Home / วาย / อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี / บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี

Share

บทที่ 4 บรรณาการแคว้นซี

last update Last Updated: 2025-02-14 03:14:37

นอกเมืองควานเหลียนไกลออกไปหลายลี้ แม่น้ำยาวสุดลูกหูลูกตาส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุงามล้ำเกินบรรยาย บนที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำตอนเหนือ ทหารหยานชุนปักหลักยืนกันอยู่นานค่อนวัน ธงของกองทัพปลิวสะบัด หอกดาบวาววับ ขบวนแถวเรียงเป็นระเบียบมีวินัยเคร่งครัด ธงผืนใหญ่ที่มีเพียงตัวอักษร ‘หวัง’ สีดำลวดลายมังกรสีแดงสะบัดรับลมมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เขาอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ขนสีน้ำตาลแดงเงาวับ บุรุษที่เป็นผู้นํา ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมเกราะสีทองเป็นประกาย ชายผ้าคลุมสีแดงพลิ้วสะบัดไหว ท่วงท่าองอาจไม่ธรรมดา บุรุษในชุดเกราะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงตาคมกริบดุจหมาป่าคู่นั้นเหลือบขึ้นเล็กน้อย แสงแดดเหลือบทองระยิบระยับที่สะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของเขา

“รายงาน! องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”

ไม่นานเพียงหนึ่งจิบชา บุรุษสวมเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งควบม้าเร็วตะบึงมาตามถนนหลวงประหนึ่งลูกธนู ก่อนหยุดฝีเท้าอยู่ที่เบื้องหน้าม้าพันธุ์ดีสีน้ำตาลแดง แล้วโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วคุกเข่ารายงาน

“เรียนองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารองครักษ์เงยหน้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “กระหม่อมตรวจสอบแล้ว องค์ชายสิบบรรณาการแคว้นซีพร้อมขันทีอันเต๋อจื่ออยู่ในเมืองควานเหลียนห่างออกไปสองร้อยลี้พ่ะย่ะค่ะ"

เขาพูดจบก็ส่งของชิ้นหนึ่งให้ด้วยสองมือ มันคือถุงหอมผ้าแพรเย็บด้ายเงินปักลายดอกอิงฮวาบานสะพรั่ง ฝีมือเย็บประณีตทั้งด้านในและด้านนอก สีสันสดใสเหมือนจริง ฝีมือประณีตชั้นเซียน เป็นงานในราชสำนักของแคว้นซี ไม่ต้องสืบก็รู้เลยว่ามันเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง กลิ่นหอมเลือนหายไปหมดแล้ว

บุรุษในชุดเกราะทองรับถุงหอมนั้นมาจ้องมอง ก่อนกําไว้ในมือแบบฉับพลัน สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งนั้นทำให้หลายคนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า หลายเดือนแล้วที่ต้องรอคอยบรรณาการจากแคว้นซีมาส่งมอบ แต่ก็ยังมาไม่ถึงเสียทีเมื่อทวงถามก็ได้ความว่าองค์ชายสิบแคว้นซีหายตัวไป องค์รัชทายาทจึงรับช่วงต่อว่าจะออกตามหาบรรณาการแสนล้ำค่านี้ด้วยตนเอง

“ถ่ายทอดคําสั่งองค์รัชทายาท ทหารทุกนายเคลื่อนพลไปยังเมืองควานเหลียง ค้นหาองค์ชายบรรณาการ” เสียงของบุรุษในชุดเกราะหุ้มเบาทว่ามีพลัง แต่ละคําราวกับฟ้าจะถล่มลงมาได้

ปัง! ปัง! ฟิ้ว!

ฟ้าใกล้มืดค่ำลงแต่แสงสียังคงประดับสว่างจ้า หน้าประตูคฤหาสน์ของเจ้าเมืองควานเหลียง ละอองฝุ่นควันและเศษกระดาษสีแดงของประทัดเกลื่อนเต็มถนนใหญ่ ใต้เท้าเฉินผู้นี้แต่งภรรยามาแปดคนแล้ว เมื่อหน้าประตูคฤหาสน์ลั่นฆ้องดังสนั่น ชาวบ้านมารวมตัวมุงดูกันครึกครื้น ทุกคนต่างอยากเห็นว่าบุรุษรูปโฉมงดงามหน้าตาเป็นอย่างไรกัน จึงทำให้เฉินสวี่เหล่ยยอมจัดงานใหญ่โตไปรับมาเป็นภรรยาเช่นนี้

นอกจากภรรยาหลวงแล้ว อนุเหล่านั้นล้วนถูกพาเข้าทางประตูแบบดิ้นรนมากกว่าสมยอม งานครั้งนี้ไม่ได้ป่าวประกาศมากนัก ผู้คนมากมายล้อมวงมุงดูแขกเหรื่อที่มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ ใต้เท้าเฉินในฐานะเจ้าบ่าวยืนที่ประตูใหญ่ ประสานมือน้อมคํานับยิ้มแย้มต้อนรับแขกรอบด้าน แขกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนร่ำรวยมีเกียรติ พ่อบ้านตระกูลเฉินรับรายการของขวัญจนมือแทบอ่อนแรงกันเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นพ่อบ้านยังต้องตะโกนขานแต่ละรายการที่รับมาด้วย

“ท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋ เมืองเซิงเฟิ่ง มอบชุดแพรไหมสีขาวลวดลายดอกเหมยสะพรั่งสี่ชุด ต้นไม้ปลอมหนึ่งกระถางสองต้น มีคู่มีสุขร้อยปี!"

เด็กรับใช้สองคนยกชุดแพรไหมสีขาวซึ่งโรยดอกอิงฮวากับดอกกุ้ยเหมยไว้ด้านบน วางในกล่องไม้เคลือบครั่งแดงเข้าไป ข้างหลังมีคนยกกระถางต้นไม้คู่อันหนึ่งด้วยสองมือ สามารถเห็นต้นไม้สนต้นสีทองวาววับคู่หนึ่งได้เต็มตา ขนาดใหญ่จนเกือบบังหน้าคนถือ ชาวบ้านที่มุงดูเห็นแล้วไม่มีเลยที่จะไม่ตื่นเต้นประหลาดใจ

 ของชิ้นนี้ต้องจ่ายเงินสักเท่าไรกัน เฉินสวี่เหล่ยย่อมยิ้มหน้าบานต้อนรับฮูหยินไป๋จากอำเภอเซิงเฟิ่งด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทั้งสามคนก็พากันถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบครู่หนึ่ง ใต้เท้าเฉินก็พาท่านแม่ทัพไห่และฮูหยินไป๋เดินเข้าไปส่งถึงด้านในงาน สั่งคนรับใช้ให้การต้อนรับอย่างดี แล้วย้อนกลับไปต้อนรับแขกที่หน้าประตูต่อ

จวนใหญ่สกุลเฉินใหญ่โตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งใต้เท้าเฉินรับราชการจวนก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นสามเท่า เสียงโหวกเหวกหน้าประตูใหญ่ส่งไปไม่ถึงด้านหลังแม้แต่น้อย บริเวณนั้นมีจวนเล็กหลังงามหนึ่งหลัง ตกแต่งคล้ายตำหนักในราชวังหลวง เห็นชัดว่าเพื่ออวดฐานะร่ำรวย ใต้เท้าเฉินได้สร้าง ห้องต้อนรับ ศาลา สะพานน้อย ธารน้ำ โดยอ้างอิงรูปแบบจากเคหสถานของเมืองหลวงทุกอย่าง

นอกจากนี้ด้านในได้วางกำลังป้องกันแน่นหนาา ในสวนเงาไม้ร่มรื่น กิ่งก้านดอกผลิบาน ภายในมีหน่วยคุ้มกันซ่อนตัวอยู่ คนนอกนึกอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ คนในยิ่งแล้วใหญ่อย่าคิดจะออกไปได้

ปัง!

บานประตูไม้แกะสลักละเอียดละออถูกถีบจนสั่นสะเทือน หน่วยคุ้มกันเหล่านั้นชินชาไปเสียแล้วจึงไม่มีสักคนขยับเขยื้อน มีเพียงชะโงกหน้าดูแล้วก็กลับมามีท่าทีเหมือนเดิม

“คุณชายที่แสนดีของข้า วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน ควรเตรียมตัวให้สวยงามผุดผ่องเสียหน่อยนะ ท่านจึงจะพบปะแขกเหรื่อในงาน...”

เสียงของหญิงสูงวัยกล่าวขึ้น “ท่านแต่งงานก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ”

หลังจากถูกจับตัวมาอยู่ที่นี่ได้สามชั่วยาม ใต้เท้าเฉินก็ได้อธิบายบอกคนในจวนนี้เกี่ยวกับคุณชายที่ถูกจับตัวมา ทุกคนล้วนต่างคิดว่าคุณชายท่านนี้อวดเบ่งกินแล้วไม่จ่ายที่หอเจิ้นเชียง เจอการสั่งสอนของหรงฝู่เลาเข้าไปได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงกลายเป็นสติขาด ๆ เกิน ๆ กล้าเรียกตัวเองด้วยคําสรรพนาม แทนตัวเองตลอดว่าเป็นองค์ชายสิบแคว้นซี

 เป็นถึงบรรณาการส่งมอบให้องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ กล้าที่จะแย่งชิงขององค์รัชทายาทไม่กลัวตายหรือ? แม้ตรวจสอบพบว่าคนรับใช้ของเขาเป็นคนไร้อัณฑะ ซึ่งหากไม่เรียกว่าคนไร้อัณฑะก็เหลือแค่ขันทีในวัง ทว่าเจ้านายเป็นบ้าคนรับใช้ไม่บ้าตามไปด้วยหรือ ยากที่จะเชื่อ หลอกคนอย่างใต้เท้าเฉินไม่ได้หรอก

“ท่านดูสิ ชุดมงคลตัวนี้เป็นของจากหยานชุนเชียวนะ ขึ้นเงาสีแดงสดเหมาะกับผิวพรรณของท่านมาก เพื่อคุณชายแล้ว ท่านเจ้าเมืองเสียเงินไปมาก คุณชายเสิ่น วันข้างหน้าปรนนิบัตินายท่านดี ๆ นะเจ้าคะ”

เพราะเจ้าตัวเอาแต่ออกตัวว่าเป็นองค์ชายสิบบรรณาการขององค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ ทุกคนจึงไม่อยากถามมาก และได้ถามเด็กรับใช้ว่าแซ่อะไร เด็กรับใช้บอกชื่อปลอมให้เรียกว่า “คุณชายเสิ่น” ไปเลย

“เหอะ! ถ้าหากดีขนาดนั้น ทำไมเจ้าไม่แต่งเองล่ะห้ะ! พูดอีกอย่างมีบุรุษที่ไหนแต่งงานเป็นเจ้าสาว?!"

“เอ๋...ไม่เห็นแปลก ท่านลืมแล้วหรือว่าเหยาชุนของเราเป็นแคว้นอิสระ ยอมรับเรื่องบุรุษแต่งงานกันได้ สตรีกับสตรีก็ด้วยเช่นกัน ท่านลืมไปแล้วหรือ?”

ประโยคนี้ของแม่นมหงทำให้อู๋เสี่ยวหวาเงียบปากหน้าเจื่อนลง ไม่ผิด เขาลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไรกันนะว่าขนบธรรมเนียมแคว้นเหยานั้นไม่เหมือนแคว้นซีของเขา ถึงแคว้นซีจะไม่ได้ยอมรับเรื่องบุรุษรักกับบุรุษ อิสระในการครองคู่ก็พอลดหย่อนผ่อนผันกันได้ ฉะนั้นแล้วตรงไหนไม่เหมาะสมที่บุรุษจะแต่งในชุดเจ้าสาว แต่ความรู้สึกของ “จับมือกันไปจนแก่เฒ่าฟ้าตราบฟ้าดินสลาย” นั้นแตกต่างกับการแต่งงานที่กําลังจะเกิดขึ้น

นี่มันเป็นการฝืนบังคับให้แต่งงาน แต่เพราะอู๋เสี่ยวหวาเสนอตัวเองเข้ามาเป็นผู้พิทักษ์เอง หนูตกในอวน กับดักชัด ๆ เลยต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทน การเหยียบย่ำในศักดิ์ศรีขององค์ชายสิบที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้น ที่หนีไม่ต้องการเป็นของบรรณาการสวามิภักดิ์ พยายามเลื่อนเวลาออกไปแต่ไม่คิดว่าจะมาอับโชคเจอที่ซวยกว่าอีก! อู๋เสี่ยวหวาอดทนไม่ไหว แย่งชุดมงคลในมือแม่นมหงมาโยนลงพื้นแล้วออกแรงฉีกชุด

“ตายแล้ว! คุณชายเสิ่น ทำลายของมงคลเช่นนี้ได้ที่ไหนกันเจ้าคะ! ท่านนึกรังเกียจเดียดฉันท์ใต้เท้าเฉินมากเพียงนี้เลยหรือ..ใต้เท้าเฉินก็รูปงาม คู่ควรเหมาะกับคุณชายเสิ่นนะเจ้าคะ”

แม่นมหงพยายามห้ามสุดกำลังพร้อมพูดโน้มน้าวไปด้วยในเวลาเดียวกัน

“บัดซบ! ใช่ที่ไหนกัน! ข้าเห็นธาตุแท้เขาต่างหาก เดรัจฉานเฒ่าในร่างมนุษย์!”

อู๋เสี่ยวหวาระเบิดอารมณ์ โมโหขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

“แล้วก็ใต้หล้านี้มีเพียงเสด็จแม่กับเสด็จยายของข้าเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีกที่เหมาะจะเรียกได้ว่ารูปงาม!”

“คุณชาย หน้าตาของท่านก็เป็นสีสันเลิศล้ำของโลกมนุษย์แล้ว มามา นั่งลง ข้าจะหวีผมให้เจ้า”

“อย่าแตะต้องข้า ไสหัวไป!” อู๋เสี่ยวหวาขัดขืนกล่าวเสียงแข็ง

แม่นมหงถอนหายใจยาว คุณชายท่านนี้ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เห็นใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้วจึงร้องสั่งยามสองสามคนเข้ามา อย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจธรรมเนียม

“ชายหญิงห้ามแตะต้องกัน”

“ปล่อยข้า! หยุดนะพวกสุนัขจรจัด!”

ยามที่ดูมีทักษะต่อสู้สูงสี่คนเข้ามารุมจับแขนรวบขา เอาชุดมงคลแดงผลัดเปลี่ยนให้เขา ยังหวีผมแล้วสวมเครื่องประดับหยกบนศีรษะ

“คุณชายเสิ่นช่างงดงามบาดใจเสียจริงเจ้าค่ะ”

เพื่อไม่ให้เขาซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วออกไปก่อเรื่องวุ่นต่อหน้าแขกเหรื่อ แม่นมหงจึงให้ยามมัดคุณชายไว้แน่น ๆ ผูกติดกับเก้าอี้ไม้สักแล้วยังยัดผ้าคลุมหน้าสีแดงในปากด้วย

“อื้อ! อ่อยอ้าอะ ! (ปล่อยข้านะ! ข้าคือองค์ชายสิบนะ!)”

แววตาเสี่ยวหวาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจอกแทบจะระเบิด จะให้แต่งงานทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ

“เอาละ พวกเจ้าทุกคนคงเหนื่อยกันแล้ว ไปดื่มเหล้ามงคลกันเถอะ คุณชายเสิ่น เดี๋ยวสักครู่จะมีคนมาแบกท่านออกไปนะ”

แม่นมหงให้สาวใช้และยามถอยออกจากห้องทั้งหมด ส่วนนางจัดการธุระของตนเองเสร็จแล้วจึงออกไปรับรางวัล อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อซึมเต็มหน้าผากแทบจะเอาเท้ามาเกย อยู่ ๆ ก็เจอคําสาป ‘แต่งงาน’ เสี่ยวหวาอัดอั้นคับข้องใจ โกรธจนอยากฆ่าคนเป็นครั้งแรกในชีวิต และหากวิเคราะห์ถึงท้ายสุด ที่ตนเองตกอับถึงขั้นนี้ล้วนเป็นความผิดของตนเอง

ถ้าไม่ดื้อรั้นหนีออกมาถ่วงเวลาเป็นของบรรณาการ ถ้ายอมไปง่าย ๆ ป่านนี้ชีวิตของเขาคงจะดีกว่านี้ จากแคว้นบ้านเกิดจากวังหลวงมาประสบทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ได้เช่นไรก็ไม่รู้ หลังจากกลับแคว้นได้และถูกส่งมอบให้วังหลวงแคว้นเหยาคงจะได้

“เสด็จพ่อ...”

ความคับแค้นไม่พอใจในแต่เริ่มแรก เวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นความคิดถึงอันบริสุทธิ์ ยิ่งอยากกลับบ้านเกิดและขอโทษพระบิดาที่ตนนั้นไม่ยอมเชื่อฟังไม่รักดี แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขามีเพียงแต่ต้องสังหารคนชั่วด้วยมือตัวเอง! ตอนนี้คิดถึงบิดาไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาอยู่ห่างกันไกลนัก

จริง ๆ เสี่ยวหวาคิดว่าสามารถช่วยตัวเองได้ ถึงแม้ไม่เคยฆ่าคนเลยก็ตาม กำลังทหารในบัญชาการแม่ทัพเปียวนี้ทรงอานุภาพประดุจอสนีบาตล้อมจวนหลวงใหญ่ไว้ชนิดแม้แต่น้ำหยดเดียวก็เข้าไปไม่ได้ ทุกคนในจวนหลวงใหญ่ว่าการเงียบสงบ เมาหัวราน้ำกันถ้วนหน้า

ชุนหลี่และยงเจิ้งของหอเจิ้นเชียงถูกท่านแม่ทัพใหญ่ ‘จงถานไถหมิง’ ภายใต้บัญชาการขององค์รัชทายาท ‘หวังซีเอ่อ’ ดึงคอเสื้อโยนขึ้นบนขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ เขาทั้งคู่ตกใจจนหน้าไม่มีสีมานานแล้วเหงื่อไหลพลั่กแทบจะคลานกับพื้นไปเคาะประตูบานใหญ่สีแดงเข้มของที่ว่าการอำเภอ ซ้ำยังร้องตะโกนโหวกเหวกเหมือนจะถูกเชือด

“ใต้เท้าเฉิน! ท่านเจ้าเมือง! ระ...รีบเปิดประตูให้ข้าน้อยด้วยขอรับ!"

ยงเจิ้งและชุนหลี่ตัวสั่นงันงก สองเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการหลับอุตุ อะไรก็ไม่ได้ยิน ส่วนเจ้านายของทาสสองคนนี้เจ้าของหอเจิ้นเชียงนั้นกําลังเพลิดเพลินกับนางระบำในงานเลี้ยงแต่งงานด้วยกันกับเฉินสวี่เหล่ย แทบจะไม่ได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอกกำแพงสูง ทั้งสองหนุ่มจนปัญญาได้แต่คุกเข่าราบกับพื้น มองท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยสายตาขอความเห็นใจ

“ดะ...ด้านในไม่มีคนตอบขอรับ..”

ปึ้ง! ตึง! ตึง!!

สองคนหนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกมือกุมหูโดยจิตใต้สำนึก เมื่อหันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นองค์รัชทายาทรูปร่างสูงใหญ่เด่นสง่าคนนั้นกำลังถือตะบอง ทันใดนั้นฝุ่นบนพื้นยังสั่นสะเทือนตามเสียงกลอง เมื่อกลองดัง ข้าราชการต้องเปิดศาลเปิดจวนออกมา แต่เสียงกลองในเวลานี้ที่หนักแน่นทรงพลังทะลุทะลวงกำแพงสูงไปได้ไม่ยาก เล่นเอาหูของชุนหลี่และยงเจิ้งเกือบพิการ เสียงกลองอึกทึกกึกก้องปะทุฟ้าคําราม ปลุกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่เมาแอ๋ตื่นได้ สองคนในนั้นวิ่งมาเปิดประตูพร้อมกับตวาดด่าไม่สนลูกใคร

“บิดามารดามันผู้ใดตายห่าตายโหง! ไม่แหกตาดูเรอะว่านี่มันเพลาไหนยังจะมาตีกลอง?!"

ประตูใหญ่จวนที่ว่าการเพิ่งแง้มได้เสี้ยวหนึ่งก็มีคนล้มคะมำเข้าไป เป็นชุนหลี่และยงเจิ่งที่สติแตก

“พวกเจ้าทำบ้าอะไร!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัวมองชุนหลี่สลับกับยงเจิ้งอย่างงุนงง ทันใดนั้นประตูบานใหญ่ถูกเปิดเขย่าสั่นเสียงดังครึก บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา มือข้างหนึ่งของเขาถือป้ายสั่งการตราพยัคฆ์ทองคํา

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการยังสะลึมสะลือ เบิกตามองตราสั่งทัพสีทองอร่ามนั้นให้ดีอีกที แล้วตาก็ลุกวาวหน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงอย่างแรงทั้งสองเนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างกับทาสทั้งสอง เบื้องหน้าบุรุษผู้มีลักษณะน่าเกรงขามคนนี้คือ

“ผะ...ผู้น้อย คารวะท่านแม่ทัพใหญ่จง!”

เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการสองคนหมอบอยู่เบื้องล่างร่างสูงใหญ่ตระหง่านราวรูปปั้นศิลานั้น เนื้อตัวสั่นไม่หยุด แล้วยิ่งตกใจหนักจนแทบตายคาที่เมื่อเจอองค์รัชทายาท

“อะ..องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!!”

“เจ้าเมืองเฉินอยู่ไหน”

น้ำเสียงทุ้มต่ำกลิ้งผ่านเหนือศีรษะของพวกเขาประหนึ่งฟ้าคำรน ส่งผลให้พวกเขาฟันกระทบกันไม่หยุด ได้แค่เพียงก้มต่ำเอานิ้วที่สั่นพับ ๆ ชี้ไปที่ประตูแดงที่อยู่ด้านข้างโถงใหญ่ของจวนหลวงใหญ่ว่าการอำเภอ

“เชิญด้านในเลยขอรับท่านแม่ทัพใหญ่ ชะ...เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

แม่ทัพใหญ่หนุ่มมองประตูใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าสร้างเพิ่มเติมบานนั้น ประตูบานนี้นําตรงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนสกุลเฉิน

“เสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวคือผ่านประตูบานนี้ไปก็ไม่ใช่สถานที่ราชการศาลาว่าการอำเภอควานเหลียงอีก เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย แม่ทัพใหญ่หนุ่มเดินผ่านพวกเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการที่กดหน้าผากแตะพื้นไม่กล้าเงยหน้าไป ยกเท้าขึ้นถีบประตูบานใหญ่!

เพื่อเปิดทางให้องค์รัชทายาท เกินความคาดหมาย ประตูลงกลอนหนาหนักแต่กลับปริแตก ประตูทั้งสองบานยังลอยลิ่วไปด้านหลัง กระแทกผนังที่แกะสลักลวดลายอักษร ‘อยู่เย็นเป็นสุขปกครองด้วยความเป็นธรรม’ เสียงดังยิ่งใหญ่ สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านในต่างมองตาถลน

มันผู้ใดอาจหาญกล้าพังประตูใหญ่ตระกูลเฉิน หลังจากนั้นผู้คนก็ร้องตกอกตกใจ บางคนก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สวนในอุทยานโดนเหยียบย่ำเละเป็นโจ๊ก ยามคุ้มกันของจวนสกุลเฉินย่อมต้องออกไปตรวจดูสาเหตุ แต่ถูกนายทหารถืออาวุธครบมือเตะกลับเข้าจวน ทั้งสองฝ่ายไม่พูดพร่ำ เห็นหน้าก็ตะลุมบอนกันเละเทะ เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวแบบผิดปกติจากสวนด้านหลังนี้รบกวนใต้เท้าเฉินสวี่เหล่ยที่กําลังตั้งใจไหว้ฟ้าดินกับ “อนุแปด”

เป็นการไหว้ฟ้าดินที่ประหลาด เจ้าสาวถูกพวกยามคุ้มกันแบกมาทำพิธีโดยมัดเชือกแดงตัวติดกับเก้าอี้ไม้ เคลื่อนไหวเองไม่ได้ ศีรษะและใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีแดงผืนใหญ่ พิธียังไม่จบด้วยซ้ำก็มียามคุ้มกันเลือดท่วมตัวถูกจับโยนเข้ามา แขกเหรื่อตื่นตกใจพากันหลบหลีกร้องเสียงหลงตกใจ

“เกิดเหตุอันใดขึ้น! รีบรายงานข้ามา!”

เฉินสวี่เหล่ยกลับใจเย็นกว่าที่คิด ถึงจะโพล่งเสียงดัง ตะโกนเรียกยามมาคุ้มกัน ยามที่เดิมคุ้มกันเก้าอี้ไม้ซ้ายขวานั้นก็ชักดาบออกมาล้อมด้านหน้าใต้เท้าเฉินไว้ด้วย เวลาเดียวกัน เสี่ยวหวากําลังเพียรพยายามใช้ลิ้นดันผ้าที่อุดปากออกอยู่ ผ้าคลุมศีรษะสีแดงทั้งหนักทั้งใหญ่ ทำให้เห็นไม่ชัดว่าข้างนอกเกิดอะไรกันแน่

 รู้แค่มีคนบุกเข้ามา ไม่รู้คนนั้นเป็นใคร เสียงตึงตังปึงปังราวฟ้าผ่านั่นเบาลง คนพวกนี้น่าจะยังไม่เลิกตีกันหรอกนะ อู๋เสี่ยวหวาคิดฉวยโอกาสนี้หนีไปหาอันเต๋อจื่อที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกของศาลาว่าการแล้วรีบเผ่นกลับแคว้นซี

 และยอมจำนนรอส่งมอบเป็นของบรรณาการดีกว่า แล้วเรื่องบัดซบพวกนี้ไว้เขาค่อยมาฟ้องฮ่องเต้แคว้นเหยาทีหลัง ให้ลงโทษข้าราชการสุนัขบ้าตัณหาคนนี้ให้หนัก ดูแลบ้านเมืองประสาอะไร ไม่รู้ว่าเจ้าเมืองควานเหลียงเป็นเช่นนี้

คิดได้เช่นนั้นเขาใช้ปลายเท้ายันพื้น ออกแรงทั้งตัว ขยับเก้าอี้ไปด้านข้าง ให้ราบรื่นที่สุด กระบี่ไร้ตา หากฟันโดนตัวเขาคงไม่ดี เขาเขยื้อนไปได้ทีละน้อย ทว่าเปลืองแรงมาก เก้าอี้ขยับได้แค่ไม่กี่คืบ ผ้าคลุมหน้าบนศีรษะกลับร่วงลงมากว่าครึ่ง เผยตาข้างหนึ่งออกมา ดวงตากลับหรี่ลง ตกตะลึงงันกับภาพเบื้องหน้า

ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นทหารกลุ่มใหญ่! หรือนี่จะเป็นเหล่าทหารขององค์รัชทายาทกัน? ทหารเหล่านั้นมือกําดาบคมกริบ บนตัวสวมชุดเกราะ ยืนล้อมสวน ทางเดินคดเคี้ยวและบันไดกันเต็มไปหมด ได้กลิ่นคาวเลือดโชยในอากาศด้วย ดูให้ดีอีกครั้ง ที่พื้นในลานมีศพจำนวนมาก บ้างหงาย บ้างคว่ำ บรรดาแขกเหรื่อที่ตกใจกลัวจนฉี่ราดตดหายกันนานแล้วขดตัวอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้ซึ่งล้มระเนระนาด

คอยระวังดาบของทหาร เบื้องหน้าบริเวณที่ถ้วยชามแตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ชายรูปลักษณ์องอาจสง่างามน่าเกรงขามผู้หนึ่ง กำกระบี่ยาวประกายวาวไว้มั่นด้วยมือขวา จ่อปลายกระบี่คมกริบที่คอเฉินสวี่เหล่ยตัวแข็งทื่อ ตกใจจนแม้พูดยังไม่กล้า กลัวกระทั่งกลืนน้ำลายก็อาจถูกปลายกระบี่เฉือนคอได้ ทำได้แต่เหลือกตาจ้องชายผู้นั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยการวิงวอนร้องขอชีวิต คล้ายรู้ตัวว่ากําลังชะตาขาด

อู๋เสี่ยวหวาเองก็มองชายผู้นั้น รู้สึกราวกับกำลังฝัน สูดหายใจเข้าปอดอย่างช่วยไม่ได้ เขาจดจำได้ว่าผู้นี้คือใครเพราะเคยเห็นภาพวาดเขามาแล้ว

“องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!”

เสียแต่ในปากเขามีผ้าอุดอยู่ เสียงร้องด้วยความตื่นตะลึงสุดขีดนี้ได้แค่ตะโกนในใจ กระบี่คมกริบในมือหวังซีเอ่อค่อย ๆ กดลง เลือดสด ๆ ย้อมคอเสื้อไหมของเฉินสวี่เหล่ยเป็นสีแดงเข้ม เวลานี้เขาไม่สนหน้าตาอีกต่อไป คนเบื้องหน้าเขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร ถ้ายังไม่รีบคุกเข่าร้องขอชีวิตมีหวังตายหมดทั้งชั่วโคตร เขาจึงวิงวอนด้วยน้ำเสียงชวนน่าสงสารซ้ำ ๆ

“องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ! โปรดเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

โดยบนหน้ายังมีความงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไปหลบลู่หมิ่นเบื้องสูงตอนไหนกัน

“ไว้ชีวิต? เจ้าไม่ต้องโขกหัวให้ข้าเพื่อสำนึก ขุนนางข้าราชสำนักทำผิดกฎหมายบ้านเมืองย่อมต้องให้ฮ่องเต้ลงอาญา”

หวังซีเอ่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แม่ทัพใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ บิดแขนของใต้เท้าเฉินแล้วมัดตัวเขาไว้โดยไม่ชักช้า เวลานี้องค์รัชทายาทค่อย ๆ เงยหน้ามอง ‘เจ้าสาว’ ในชุดมงคลสีแดงที่ยังคงถูกมัดแน่นหนา ในปากถูกอุดด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมอยู่

เมื่อถูกนัยน์ตาสีดำล้ำลึกของอีกฝ่ายจ้องเช่นนั้น ในใจอู๋เสี่ยวหวาร้อนรนขึ้นมาทันที รู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เหมือนถูกดงหนามแทงหลังอยู่ฉึก ๆ แล้วแววตาสงสัยก็คลายลง คนรู้จักกันนี่เอง ดวงหน้าที่เห็นในม้วนภาพวาดที่ส่งมาจากแคว้นซี ตามเจอตัวแล้วเขาสบถในใจ

“ถวายความเคารพองค์ชายสิบแคว้นซี ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับองค์ชายให้ดี กระหม่อมละเลยหน้าที่แล้ว”

หวังซีเอ่อหาได้ใส่ใจสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น ทักทายตามหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พูดคุยและกล่าวขอโทษด้วย ทั้งที่ยังไม่ได้แก้มัด..

“เทพโอรสสวรรค์! เขาเป็นองค์ชายสิบแคว้นซีจริงหรือเนี่ย!”

ใต้เท้าเฉินโพล่งเสียงดังแล้วก็เป็นลมไปฉับพลัน เสียงสูดหายใจเฮือกตั้งรอบด้าน แม่นมหงกุมหน้าอ้าปากเหวอลืมไปแล้ว นางกลั้นใจไว้จนหน้าเขียวคล้ำ อึ้งอยู่เป็นนานจึงคุกเข่าลงกับพื้น เถ้าแก่หรงฝู่เลาหอเจิ้นเซียงตกใจกลัวจนสติหลุด เหมือนว่าขาดอากาศหายใจ อย่างไรก็โขกศีรษะไม่หยุด

“องค์ชายสิบ! ขอทรงอภัยให้ด้วย! กระหม่อมมีตาหามีแววไม่! องค์ชายสิบ โปรดให้อภัยด้วย!”

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อส่งสายตาให้ทหารคุมตัวทุกคนออกไป เจ้าหน้าที่ข้าราชการน้อยใหญ่ รวมทั้งพ่อค้าคหบดีที่มาร่วมงานเลี้ยง ต่างมีส่วนพัวพันหนีไม่พ้น แต่ละคนตกใจหมอบสั่นกับพื้น หน้าซีดเป็นกระดาษ

“องค์ชายสิบ ขอประทานอภัยที่ต้องไร้มารยาท”

หวังซีเอ่อกล่าวจบ ดาบเหล็กอย่างดีด้ามหนึ่งก็ออกมาจากช่วงเอว เดินตรงไปทางเจ้าสาวที่ขยับตัวไม่ได้

‘องค์รัชทายาท นี่ท่านคิดจะฆ่าข้าปิดปากงั้นหรือ!’

อู๋เสี่ยวหวาเหงื่อผุด เย็นสันหลังวาบ รู้ตัวว่าไม่ควรหนีการเป็นของบรรณาการ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเจอไม้แข็งเช่นนี้ แค่หนีถ่วงเวลาเองนะ..

ขณะที่อู๋เสี่ยวหวาคิดเหลวไหลด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงแสงวิบวับเบื้องหน้า เชือกบนข้อมือข้อเท้าก็ขาด จากนั้นดาบก็ถูกเก็บคืนที่เดิมเรียบร้อย พอได้อิสรภาพคืน อู๋เสี่ยวหวาก็รีบดึงผ้าที่อุดปากออก หลังจากลุกจากเก้าอี้ไท่ซือ เขาก็สะบัดแขน ทุบหัวเข่า บิดเอว ยืดเส้น ยึดสายเหมือนปลดภาระหนัก หวังซีเอ่อกุมมือคารวะอีกครั้ง กล่าวรับผิดเสียงทุ้มต่ำ

“องค์ชายสิบ ท่านลำบากมากแล้ว มาเยือนแคว้นเหยาแต่ได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ”

“โปรดรับคำขอโทษจากพวกข้าด้วย!”

ทหารทั้งหมดคุกเข่าลง ก้มศีรษะพูดคำเดิมซ้ำ ๆ ต่อจากองค์รัชทายาทโดยพร้อมเพรียง

“ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรที่สาหัสมากนี่ องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อและท่านแม่ทัพใหญ่มาช่วยได้พอดีเลย ข้าขอบใจพวกท่านมากกว่า”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวกลั้วหัวเราะ ไม่รู้เหตุใดตนเองจึงไม่อาจมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่เย็นเป็นน้ำแข็งขององค์รัชทายาทด้านข้างได้ตรง ๆ

“ข้าไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ดังนั้นไม่เป็นไร พวกท่านทุกคนลุกขึ้นกันเถิด แคว้นซีเองก็ติดหนี้บุญคุณแคว้นเหยาเช่นกัน”

อู๋เสี่ยวหวากล่าวขอบคุณ น้อมคาราวะองค์รัชทายาทด้านข้าง ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ทหารทุกนายกลับยังคงคุกเข่าไม่ขยับ เห็นชัดว่ารอแม่ทัพใหญ่ออกคําสั่ง

“ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก ต้องให้องค์ชายสิบร้องขอพวกเจ้างั้นหรือ!?” จงถานไถหมิงหันมาตวาดเหล่าพลทหารทั้งหมด

“รับทราบ น้อมรับพระประสงค์องค์ชายสิบพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์ชายสิบ” หวังซีเอ่อกล่าวเสียงเบา

“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”

“พระองค์ทรงเหนื่อยล้าแล้วกระมัง กระหม่อมจะพาองค์ชายสิบไปพักผ่อนที่กองทัพที่ตั้งอยู่นอกเมืองควานเหลียง รีบขึ้นม้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

อู๋เสี่ยวหวาเอื้อมมือไปจับมือของหวังซีเอ่อขึ้นซ้อนหลังม้าอยู่ด้านหลัง

องค์รัชทายาทหวังซีเอ่อพาอู๋เสี่วหวาย้ายไปพักที่กระโจมองกองทัพ ส่วนเด็กรับใช้ที่มากับอู๋เสี่ยวหวาก็ได้รับการปล่อยตัวและได้พามาภายหลัง

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร สบายดีไม่ต้อง..”

เดิมอู๋เสี่ยวหวาอยากพูดคําว่าไม่ต้องกังวล ข้าสบายดีขอตัวก่อน ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในกระโจมที่พัก แต่องค์รัชทายาทก็ก้าวเท้าตามเขามาติด ๆ และโอบเอวดึงเข้าไปในอก คําพูดจึงได้ขาดช่วงไป พอเขาประคองใบหน้าข้างหนึ่งให้หันมาแล้วก้มลงจูบดูดดื่ม อู๋เสี่ยวหวาจึงตัวแข็งทื่อราวถูกสาปเป็นหินไปทั้งตัว! ลิ้นเหิมเกริมจอมอวดดีดันแยกฟันให้เปิดโดยปฏิเสธไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อลิ้นร้อนเริ่มรุกรานกวาดเข้ามาลิ้มรส อู๋เสี่ยวหวาอดโมโหในใจไม่ได้ เขาโกรธมากเลย ใช่อยู่ที่เขาเป็นของบรรณาการแคว้น แต่ข่มเหงกันแบบนี้เลยหรือ?

“องค์รัชทายาท! ท่านจะทำอะไร! อ๊ะ! อึ้ก!”

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพิจารณาว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธ นัยน์ตาของอู๋เสี่ยวหวาเบิกกว้าง หางตาเหลือบมองด้านข้างด้วยความไม่สบายใจ คนพวกนั้นยังอยู่กันนะ! นี่มันน่าอับอายกว่าถูกตำหนิต่อหน้านางกำนัลข้ารับใช้เสียอีก!

ทว่านอกจากท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้นตามกฎระเบียบ ไร้ผู้หาญกล้ามองพระพักตร์องค์รัชทายาท อย่างไรก็ตามอู๋เสี่ยวหวายังจับแขนองค์รัชทายาทหวังซีเอ่ออย่างลนลาน อยากผลักเขาออก

ความเจ็บแปลบตามมาด้วยความรู้สึกเป็นสุขถาโถมราวคลื่นทะเล เหมือนเป็นการลงโทษที่ต่อต้าน หวังซีเอ่อขบกัดริมฝีปากและดูดดุนลิ้นให้เสียวขึ้นสมองพร้อม ๆ กับปลุกเร้าเคล้นคลึงตามเนื้อตัวคนตัวเล็ก อู๋เสี่ยวหวายังคงดิ้นขัดขืนแม้ถูกกักอยู่ในวงแขน แต่จนแล้วจนรอด แค่สูดอากาศเข้าไปใหม่สักเฮือกก็ทำไม่ได้ ความมืดมิดโผล่ขึ้นเบื้องหน้า แค่ยืนยังยืนไม่อยู่ ครั้นอีกฝ่ายถอนริมฝีปากผละห่างในที่สุด กลับค้อมเอวลงอุ้มเขาขึ้นทางขวางแบบฉับพลัน อู๋เสี่ยวหวาแก้มแดงซ่านแม้อยากต่อว่าทุบตี

“สามหาวอาจหาญนัก! วางข้าลงนะองค์รัชทายาทหวังซีเอ่อ!” อู๋เสี่ยวหวาได้แค่เผยอปากอ้า หายใจหอบต่อว่า

“ไปอารักขาด้านนอก”

องค์รัชทายาทสั่งการหนึ่งประโยคแบบง่าย ๆ บรรดาทหารที่คุกเข่านิ่งไม่ไหวติงมาตลอดขยับตัวลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง ควบคุมตัวเหล่าแขกเหรื่อในงานเลี้ยงออกมา ถอยไปอารักขาด้านนอก ส่วนองค์รัชทายาทก็อุ้มองค์ชายสิบของบรรณาการสาวเท้าก้าวใหญ่ เข้าไปด้านในกระโจมที่ตั้งไว้ด้านนอกเมืองควานเหลียง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทส่งท้าย

    พิธีสถาปนาราชวงศ์ใหม่ถูกจัดเตรียมอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าขุนนางทุกฝ่ายแต่งกายจัดเต็มพิธีการ ประชาราษฎร์ทุกคนต่างมายืนล้อมนอกวังหลวงเพื่อชมการแต่งตั้งฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ โดยมีจวิ้นอ๋องเฒ่าไห่หมิงหรา และ พระชายาไป๋ฟานเหนียนเป็นผู้ใหญ่นำพิธีการเวลาฤกษ์มงคลถูกจัดขึ้นในเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์เลยดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษ พิธีดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะเกิดการปฏิวัติขึ้น หวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวานั้นมาถึงแคว้นเหยาชุนแล้ว โดยมีชินอ๋องจูไปรับที่ท่าเรือเมืองควานเหลียง และได้รับกองกำลังสนับสนุนจากใต้เท้าเฉินมาช่วยเสริมทัพพร้อมกับทหารแคว้นซีเป่ยจำนวนหนึ่ง เพื่อหวนคืนสู่บัลลังก์อันชอบธรรมเมื่อกำลังจะถึงเวลาที่จงถานไถหมิงและเจียวหวงกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาก็ต้องหยุดชะงัก เป็นเสียงของขันทีผู้หนึ่ง เป็นเสี่ยวสี่จื่อที่หายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดและจงถานไถหมิงตามหาไม่พบ บัดนี้ได้เห็นเขาล้มลุกคลุกคลานกลิ้งมาหลุน ๆ จนหยุดตรงหน้าราชพิธี“เป็นบ่าวทำไม่ถูก! บ่าวสมควรตาย!” เสี่ยวสี่จื่อคุกเข่ากับพื้น เป็นแส้หนังที่หวดขึ้นเหนือหัวของอู๋เสี่ยวหวาที่กระทำอุกอาจลงแส้เฆี

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 27 ช่วงเวลาที่เขามีความสุขก็เพียงลมพัดดับเทียนไข

    โคมไฟสว่างไสวแขวนห้อยสูง แสงเทียนเหลืองแกมส้มให้แสงสว่างครอบคลุมลานสวนของตำหนักสนมเสียนเฟยประหนึ่งม่านโปร่งสีเหลืองคฤหาสน์แห่งนี้ห่างจากวังหลวงจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล สวนและสิ่งก่อสร้างลอกเลียนรูปแบบซูรวมมียี่สิบห้องพัก หลังคาเชิงชายกิเลนทองสัมฤทธิ์กระดกเชิดสูงเป็นสัญลักษณ์แทนความรุ่งโรจน์รุ่งเรือง เมื่อสายลมยามค่ำโชยแผ่วยังสามารถได้ยินเสียงกระดิ่งลมด้านล่างชายคาดังเสนาะเพราะพริ้งชวนให้สดชื่นรื่นใจจะมีต้นไม้เยอะมากกว่าตำหนักอื่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะต้นกุ้ยเหม่ยขวับ!เสียงคมกระบี่แหวกลมเด็ดขาดว่องไว เกิดประกายแสงทองจุดเล็กพร่างตาประหนึ่งดาราทองจํานวนนับไม่ถ้วนกะพริบวิบวับกลางท้องนภายามราตรี พร้อมกันนั้นร่างผู้ถือกระบี่เหินแฉลบวนเวียนในสวนเบาดุจนกนางแอ่น“เจียวหวง เจ้าอยู่นี่เอง”เสียงเรียกอันคุ้นเคยจู่ ๆ ก็ดังขึ้นมา ทําให้การร่ายกระบี่สะดุดหยุดชั่วขณะ เจียวหวงพลิกตัวลงจากบนหลังคามาอยู่ข้างหน้าคนผู้นั้นอย่างแผ่วเบา“ฝ่าบาท?! ทรงมาได้อย่างไรเพคะ” นี่เป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายมาเยือนตำหนักเหม่ยกุ้ยของนาง เจียวหวงแปลกใจพอสมควรคุกเข่าลงเสียงดังตุบ“สนมเสียนเฟยน้อมรับเสด็จ ขอทรงพระเจร

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 26.2 ท่านต้องปลอดภัย

    ตลอดจนถึงนาทีนี้จงจวิ้นอ๋องเฒ่ายังคิดว่าทำแบบนี้จะบีบบังคับให้หวังเผยจูสิโรราบแก่เขาได้ จะต้องคุกเข่าวิงวอนขอให้อภัย อย่างไรเสียชินอ๋องหวังเผยจูก็ไม่กล้าเหยียบออกจากจวนอ๋องสักก้าวแน่ หากไร้ที่พึ่งพิงอย่างเสด็จพี่ใหญ่ของเขา ผ่านมาหกเดือนแล้วที่ฟางเย่เซียนเข้ามาสวมบทบาทเป็นพระชายาเอกปรนนิบัติดูแลชินอ๋องจูเป็นอย่างดี จนเกิดความรักใคร่กันขึ้นมาจริง ๆ แต่ยังไม่สุกงอมดี หวังเผยจูยังไม่เคยร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง นับแต่พลาดพลั้งครั้งแรกไปเขาก็ไม่แตะต้องตัวนางอีก ให้เกียรติฟางเย่เซียนเป็นอย่างมาก เรียกนางว่าพระชายาหาใช้คำพูดว่านังโสเภณีหรือนางคณิกาหอนางโลมอีกเลยเมื่อตอนยังไม่เกิดเรื่อง ฟางเย่เซียนก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องนี้สุขสบาย แต่นางไม่ใช่คนอยู่นิ่งเฉย ก็คอยหาอะไรทำตามที่พ่อบ้านเหอชิงอบรมสั่งสอนเพิ่มเติม ทุกคนในตำหนักก็ต่างพากันชื่นชอบพระชายาฟางเย่เซียน แล้วพอหลังจากที่ฮ่องเต้หวังซีเอ่อถูกถอดถอนจากราชบัลลังก์ ฝ่ายพระชายาไป๋ฟานเหนียนก็ควบคุมภรรยาหวังชินอ๋องจูอย่างเข้มงวดในฐานะอาสะใภ้ พระชายาฟางเย่เซียนตะลึงงันจากนางขับร้องที่เพียงเหลือบตาคลี่ยิ้มก็บังเกิดเสน่ห์ล้นเหลือคนหนึ่ง กลายเป็นนางอ

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 26.1 ท่านต้องปลอดภัย

    อีกสองวันจะถึงพิธีสถาปนาฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ แสงอาทิตย์ระอุอบอ้าวทำคนแทบจะละลายได้ แต่ในจวนหวังชินอ๋องจู มีทหารยืนกันชนิดเต็มทางเดิน แน่นขนัดไปถึงสวนดอกไม้รอบตำหนัก ระยะสองก้าวต่อหนึ่งคน พวกเขากําลังเฝ้าจวนหวังชินอ๋องจูไว้ตามคำสั่งจวิ้นอ๋องเฒ่าจงไห่หมิงหรา บนใบหน้าทหารทุกนายต่างมีเหงื่อกาฬผุดพราย มือทั้งคู่เหยียดยื่นส่งต่อของมีค่า สิ่งเหล่านี้เป็นของที่นําออกมาจากคลังสมบัติของตำหนักชินอ๋องจู มีเครื่องเคลือบงานฝีมือชั้นยอด ดาบล้ำค่าประดับมุกตะวันออก กระทั่งไม้แกะสลักหรือหินประหลาดขนาดเกินฝ่ามือล้วนไม่ปล่อยผ่านของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลาภผลซึ่งตำหนักชินอ๋องจูรับจากภายนอกโดยใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของหวังซีเอ่อ นับแต่ก่อนเขาจะมาเป็นชินอ๋อง เป็นเพียงแค่องค์ชายรอง ถึงแม้พระประสงค์องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่คือให้ชินอ๋องจูส่งมอบทรัพย์สินเอง แต่หลังสิ้นอำนาจราชวงศ์หวัง ใต้เท้าที่ไม่ชอบหน้าชินอ๋องได้ทีจึงแสร้งตรวจสอบเปิดโปงโกงกินรับสินบนก็อยู่ในความรับผิดชอบของตนด้วย ทว่ามิได้ล่วงรู้ก็ละเลยหน้าที่เสียแล้ว กระนั้นวัวหายล้อมคอกก็ยังดี ด้วยเหตุนี้จึงนําทหารชั้นดีจํานวนหนึ่งมาอย่าง

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 25.2 ฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด

    “ไม่เป็นไร ข้าไม่กินก็ได้...” จงถานไถหมิงพูดอุบอิบเสียงเบาวางตะเกียบลง“ฝ่าบาท เสวยเพคะ” เฉิงกุ้ยเฟยปล่อยชิ้นนั้น หันไปเลือกชิ้นอื่น ขยับมือคีบส่งถึงปากของฮ่องเต้อย่างว่องไว“ฝ่าบาท เสวยของหม่อมฉันเถิดเพคะ” เจียวหวงไม่ยอมตกอยู่ข้างหลัง ขยับตะเกียบคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นนั้นส่งไปจ่อตรงหน้าจงถานไถหมิงอย่างเร็ว จงถานไถหมิงมองซ้ายมองขวายิ้มบางรับมาทั้งหมด หัวหน้าราชองครักษ์เองก็ยื่นตะเกียบออกไปคีบข้าวแปดสมบัติชิ้นเล็กวางใส่ในจานของตัวเองอย่างเงียบ ๆ“เอาเถอะอย่ามัวแต่ดูแลเรา พวกเจ้าก็กินด้วยสิ”จงถานไถหมิงเอ่ย จากนั้นก็พยายามจัดการของที่อยู่ในจานตัวเอง พอเจียวหวงคีบขนมชิ้นหนึ่งให้จงถานไถหมิง ลี่เฉี่ยวก็เช่นกัน ท้ายสุดเจียวหวงยื่นตะเกียบไปทางลี่เฉี่ยวที่กําลังเอาโต้วเหลียงเกาชิ้นเล็กวางลงในจานของจงถานไถหมิง แล้วหนีบหยุดตะเกียบลี่เฉี่ยวไว้เสียงดังเพียะเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ตะเกียบทองแกะสลักลายเมฆาสองคู่ตะลุมบอนกันเร็วเสียจนตามองแทบไม่ทัน จงถานไถหมิงเองก็ตะลึงมองกับการกระทำของสตรี“คีบให้ฝ่าบาทมากขนาดนั้น เสด็จพี่หญิงไม่กลัวฝ่าบาททรงเสาะท้องเช่นนั้นหรือ” เจียวหวงพูดแล้วเลือกเอาเฉพาะขนมที่ลี่เฉี่

  • อู๋เสี่ยวหวาบรรณาการแค้วนซี   บทที่ 25.1 ฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด

    ใกล้ถึงวันราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่แคว้นเหยาชุนรุ่นที่สิบเอ็ด สองวันหลังการจากไปของฮ่องเต้หวังซีเอ่อที่ละเลยทิ้งหน้าที่บริหารบ้านเมือง จิตใจอกตัญญูสั่งขังไท่ซ่างหวงและฮองไทเฮา หายสาบสูญไปสามเดือนแล้ว จึงมีประกาศจากอัครเสนาบดีทั้งสองฝ่ายให้ถอดถอนฮ่องเต้หวังซีเอ่อออกแล้วผลักดัน ‘ท่านแม่ทัพใหญ่ จงถานไถหมิง ขึ้นครองราชย์ เป็น ฮ่องเต้ราชวงศ์จงรุ่นที่หนึ่ง’ดังนั้นหวังซีเอ่อและอู๋เสี่ยวหวาจึงเร่งเดินทางกลับไปยังแคว้นเหยาชุนให้เร็วที่สุด และหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายลอบสังหารในเมืองอันเว่ยที่อยู่ติดชายแดนใกล้แคว้นหลิ่ง มีแม่น้ำขวางต้องเดินเรือสำเภาข้ามไปยังแคว้นเหยาชุน มาพร้อมรับเด็กทารกที่มารดาเสียชีวิตกลับมาเลี้ยงดู โดยให้อันเต๋อจื่อดูแลไว้ก่อนในแคว้นซีเป่ยแสงตะวันแผดจ้าสาดส่องลอดช่องว่างของแมกไม้ซึ่งส่งเสียงเสียดสีกันไม่หยุดหย่อนตรงลงมายังพื้นดินผืนใหญ่ ผู้ที่นั่งอยู่ในศาลาอู๋เหม่ยของอุทยานตะวันตกทอดตามองด้านนอกดอกไม้ใบหญ้าเฉกเช่นกับผืนทุ่งนากสิกรรม เห็นเพียงสีเขียวเข้มขจี ท้องฟ้าวันนี้สว่างสดใสมาก หลังจากม่านไผ่รอบศาลาถูกปล่อยลงโดยนางกํานัลภายใต้การสั่งการจากหัวหน้าขันที ภายในศาลาโบราณก็พลั

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status