ภายในกระโจมสีแดง อู๋เสี่ยวหวาสังเกตเห็นสีหน้าองค์รัชทายาทที่นิ่งขรึมกว่าปกติหนึ่งเท่าตัวแล้วไม่สบายใจเอามาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังถูกอีกฝ่ายกอดกระชับในวงแขน ไร้ที่หลบซ่อนได้ นี่คือผลของการเป็นของบรรณาการสินะ อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงองค์ชายสิบแคว้นซี ออกจากวังโดยพลการเพียงเพราะอยากหลบเลี่ยงการเป็นของบรรณาการขององค์รัชทายาท ไม่แคล้วฟ้าสวรรค์บันดาล สุดท้ายก็ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาทอยู่ดี
“ท่านนี่ว่านอนสอนง่ายอยู่นะองค์ชายสิบ”
หวังซีเอ่อที่อยากรังแกบุรุษหนุ่มที่เป็นของบรรณาการมาให้ตกแต่งเป็นภรรยาของเขาในอนาคตกล่าวต่อคนที่อยู่ในวงแขน ซึ่งจู่ ๆ ก็ไม่ขัดขืนอีกแล้ว
“ข้าจะขัดขืนไปไย สุดท้ายก็หนีความจริงไม่พ้น”
ย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว มาถึงแล้วยังไงล่ะ ทั้งสองถึงแม้อายุห่างกันห้าปี เติบโตกันคนละแคว้นและต่างนิสัยกัน อู๋เสี่ยวหวาคือคนที่ไม่รักษามารยาท ไม่มีเปลือกนอก ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอ เคารพความยุติธรรม รักษากฏ แบบที่ขุนนางใหญ่กับเหล่านางกํานัลยกย่องชมเชย ส่วนหวังซีเอ่อคือ นิ่งสงบเยือกเย็น เฉยชา เคารพผู้อื่น แตกฉานในการปกครองบ้านเมือง รักประชาราษฎร์เหมือนบุตรตนเองและบิดามารดา
องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อเพียงยกริมฝีปากโค้งดั่งคันธนูนั้นขึ้นให้กับการเหน็บแนม เป็นรอยยิ้มที่ดูดีมาก แต่รอยยิ้มนี้ทำเอาอู๋เสี่ยวหวาขนหัวลุก เหงื่อซึมไปทั่วตัว ไม่อยากอยู่ในวงแขนของเขาอีก
“ท่านวางข้าลงก่อนเถิด หาเรื่องเหนื่อยหรือไง อุ้มผู้ชายตัวโตอย่างข้าทั้งคน!”
“ไม่เหนื่อย นอนด้วยกันเลยแล้วกันองค์ชายสิบ”
หวังซีเอ่อเดินถึงข้างเตียง จึงวางอู๋เสี่ยวหวาลง “เดี๋ยวข้าช่วยท่านเปลี่ยนฉลองพระองค์ดีหรือไม่”
“หา! ขะ...ข้าทำเอง ไม่ต้องรบกวนท่านหรอกองค์รัชทายาท..”
อู๋เสี่ยวหวาเขยิบเข้าด้านในของเตียงใหญ่ ปฏิเสธเสียงหลง แต่หวังซีเอ่อดูท่าจะยิ่งขยับเข้าใกล้
“ไม่รบกวนหรอก ข้าถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ช่วยท่าน องค์ชายสิบ” กล่าวจบหวังซีเอ่อก็ลงมือรวดเร็ว คว้าข้อมือเล็กบางแล้วกดตัวอู๋เสี่ยวหวาไว้ใต้ร่าง
“ท่าน! กล้าทำเช่นนี้ ข่มเหงข้าเช่นนี้เลยหรือ!”
อู๋เสี่ยวหวาอยากผลักเขาออก แต่ไม่ว่าจะออกแรงอย่างไรก็ไม่อาจหลบหนีการตรึงของคนที่แข็งแรงไหล่กว้างตัวโตกว่านั้นได้ รูปร่างของผู้ที่อยู่ด้านบนดั่งภูผาใหญ่เช่นนี้ ทําให้รู้สึกว่าตนเองเป็นกระต่ายน้อย อ่อนแอไร้ประโยชน์ให้หมาป่าคาบเล่น จึงข่มกลั้นความอึดอัดไว้จนหน้าแดงก่ำ
“ฮ่า ๆ ข่มเหงท่านงั้นรึ” ลมหายใจของหวังซีเอ่อรดต่ำลงบนผิวหน้าที่งดงามแดงซ่านนั้น หยอกเย้าให้สติแตกพล่าน
“ฮ่องเต้แคว้นซีทรงส่งจดหมายมาบอกแล้วว่าจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเหยา โดยส่งองค์ชายสิบมาเป็นของบรรณาการรับใช้ปรนนิบัติองค์รัชทายาท แต่พอวันส่งมอบของบรรณาการกลับหายหัว ทิ้งไว้แค่ถุงหอมของแทนใจงั้นรึน่าขบขันยิ่ง”
“ก็นั่นมัน...”
“เถียงไม่ออกล่ะสิ อู๋เสี่ยวหวา”
ไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นข่มขู่เขายังดีกว่าตบหน้าตรง ๆ อู๋เสี่ยวหวายิ่งท้องร้อนเป็นไฟ เอ่ยปากต่อว่า
“เหอะ! เสด็จพ่อของข้านี่ก็นะ บีบบังคับข้าให้มาเป็นของบรรณาการท่าน ให้ตกแต่งรับข้าเป็นชายบำเรอ ปรนนิบัติรับใช้ท่าน ฝันไปเถอะว่าข้าจะยอมรับท่านเป็นสามี”
“เจ้าคิดไปเองหรือไม่อู๋เสี่ยวหวา ข้านี่นะจะรับเจ้าเป็นภรรยา?”
หวังซีเอ่อย่นหัวคิ้วกล่าว ดูฉงนใจอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านบื้อหรือไร จึงดูไม่ออกว่าเสด็จพ่อข้าส่งข้าให้เป็นของบรรณาการของท่านเพื่ออะไร!" อู๋เสี่ยวหวากล่าวอย่างเดือดปุด ๆ
“อื้ม...เป็นเช่นนี้เองงั้นหรือ”
หวังซีเอ่อยอมรับว่าตนเองความคิดสะเพร่า ขาดการมองที่เฉียบแหลม เข้าใจผิดงั้นเหรอ เขาเองก็ไม่ได้คิดอยากมีพระชายาเป็นบุรุษหรอกนะ แต่อู๋เสี่ยวหวากลับแตกต่างออกไป ทำให้เขานั้นเหมือนถูกสะกดในเล่ห์เสน่หา
“ท่านโง่เกินไปแล้วหรือเปล่า! ยังเข้าใจผิดคิดไม่ได้ว่าข้านั้นจะได้แต่งเป็นชายาให้ท่าน?!”
อู๋เสี่ยวหวามองเหตุผลอื่นไม่ออก อยากลุกไปเขกหัวอีกฝ่ายมาก แต่ทำไม่ได้ด้วยมือทั้งคู่ถูกกดไว้แน่นหนา จึงได้แค่เพียงมองเขาตาปริบ ๆ
“ข้าผิดเองหวาเอ๋อร์ ยังไงก็ขอบใจที่บอกจุดประสงค์ของแคว้นเจ้า ข้าจะได้ตัดสินใจได้โดยง่าย”
“เดี๋ยวก่อน...ตัดสินใจอะไร?”
“ว่าแต่เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าเดินทางลงใต้...”
อู๋เสี่ยวหวาจ้องใบหน้าหล่อคมขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ คิดว่าตนไม่ชอบใจตรงไหนในทั้งหมดนี้บ้างนะ
“องค์ชายสิบ ความรู้บุตรไม่สู้บิดานะพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ท่าน!”
คิ้วของอู๋เสี่ยวหวาขมวดตึงขึ้นมา เขาไม่ได้เด็กถึงขนาดจะเป็นลูกขององค์รัชทายาทเสียหน่อย
“นับแต่ทรงหัดเดิน แคว้นซีก็ยังอ่อนด้อย แคว้นเหยาที่ข้าอาศัยอยู่ อีกไม่นานข้าก็จะได้เป็นผู้ปกครอง ต่อไปย่อมต้องสัมผัสวิธีคิดของแคว้นเล็ก ๆ จนเข้าใจ”
หวังซีเอ่อกลับตอบจริงใจตรงไปตรงมา “ทุกแคว้นล้วนเป็นหูเป็นตาให้แคว้นเหยา เพียงแค่นี้ทำไมข้าจะไม่รับรู้ว่าเจ้าไปทางไหน อู๋เสี่ยวหวา”
“เอ่อ...”
อู๋เสี่ยวหวาเหวอไปทันที เพื่อทำให้ผู้ที่ออกติดตามเสียเวลา เขาเจตนาทิ้งถุงหอมโดยแสดงชัดเจนว่าตนเองต้องการไปทางเหนือ ผลกลับกลายเป็นยกก้อนหินทุบเท้าตัวเอง ทําให้หวังซีเอ่อเดาความคิดแท้จริงออก คิดเช่นนี้แล้วคนที่โง่มิใช่องค์รัชทายาท แต่เป็นตนเองที่คิดว่าต้องเป็นเช่นนี้มากเกินไปต่างหาก! อู๋เสี่ยวหวาเบะปากอย่างช่วยไม่ได้ ทำเสียงจิ๊จ๊ะ แล้วเบือนหน้าหนี
“การเก็บหมากยามใกล้ปิดกระดาน ท่านหลบหนีการส่งมอบเป็นของบรรณาการให้แคว้นเหยา แต่ความจริงคือไม่อยากแต่งงานกับข้า รับรองว่าเสด็จพ่อเจ้าย่อมคิดเช่นนี้ หลีกเลี่ยงไม่เกิดความเห็นต่างระหว่างความมั่นคงของแคว้นที่จะดึงดูดข้อพิพาทโดยไม่จําเป็นมิได้ หลังจากข้าได้รับจดหมายจากเสด็จพ่อเจ้ารวมถึงเห็นถุงหอมนี้ ก็สั่งเลื่อนงานต้อนรับองค์ชายบรรณาการแคว้นซีไปก่อน ปิดข่าวเพื่อรอนำตัวเจ้ากลับมา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจว่าข้าคิดหนีสินะ...” อู๋เสี่ยวหวากล่าวแทรก “พวกเขาล้วนเข้าใจว่าแคว้นซีของข้าจะแปรพักตร์แล้วหรือไม่...”
“สมองน้อย ๆ ของท่านคิดไปไกลถึงไหนแล้ว ขอเพียงทรงยอมรับแล้วกลับไปแต่โดยดี จะมิใช่ปัญหา"
“ทรงวางพระทัยเถิด เรื่องของท่านข้าจะไม่เอาโทษรวมถึงแคว้นซีด้วย”
องค์รัชทายาทพูดอย่างมีแผนในใจไว้แล้ว ทว่าอู๋เสี่ยวหวาได้ฟังแล้วสีหน้าแย่ลงบ่นพึมพำ
“อ้อมอยู่ได้ตั้งนาน สรุปคือท่านก็อยากรับของบรรณาการอย่างข้า”
“ทรงหลบหนีไปยังไงก็ไม่อาจหลุดพ้น สมเหตุสมผลดี” หวังซีเอ่อโยนประโยคเช่นนี้ออกไป บอกเป็นนัยว่าองค์ชายสิบนั่นแหละที่ทรงเริ่มหนีก่อนมิใช่หรือ?
“หวังซีเอ่อ ท่านบังอาจมาก!”
อู๋เสี่ยวหวาย่อมฟังความนัยที่แฝงอยู่นี้ออก เพลิงโทสะจึงถูกดึงขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าก็รู้มาบ้างนะ องค์รัชทายาทท่านรู้ไหมว่าประโยคต่อของ “ความรู้ลูกไม่รู้พ่อคืออะไร”
“องค์ชายสิบรู้ด้วยงั้นหรือ?”
“ความรู้กษัตริย์ย่อมรู้เท่ากษัตริย์”
หวังซีเอ่อเผยยิ้มตอบ
“ก็ถูกของท่านองค์ชายสิบ”
“ท่านอย่ามาอวดเบ่งนักเลย ข้าก็ย่อมรู้ดีไม่ต่างกับท่านหรอก!” อู๋เสี่ยวหวากล่าวด้วยความขุ่นเคือง อีกทั้งเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง มาดูแคลนเขางั้นหรือ
มือใหญ่กว้างหนาหยาบกร้านจากการฝึกยุทธ์มานานปีคู่นั้นเลื่อนผ่านฝ่ามือเล็กทั้งสองของอู๋เสี่ยวหวาอย่างคล่องแคล่ว รวบขึงขึ้นไว้เหนือหัว แล้วมือที่ว่างก็เลื่อนมาลูบไล้พวงแก้ม
“องค์รัชทายาท ท่านหยุดนะ!”
อุณหภูมิถูกส่งผ่านมือทั้งคู่ที่กำลังทำหน้าที่ของมันให้กับคนใต้ร่างแบบไม่ขาดสาย ทำให้อู๋เสี่ยวหวาใจเต้นเร็วขึ้น หายใจไม่เป็นจังหวะ แม้ตนเองจะไม่รู้จักหวังซีเอ่อดี ตั้งแต่เส้นลายมือทุกเส้นบนฝ่ามือเขาจนรอยกร้านด้านที่เกิดจากฝึกกระบี่มาหลายปี ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่เขาพอรับรู้ได้คือ ความรู้สึกว่าตนจะรู้จักองค์รัชทายาท สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือเมื่อครั้งวัยเยาว์ ฝ่ามือนี้ สัมผัสนี้เขาคุ้นเคยดี
เด็กคนนั้นที่ข้าแบ่งหมั่นโถวให้ คือท่านเองงั้นหรือ หวังซีเอ่อ..
“ยังไงองค์ชายสิบก็เป็นของบรรณาการของข้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องปรนนิบัติข้าอยู่ดี อู๋เสี่ยวหวา”
หลังจากหวังซีเอ่อกล่าวเช่นนี้ อู๋เสี่ยวหวายังไม่ทันได้พูดอะไร ผ้าพันเอวแพรแดงของชุดเจ้าสาวที่พันช่วงเอวไว้แน่นหนาก็ถูกดึงออกมา
“ทะ...ท่านอย่าคิดทำแบบนั้นเชียวนะ...”
แม้ในลูกตาดําสนิทคมกริบคู่นั้นจะแสดงเจตนาชัดเจนแล้ว อู๋เสี่ยวหวายังเอ่ยอย่างไม่เลิกล้มความตั้งใจ
“ข้าจะช่วยท่านเปลี่ยนชุด สวมชุดแดงทั้งตัวกลับวังไปกับข้าคงมิงามเท่าใดนะองค์ชายสิบ”
หวังซีเอ่อตอบเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่การเคลื่อนไหวของนิ้วกลับอาจหาญพอสมควร ไม่เพียงเสื้อคลุมชั้นนอกถูกถลกเปลื้องออก กางเกงตัวในก็ถูกถอดไปด้วย
“อย่าทำเช่นนี้ องค์รัชทายาท...”
“ใต้ผืนฟ้าคือแผ่นดินของกษัตริย์ และข้าคือโอรสกษัตริย์แคว้นเหยานี้ ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจจุดนี้”
หวังซีเอ่อยึดมือทั้งคู่ที่พยายามดิ้นขัดขืนกดไว้เหนือศีรษะของเจ้าตัวได้อย่างสบาย ๆ ให้แน่นมากขึ้น
“ข้าคงมิอาจขัดขืนท่านได้สินะ...”
อีกฝ่ายคอยเตือนเสมอมาว่าเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้แคว้นเหยา เป็นองค์รัชทายาท ตั้งแต่เกิดก็มีอํานาจ สูงสุดในการครอบครองแคว้นแผ่นดินทั้งหมด ลึก ๆ ในใจแล้วอู๋เสี่ยวหวาไม่ชอบนัก แต่กลับไม่อาจหักล้าง เพราะเขาผู้นี้คือบุรุษในอดีตตอนวัยเยาว์ที่ตนชื่นชอบ
“เจ้าน่ะงดงามเสมอในสายตาข้า เสี่ยวหวา”
หวังซีเอ่อกระซิบระยะประชิด ทำให้อู๋เสี่ยวหวากัดริมฝีปาก ยิ่งไร้คําพูดตอบโต้ พูดจบหวังซีเอ่อก็โน้มตัวลงประทับริมฝีปากที่อู๋เสี่ยวหวากัดไว้จนเกือบเลือดออก จูบรุ่มร้อนเผด็จการแต่เจือความอ่อนโยนด้วยนั้น ทำให้อู๋เสี่ยวหวาคลายฟันออกอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับองค์รัชทายาทแต่โดยดี ทันใดนั้นลิ้นเปียกร้อนก็แทรกเข้าในโพรงปาก ก่อกวนเรียวลิ้นอีกอันที่อยู่ภายใน ดูดดุนเกาะกุมอย่างดุเดือด เวลาเดียวกันมือใหญ่กร้านหยาบก็เลื่อนไหลเข้าตรงหว่างขา จากจุดที่ชุดมงคลแดงจัดแหวกอ้าออก
“อึ้ก! อ๊ะ ๆ อ๊า..องค์รัชทายาท..”
อู๋เสี่ยวหวาตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อนิ้วมือใหญ่กร้านกอบกุมแก่นหยกน้อยของตนเอง ขยับเคลื่อนไหวอย่างชํานาญภายใต้เสื้อคลุม บางครั้งปลายนิ้วก็แฉลบโดนส่วนปลายที่เริ่มเปียกชื้น สิ่งที่อยู่เต็มสมองล้วนเป็นหวังซีเอ่อ ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ในหัวเองก็ร้อนระอุ อู๋เสี่ยวหวาอยากปฏิเสธไม่ยอมรับรสสัมผัสนี้ขององค์รัชทายาทผู้แสนเอาแต่ใจ อยากจะผลักไสไล่ส่งไม่ยอมรับ แต่ริมฝีปากก็อ้าออกกล่าวไม่ได้สักคำ มีแต่ปลดปล่อยเสียงอื้ออ๊าฟังแล้วระแคะระคายหูออกมาแทน
“ข้าชอบท่านนะ องค์ชายสิบอู๋เสี่ยวหวา”
ภายใต้การโอ้โลมอันเร่าร้อนของหวังซีเอ่อ อู๋เสี่ยวหวาหายใจหอบ ร่างสั่นเทิ้ม พลันยกแขนขึ้นโอบบ่าหนานั้นโดยไม่คํานึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น แล้วภาพก็ดับวูบลง เป็นอู๋เสี่ยวหวาที่ผล็อยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย หากแต่ในใจยังเจ็บปวด ยิ่งรู้สึกว่าระยะระหว่างแคว้นซีและแคว้นเหยานั้นช่างไกลห่างยิ่งนัก อนาคตจะเป็นเช่นไรคงต้องพิสูจน์ต่อสู้กันต่อไป
พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี
โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร
ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ
อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง
“ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่
ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั