านางให้จงได้ลู่อิงที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงกลับสะดุ้งตื่นขึ้
เมื่อเซี่ยหานปิงกลับถึงบ้าน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลู่อิงนั่งกระวนกระวายใจอยู่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล“ท่านหายไปไหนมาเสียตั้งนาน” ลู่อิงรีบถลาเข้ามาหาเขา ดึงตัวเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูแน่นหนา นางดูร้อนรนเกินปกติ หัวใจของนางเต้นระส่ำ ไม่คิดว่าเขาจะหายไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เซี่ยหานปิงถามด้วยเสียงนุ่ม พยายามไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป แต่ก็เห็นชัดว่าลู่อิงไม่ได้สงบอย่างที่ควรจะเป็น“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเห็นนางกับตาหรือไม่ หรือเพียงไต่ถามสายข่าวของท่านเท่านั้น” ลู่อิงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางไม่อาจปิดบังความวิตกกังวลในใจได้ การที่เขาหายตัวไปเช่นนี้ทำให้นางคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหยางจูโดยตรง“องค์หญิงถูกจับไป”เซี่ยหานปิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าไร้ความตระหนก และเตรียมพร้อมยอมรับปฏิกิริยาตอบสนองทุกรูปแบบของลู่อิงสิ้นคำพูดนั้น ลู่อิงราวกับถูกทุบเข้าที่ศีรษะ นางนิ่งไปชั่วขณะ พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงความหวาดกลัวจับใจเสียจนพูดไม่ออก เซี่ยหานปิงจึงพูดต่อ“พวกกบฏกับห
เซี่ยหานปิงนอนกอดลู่อิงไว้ภายใต้แสงจันทร์ ทว่าเขากลับต้องตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ แม้ผู้มาเยือนจะระมัดระวังเพียงใด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสัญชาตญาณฉับไวขององครักษ์ผู้ชำนาญได้ เขาลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าคนข้างกายจะรู้สึกตัวตื่น หยิบดาบของตนติดมือไปด้วย แล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนชายในชุดดำคลุมหน้าปรากฏตัวอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเซี่ยหานปิงเดินออกมาพร้อมดาบ ชายผู้นั้นรีบคุกเข่าลงในทันทีเพื่อแสดงความเคารพ“หัวหน้าเซี่ย!” ชายคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจนเซี่ยหานปิงจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นไป๋ซื่อเซิง ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ใกล้ค่ายทหาร“ไป๋ซื่อเซิง...เจ้าทำอะไรดึกดื่นเช่นนี้”“ขออภัยขอรับ ข้ามีองค์หญิงหยางจูมารายงาน พระองค์ถูกกบฏจับตัวไปขอรับ!”เซี่ยหานปิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นในทันที เขาพยักหน้าให้ไป๋ซื่อเซิงลุกขึ้น ก่อนจะผายมือเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน “ไปคุยกันข้างในเถอะ” เมื่อทั้งสองนั่งที่โต๊ะน้ำชาภา
ยามเช้า พิษในตัวนางถูกถอนออกไปหมดดังคาด หมอจางเข้ามาดูอาการ เขียนเทียบยาบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อยแล้วก็ขอตัวลากลับออกไปหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยหานปิงก็ประคองนางเดินมายังลานหน้าบ้าน ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อน ใบหลิวปลิวไสวงดงาม อำลาฤดูใบไม้ผลิ“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง” เซี่ยหานปิงยื่นมือไปให้นาง ก่อนทั้งสองจะเดินไปยังเนินเขา ที่ตรงนั้นเป็นทุ่งดอกไม้ รอบด้านจึงเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีลู่อิงรู้สึกผ่อนคลาย นางเดินจูงมือใหญ่ของเซี่ยหานปิงไปเรื่อย ๆ ยามนี้ดวงตะวันสาดแสงอ่อน ๆ ลงมาจากฟากฟ้า แม้จะย่างเข้าฤดูร้อน แต่อากาศยังไม่ร้อนนัก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสปนขาว เมฆลอยละล่องราวกับสำลีเบาบาง ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงลำธารไหลเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ ๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงบและสบายใจเป็นที่สุดความเงียบสงบรายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งสองก้าวเดินช้า ๆ ในทุ่งดอกไม้ ลู่อิงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเซี่ยหานปิงที่ประสานกันอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางระบายด้วยรอยยิ้มบางเบา มองไปยังดอกไม้ที่เบ่งบานและสายลมที่พัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าผสมกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า ทำให้หัวใจนางเบาสบายแ