“โอ้...อ๋องจิ้น!”
สวีหรันเฟยตกใจ รีบผลักอกแกร่งออกห่างตัว แต่เซียว
หยางเฟิ่งกลับรั้งร่างบางกลับคืน และเอ่ยเสียงเข้มขึ้นสักหน่อย เสียงที่คล้ายเป็นการตำหนิ
“นี่ไม่ใช่ สิ่งที่เฟยเฟยต้องการหรอกหรือ” หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เกือบสองปีที่นางทำตามคำสั่งบิดา เพื่อให้ได้ใกล้ชิดเซียวเหิงจิ้น ใช้เสน่ห์ปั่นหัวอีกฝ่าย คือแผนที่นางเองก็เต็มใจ เพราะเมื่อทำสำเร็จก็จะเป็นคนโปรดของบุรุษอีกคนที่หลงรักมาเนิ่นนาน
“ข้าจะเป็นบุรุษเดียวที่ได้ครอบครองเจ้า และใครหน้าไหน ก็ไม่มีใครพรากเจ้าไปจากชายผู้นี้”
สวีหรันเฟยรับรู้ว่าอีกฝ่ายปรารถนาในตัวนาง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจดวงนี้มอบให้เซียวตันเหวิน ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเซียวเหิงจิ้น
“ข้า คงเป็นผู้โชคดีอย่างที่สุด หากอ๋องจิ้น...ให้ได้รับใช้ใกล้ชิด”
เซียวเหิงจิ้นหัวเราะหึๆ ก่อนเคลื่อนริมฝีปากไปบดเบียดริมฝีปากสวีหรันเฟยเขาจูบหนักหน่วง และรุนแรงราวกับต้องการดูดกลืนวิญญาณอีกฝ่าย
ปลายลิ้นของเขาแทรกผ่านเข้าไปข้างในโพรงปากหวานฉ่ำ ดูดดุน เร่งเร้าเพื่อให้เรียวลิ้นเล็กๆ แสนขี้อายสวีหรันเฟย
ตอบรับพายุอารมณ์ที่ซัดกระหน่ำ
เขาตวัดปลายสิ้นสาก ราวกับเป็นกระบี่อ่อนที่จอมยุทธ์ใช้กำราบศัตรู รุกไล่หนักหน่วง สลับคอยตั้งรับ และมันทำให้ร่างกายสวีหรันเฟยอ่อนระทวย กระทั่งเขาไล่ต้อนสำเร็จ และได้ชิมความหวานล้ำ ชายหนุ่มจึงดูดริมฝีปากล่างอีกฝ่ายที่บวมเจ่อขึ้นอย่างแรง ก่อนเม้มแล้วกัดเบาๆ พอให้อีกฝ่ายได้เลือด
เมื่อสวีหรันเฟยถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก็เหมือนว่าถูกดูดกลืนวิญญาณไป และยังไม่ทันหายใจทั่วท้องด้วยซ้ำ เสียงดุดันที่เจือด้วยโทสะได้เอ่ยถามอย่างคาดคั้น
“มาหาข้าพร้อมน้ำแกงไก่ฟ้าในคืนนี้ เฟยเฟยประสงค์สิ่งใดกันแน่ หวังว่าเจ้าคงไม่เป็นธุรให้อ๋องเหวินหรอกนะ” ผู้ที่เขากล่าวถึงนั้น ก็คือรัชทายาท
สวีหรันเฟยอ้ำอึ้งไม่ได้ตอบในทันที นางเพียงรอ...รอเวลาให้โอสถพิษทำงาน
ยามนั้นเซียวเหิงจิ้น รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ปลายลิ้นเขาเริ่มชา ดวงตาพร่าเบลอ จนมองเห็นคนตรงหน้าไม่ชัด
“ข้าไม่มีทางเลือก และอ๋องจิ้นควรเป็นผู้เสียสละ”
สวีหรันเฟยกล่าวจบ น้ำตาก็ไหลออกมาเป็นสาย และมีสิ่งที่ชวนให้ตื่นตระหนก ยาที่นางปรุงขึ้นมันรุนแรงเกินไป อีกทั้งพิษที่เซียวเหิงจิ้นได้รับก่อนหน้า ก็ทำให้คนตัวโต มีสภาพครึ่งผีครึ่งปีศาจระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้มันยิ่งจะส่งให้เขาลงหลุมเร็วขึ้น
“ไม่...”
ร่างของสวีหรันเฟยถูกกระชากรุนแรง
เสื้อผ้าถูกฉีกขาด แต่มันคงยังไม่ทันใจ คมเขี้ยวคมๆ เลยกัดทึ้งจนไม่เหลือชิ้นดี
ผิวขาวอมขมพูสั่นระริกเบื้องหน้าเซียวเหิงจิ้น และดวงตาพยัคฆ์ของเขายามนี้เป็นสีแดงก่ำ ร่างกายก็ร้อนจัด
สวีหรันเฟยพยายามส่งสัญญาณให้คนอยู่ด้านนอกช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนประตูทุกบานจะปิดไว้อย่างแน่นอน
อนิจจา มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เซียวเหิงจิ้น ควรสิ้นฤทธิ์และหมดสติไม่ใช่หรือ!?
คำถามนั้นดังขึ้น แต่ไม่ทันได้คำตอบใดๆ สวีหรันเฟยก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน
รถม้าที่ซานซือเตรียมไว้ให้ คันค่อนข้างเล็ก กระนั้น ก็ช่วยให้สวีหรันเฟยไฉ่สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางเข้าเมือง ซึ่งการออกมานอกเรือนบรรพชน เขาปกปิดฐานะที่แท้จริงของตน ให้ผู้อื่นรู้จักเพียงว่า เป็นนายหญิงน้อยสกุลจ้าว และแต่งตัวเรียบๆ ทาสีผิวให้เข้มคล้ายคนทำงานหนัก เติมไฝที่มุมปากข้างหนึ่ง เพื่อให้ตนไม่ต้องโดดเด่นสะดุดตาผู้อื่น เสื้อผ้าก็เลือกสีเทาเนื้อหยาบ ถึงอย่างนั้นความงามก็ยังฉายให้ผู้คนพบเห็น
กระทั่งรถม้าจอดข้างๆ โรงเตี๊ยม ซึ่งมาส่งของหลายสิ่ง ก็เหมือนว่า มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
คราแรกซานซื่อส่ายหน้า ห้ามไม่ให้สวีหรันเฟยเข้าไปยุ่ง แต่ด้วยความมีมนุษย์ธรรม อีกทั้งมองปราดเดียวก็รู้ว่า คนผู้นั้นอยู่ในสถานะการยุ่งยาก ก็ทำให้สวีหรันเฟยมิอาจอยู่นิ่งเฉย
ดวงตากลมโตมองไปยังร่างสตรีผู้นั้น นางบอบบางอยู่สักหน่อย แต่หน้าท้องนู้นขยาย และหากคะเนไม่ผิด คงกำลังตั้งครรภ์ไม่ต่างจากตน ซึ่งเรื่องที่น่ากลัวอยู่สักหน่อยคือ กำลังมีการยื้อแย่งจากนายหน้าค้าทาส เพื่อซื้อตัวอีกฝ่าย
คนผู้นั้นคือ หนิงเจี้ยน ห้อยป้ายแคว้นคอตน และเขียนราคาค่าตัวเพื่อประมูลไว้ โดยเริ่มต้นที่นร้อยห้าสิบอีแปะเท่านั้น ราคาเช่นนี้ เทียบได้กับลูกหมูสักตัว หาใช่คนตาดำๆ
“มันสมควรไปยังเรือนของใต้เท้าผู้ตรวจการ และข้าจะจ่ายห้าตำลึงเงิน!”
“บัดซบ ข้าพบตัวมันก่อน ทาสผู้นี้ ต้องไปยังคฤหาสน์ของนายท่านจิ่ว และราคานั้นให้ได้มากสุดก็คือสองตำลึงเงินขาดตัว!”
พ่อค้าสองคน ส่งเสียงทะเลาะกันไปมา ส่วนสตรีที่สีหน้าซีดสลด ก็เหมือนว่ากำลังประสบกับเรื่องที่นางไม่อาจควบคุมได้ ด้วยคือช่วงเวลาที่เขากำลังมีความต้องการอย่างสูง นั่นเป็นเพราะนางถูกป้อนน้ำแกงราคะ
“ฮ่าๆ ๆ ดูเอาเถิด ทาสผู้นี้ ทำตัวน่าเกลียดเหลือเกิน กำลังจะส่งเรียกร้องหาคู่นอน ทั้งที่อยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก ท่าทางมันไม่ต่างจากหมาตัวเมีย ไม่ช้าคงส่ายหางเรียกผู้อื่นไปทั่ว”
และยามนั้น กลิ่นจากร่างกายหนิงเจี้ยน กระตุ้นเหล่าบุรุษกลัดมันหลายคนให้สนใจ อยากคว้าตัวอีกฝ่ายไปเชยชม ส่วนสวีหรันเฟยนึกสงสาร นับแต่มาอยู่ในโลกโบราณนี้ พบกับเรื่องไม่คาดฝันหลายหน โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์มีความต้องการทางเพศสูง (เกิดไฟกำหนัด) ดังนั้นจึงหัดปรุงอาหาร และยาเพื่อระงับให้แก่ตนเอง อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นประจำตัว ลอยไปเข้าจมูกของผู้อื่น จนเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
สวีหรันเฟยก้าวไปยังสตรีสวมชุดสีน้ำเงิน ก่อนจับชีพจรอีกฝ่ายดู
“เจ้ามีอาการเช่นนี้มากี่วันแล้ว”
“ขะ ข้า... นอนซมมาสองวัน และยามนี้ แทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
หนิงเจี้ยนตอบ ซึ่งมีอาการกล้าๆ กลัวๆ อย่างเห็นได้ชัด
“ไม่กลัวตายหรืออย่างไร เมืองนี้พวกนักล่า แฝงตัวอยู่ทุกที่ อีกอย่างกำลังท้อง บิดาของเด็ก คงกำลังตามตัวเจ้าอยู่ก็เป็นได้”
“เรื่องนั้นน่าเศร้านัก เขาถูกผู้อื่นฆ่าตายเสียแล้ว นี่คือเหตุผลที่ข้าเร่ร่อนมาถึงเมืองเผิง สุดท้ายก็ลักขโมยของเขากิน ถูกจับขังคุกเกือบเดือน พอออกมา ก็ต้องขายตัวเองเพื่อความอยู่รอด”
สวีหรันเฟยฟังอีกฝ่ายพูดก็นึกย้อนถึงตนเอง เมื่อครั้งมาถึงโลกแห่งนี้ นางประสาทเสียอย่างหนัก แต่นับว่าโชคยังเข้าข้าง ที่สติปัญญายังพอมี ถึงจะหลงลืมหมายสิ่งไปมากแต่ ก็เลือกมีชีวิตอยู่ต่อ พร้อมหาอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง
“ข้าคิดว่า เจ้าอย่าขายตัวเองเลย นอกจากไม่ปลอดภัยต่อเด็กในท้อง ยังเหมือนตกนรกทั้งเป็น หากเจอกับพวกที่ชอบเอาเปรียบ และเห็นสตรีอย่างพวกเราเป็นที่ระบายตัณหา”
เมื่อสวีหรันเฟยกล่าวเช่นนี้ หนิงเจี้ยนจึงมองนางอย่างฉงน ก่อนเอ่ยว่า
“ท่านก็กำลังตั้งครรภ์เหมือนข้า?!”
สวีหรันเฟยไม่ทันตอบ เป็นตอนนั้นที่มีบุรุษร่างสูงใหญ่ พร้อมไอสังหารรุนแรงก้าวเข้ามา แล้วจับข้อมือของหนิงเจี้ยน ก่อนกระชากร่างบอบบางเข้าไปสู่อ้อมอกตน
ถึงสวีหรันเฟยจะทำใจดีสู้เสืออย่างไร ทว่าคนซึ่งสวมเกราะอ่อนนั้นทำให้เขาครั่นคร้ามใจจนแทบจะยืนทรงตัวไม่ไหว
“ดูเหมือนวันนี้ ข้าจะโชคดี ได้พบคนงามถึงสองคน ฮ่าๆ ช่างน่าอภิรมย์ยิ่ง!” คนที่เปล่งเสียงก้องกังวาน คือรองแม่ทัพเผย ที่วันนี้เดินทางมาเมืองเผิง เพราะได้รับมอบหมายจากรัชทายาทให้ ดูแลความสงบเรียบร้อย พร้อมเตรียมการสำหรับการเดินทางของอีกฝ่ายที่จะมายังป้อมไม้ดำ เพื่อทำสิ่งสำคัญในเร็วๆ นี้
ฝ่ายสวีหรันเฟยอยากถอยจากเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่กับถูกคนของเผยอี้ฮุ่ย ในชุดของทหารเต็มยศล้อมตัวเอาไว้ !
บทส่งท้าย สามเดือนผ่านไป เหยาหรูอวี้อยู่ไม่เป็นสุข นางไม่ได้อึดอัดในการอยู่เรือนรับรองสกุลหยาง ซึ่งตอนนี้ปรับเปลี่ยนหลายอย่างจนกลายเป็นตำหนักนอกวังหลวงของมู่ชิงเฉินเฮ่อไปโดยปริยาย ตอนนี้สถานะของนางคือพระชายาของอีกฝ่าย หากกล่าวไปแล้วก็ตลก ด้วยตั้งใจขอหย่า แต่มู่ชิงเฉินเฮ่อถามว่า แล้วใครจะดูแลนาง ได้ยินคำถามแบบนั้น เหยาหรูอวี้ทั้งสับสน มึนงง และทำตัวไม่ถูก “หม่อมฉันอยากเป็นอิสระ และไม่จำเป็นต้องมีบุรุษใดคอยให้ความช่วยเหลือ” “ฮ่าๆ ๆ ฝีปากกล้า แต่ดูเหมือนไม่ได้มีความมั่นใจเลย หรูอวี้” “เฉินอ๋อง... สงสารลูกนกสักตัวเถิด ท่านกำลังทำให้หม่อมฉันสับสน และอย่างไรตอนนี้ ท่านก็ต้องดูแลอนุอี้ ไม่นานนางก็คลอดปีศาจน้อย เอ๊ย คลอดองค์ชายแสนน่ารักให้ท่านเลี้ยง” “หรูอวี้ รู้ใช่หรือไม่ว่าเจ้ากลับแคว้นของตนไม่ได้แล้ว” อ๋องหนุ่มใช้คำถามง่ายๆ ไม่ได้มีน้ำเสียงดุดัน ทว่าเป็นยามนั้นที่เหยาหรูอวี้กลั้นน้ำตาไม่ไหว นางน้อยใจเป็นทุน และคิดถึงถิ่นฐานของตนด้วย “หม่อมฉันกลัว จากนี้ก็ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่มีคนรัก ไม่มีใครสนใจ เป็นได้แค่ท่านหญิงโง่เขลาผู้
จ้าวหว่านอี้และคนของนาง รวมถึงเหยาหรูอวี้แต่งตัวเป็นชาวเมืองทั่วไป เพื่อมาส่งอาหารและยารักษาโรค และเมื่ออยู่ด้านนอก หลายสิ่งบอกให้รู้ว่าไม่ปกติ หลี่จิ้งอยู่ไม่ห่างจ้าวหว่านอี้ ฝ่ายเหยาหรูอวี้มีคนอารักขาตลอดเวลา “สังเกตหรือไม่ว่า แม้เราปลอมตัวออกมายังมีคนรู้ นั่นย่อมหมายความว่า ในเมืองเจี้ยนมีสายให้คนพวกนี้” เหยาหรูอวี้พยักหน้ารับ พอเดินผ่านกลุ่มผู้คน เข้าไปในส่วนที่ลึกสักหน่อย ก็คนมาล้อมหน้าล้อมหลัง “ดี ข้าขี้เกียจเสียเวลา” จ้าวหว่านอี้ไม่ได้ท้าทาย นางรอให้คนร้ายเผยตัวนั่นเอง อึดใจต่อมา มีระเบิดควันพวยพุง และมือสังหารหมายเข้ามาชิงตัวจ้าวหว่านอี้ ทว่าเป็นคนของมู่ชิงเฉินเฮ่อ และทหารอารักขาปกป้องนางไว้อย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามก็มีฝีมือดีมาก “คุณหนู!” พอรู้ว่ามีผู้ที่พุ่งเข้ามาหาตนคือใคร จ้าวหว่านอี้ก็หมุนตัวไปอีกด้าน แล้วพยักหน้าให้หลี่จิ้งช่วยจับตัวไว้ คนผู้นั้นเป็นวรยุทธ์ ฝ่ายหลี่จิ้งก็พอมีฝีมือบ้าง ทั้งคู่ปะมือกันอยู่สามสี่กระบวนท่า จ้าวหว่านอี้เห็นว่าคนของตนสูงวัย กว่าอาจเพลี่ยงพล้ำเลยตะโกนไปว่า
เช้าวันใหม่เกิดความโกลาหลที่หน้าประตูเมือง จ้าวหว่านอี้ขึ้นไปบนกำแพง มองลงไปด้านนอก เห็นว่ามีชาวบ้านทยอยเดินทางมาที่เมืองเจี้ยนอย่างไม่ขาดสาย ส่วนมากเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยามนี้ไม่มีการเปิดให้คนเข้ามาด้านใน เนื่องจากป้องกันภัยและโรคติดต่อราษฎร รวมถึงพวกที่แอบอ้างปะปนเข้ามาเพื่อสร้างความก่อก่อนดังนั้นทางการจึงจัดหาที่พักด้านนอก สร้างกระโจม หรือที่นอนชั่วคราว และให้มีโรงทานแจกจ่ายนอกประตูเมืองด้วย เหยาหรูอวี้ตามมาสมทบบนกำแพงเมือง นางเห็นผู้คนมากมายก็ใจเสีย “พวกเขาอพยพมาไม่หยุด ความหิวทำให้เกิดเรื่องมากมาย และข้าเชื่อว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังแน่นอน” “ดังนั้นขจัดต้นตอของปัญหา แล้วดูแลปากท้อง เมืองรอบๆ นี้ส่วนมากไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม คงต้องการแรงงานเพาะปลูก อาจช่วยได้ไม่ทั้งหมด แต่ดีกว่าการป้อนอาหารให้พวกเขาอยู่เช่นนี้” จ้าวหว่านอี้กล่าวจบ เหยาหรูอวี้ก็ทึ่งจัด “อนุอี้มองการณ์ไกล ข้าไม่แปลกใจเลย หากเจ้าจะเป็นผู้มอบทายาทให้แก่เฉินอ๋อง” หญิงสาวยิ้ม แล้วตอบกลับ “แต่คนที่ฮ่องเต้อยากให้เป็นพระชายาของเฉินอ๋องคือเจ้า” เหยาหรูอวี้โบกมือไปมา พ
สถานการณ์แจกจ่ายอาหารเป็นไปตามที่จ้าวหว่านอี้คาดเดาไว้ คนที่หิวโหยรอรับของกิน ไม่มีการบ่น หรือแสดงกิริยาให้คนของจ้าวหว่านอี้ต้องปวดหัว ทว่าเวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่าย ฝ่ายของรองเจ้าเมืองก็แจ้งว่า ด้านนอกประตูเมือง มีชาวบ้านหลั่งไหลมามากกว่าเดิม ยามนี้นับแล้วเพิ่มขึ้นนับห้าร้อยชีวิต จ้าวหว่านอี้คิดถึงเรื่องในนิยายที่ตนเขียน และวางแผนรับมือให้ได้ จากนี้คือสิ่งที่ศัตรูนางกำลังก่อความวุ่นวาย จงใจให้มีผู้คนอดยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ภายในห้าวันนี้ จะมีคนมาที่เมืองเจี้ยน ให้เราต้องหาอาหารให้พวกเขาไม่ต่ำกว่าสองพันคน” “โอ้ คุณหนูหากมากมายถึงเพียงนั้น เกรงว่าข้าวที่ซื้อไว้คงไม่พอ อีกทั้งเสื้อผ้า ยารักษาโรคที่พวกเขาร้องขออีก” “ข้าเข้าใจ ตอนนี้มีคนวางแผนให้เราใช้เสบียงของสกุลหยางที่กำลังผ่านมาทางนี้ และข้าจะแบ่งมาสักส่วนหนึ่ง แล้วค่อยเติมกลับ” “หากทำเช่นนั้นจะไม่เป็นตามความต้องการของคนที่คิดร้ายต่อเราหรือเจ้าคะ” ซินเยว่ถามด้วยความอยากรู้ “เราต้องช่วยคนก่อน และข้าจะให้พวกที่ก่อกวน ชดใช้อย่างสาสม เพราะภัยน้ำท่วมครั้งนี้ เกิดจากพวกเขาทำลายเขื่อน และย
หลี่จิ้งเข้ามาหาหญิงสาว รายงานสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น “คุณหนูเช้ามืดต้องออกเดินทาง คาดว่าใช้เวลาอย่างน้อยก็ราวๆ สองวันเจ้าค่ะ สกุลหยางเลือกจัดงานเลี้ยงที่เรือนรับรองนอกเมืองหลวง ดังนั้นแขกที่ไปจึงไม่ได้มากนัก แต่อย่างไรเสีย มีสตรีหลายคนที่ได้รับเชิญ รวมถึงคุณหนูเซียง” “เฮ้อ ตัวข้าตั้งแต่ถูกเฉินอ๋องฉุดตัวมา ก็ชอบอยู่ที่นี่ อีกอย่างเดินทางไกลๆ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ” “มิได้หรอกเจ้าคะ องค์ชายสามเตรียมรถม้าไว้ให้แล้ว นอกจากนั้นยังมีทหาร และบ่าวอีกไม่น้อย หากจะว่าไปก็เกินความจำเป็นอยู่มาก” เมื่อหลี่จิ้งกล่าวเช่นนั้น จ้าวหว่านอี้ก็ฉุกคิดหลายสิ่ง นางมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เป็นเรือนร้างอย่างที่มู่ชิงเฉินเฮ่อบอกก็จริง หากทุกอย่างสะดวกสบาย ท่าทางเขาไม่ได้ต้องการอนุเพิ่ม อีกอย่างในไม่ช้าเหยาหรูอวี้จะมาเป็นพระชายาของอีกฝ่าย ยามนี้มีหลายสิ่งที่จ้าวหว่านอี้ไม่เข้าใจ แต่นางจะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด ด้วยรับรู้ว่า เนื้อหาในนิยายยามนี้สามีเก่านางคือผู้ควบคุม นอกเหนือจากนั้น เรื่องสำคัญคือนางตั้งครรภ์ และไม่ใช่กับชายชู้ หากเป็นมู่ชิงเฉินเฮ่อ แล้วที่หวานชื่น อีกฝ่ายคลั่งรั
จ้าวหว่านอี้ไม่ได้โทษคนตัวโตสักนิด เป็นนางต่างหากที่อดทนต่อความซ่านสยิวไม่ได้ เสียแต่ว่าก่อนที่เขาจะปลดปล่อย ชายหนุ่มยังไม่พานางขึ้นสวรรค์ และน้ำอุ่นขาวข้นก็ทะลักออกมามากมาย จนนางกับเขาต่างอึ้งพอๆ กัน “เอ่อ ข้าเครียดไปสักหน่อย ภาระก็มาก เลย...อยากผ่อนคลายไวๆ” เขาเขิน ใช่... เหตุใดนางจะไม่รู้ การให้นางชักท่อนลำ แล้วใช้ลิ้น ปาก ดูดเล้าโลม สลับการครอบริมฝีปากเข้าออกลำอุ่นๆ เพียงไม่กี่อึดใจ ฝ่ายเขาก็หลั่งไหล ถึงนางจะมีความสุข แต่อดน้อยใจไม่ได้ “หม่อมฉันไม่ยอม ท่านพี่กินอิ่มคนเดียว แล้วยังทำท่าเหมือนจะหมดแรงด้วย” นางว่าและส่งสายออดอ้อน ด้วยความสิเน่หามากล้น ทั้งห่วงใยที่นางถูกขังคุกมู่ชิงเฉินเฮ่อเลยไม่ทันยั้งมือ เผลอสาดน้ำรักอย่างบ้าคลั่ง เปรอะทั้งใบหน้างาม และลูกกรงเหล็ก “เสี่ยวอี้ ข้าอึดและมีพลังมากแค่ไหน เจ้ารู้ดี เมื่อครู่แค่ตื่นเต้นมากไปสักหน่อย” “เช่นนั้นจงแสดงให้หม่อมฉันเห็นใหม่เถิดเพคะ” มู่ชิงเฉินเฮ่อ สูดลมหายใจลึก แน่นอนเขาจะทำเรื่องขายหน้าให้ตนเองด้วยการปลดปล่อยราวกับเด็กหนุ่มเข้าหอครั้งแรกไม่ได้อีกเป็นอันขาด “ปากเจ้า หน้าอ