เหวินซูสะกิดปลายเท้าด้วยวิชาตัวเบามาจนถึงบริเวณจวนสกุลเฉิน ร่างสูงเร้นกายกระโดดลงไปยืนอยู่ข้างหน้าต่างเรือนหลีฮวา บานหน้าต่างเปิดแง้มอยู่
เขามองลอดบานหน้าต่างเห็นลี่ชิงกำลังกล่อมบุตรเข้านอน นางสวมอาภรณ์สีขาว คลุมด้วยชุดคลุมลายดอกมู่ตาน ปล่อยผมสยายยาวสลวยลงถึงกลางหลัง ดวงหน้าหวานกำลังยิ้มเมื่อมองทารก สายตามารดารักใคร่หลงใหลทารกทั้งสองอย่างเต็มเปี่ยม
ป้าสมหญิงทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับทารก ทั้งกอดทั้งหอมบุตร สูดดมกลิ่นเด็กปนกลิ่นน้ำนมช่างหอมชื่นใจ
"ลูกแม่น่ารักที่สุด เฉินซีน้อย โตขึ้นอยากเป็นอะไรครับ" นางพูดกับทารกชายที่กำลังหลับคอพับ ลี่ชิงสมหญิงยังหอมลูกและพูดเสียงสองอย่างต่อเนื่อง
นางวางทารกชายลงบนเตียงทารก อุ้มทารกหญิงขึ้นมา พูดเสียงสองอีกเช่นเคย
"เฉินเมี่ยวหลาน คนสวยของแม่ ตาสวยมากลูก ฟันก็สวยมาก" ลี่ชิงมโนว่าลูกสาวต้องมีฟันสวยเหมือนพวกดาราทำฟันแบบวีเนียร์ ลี่ชิงแหวกปากของลูกดูเหงือกสีชมพู ดูว่าฟันลูกขึ้นรึยัง เป็นผู้หญิงต้องฟันเงางามเรียงสวย
คนยังไม่เคยมีลูก ย่อมเห่อลูกหนักเป็นธรรมดา
เหวินซูยืนอมยิ้มมองนางหยอกล้อทารก ลี่ชิงส่งทารกเข้านอนในห้องเล็กด้านข้าง มีเสี่ยวหยุนกับสาวใช้อีกนางหนึ่งเป็นผู้นอนเฝ้าทารก ส่วนนางเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ติดกัน
ร่างบางนั่งที่โต๊ะกลางห้องหยิบกระดาษกับพู่กันออกมาวาดภาพที่ดินมรดกเน่าที่เพิ่งไปดูมา เฉินเซียวหลางพาลี่ชิงนั่งรถม้าไปดูที่ดินมรดก ที่ดินแห้งแล้งไม่มีธาตุอาหารในดิน นางกำลังวางแผนพลิกฟื้นแผ่นดินแห้งแล้งผืนนั้นปลูกพืชผล ก่อนจะปลูกอะไรต้องวิเคราะห์ดินก่อนเสมอ อย่างน้อยมีที่ดินก็ยังสามารถคิดต่อยอดเป็นเงินได้
ลี่ชิงวาดภาพที่ดินลงในกระดาษแบบเก้ ๆ กังๆ ใครบ้างจะเคยใช้พู่กันวาดภาพเขียนหนังสือในยุคปัจจุบัน เขียนด้วยพู่กันนั้นเขียนยากมาก นางถึงกับถอนหายใจออกมา พลันคิดบางสิ่งที่น่าจะทำเงินให้นางได้ สิ่งที่ยุคนี้ยังไม่มีคือ 'ดินสอ' นางอยากผลิตกระดาษกับดินสอขาย
เมื่อมีบุตรถึงสองคน ลี่ชิงอยากหาเงินเลี้ยงดูลูก เลี้ยงดูตนเอง อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เป็นคุณแม่ลูกสอง หากมีเพียงมรดกเน่าผืนเดียว ลูกๆ ต้องลำบากแน่ ลี่ชิงอยากหาเงินไว้ให้ลูกให้มากที่สุด
เหวินซูมองลี่ชิงวาดภาพประหลาดในกระดาษ นางวาดภาพแบ่งที่ดินออกเป็นส่วนเพื่อทำการเกษตร ไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนั้นน่าจะตัดมาทำเรือนพักขนาดเล็กได้ มรดกเน่าที่นางได้รับเป็นสมบัติติดตัวเพียงชิ้นเดียวถือว่ามีค่าต่อลี่ชิงไม่น้อย ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
แม้มีเฉินเซียวหลางให้การช่วยเหลือดูแล แต่ลี่ชิงกับคุณชายเฉินยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ แม้ในจวนสกุลเฉินจะเรียกนางว่าฮูหยินน้อย ลี่ชิงมีฐานะเพียงผู้อาศัยเท่านั้น
ลี่ชิงคิดเพียงอยากยืนด้วยลำแข้งของตนเอง
เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
ลี่ชิงขีดเขียนวาดแบบร่าง วางโครงสร้างการเพาะปลูกในที่ดินเสร็จเรียบร้อย ร่างเล็กเหนื่อยล้าจากการดูแลบุตรทั้งวัน
เมื่อปลายยามเซิน เฉินเซียวหลางพานางไปดูที่ดินแห้งแล้งรกร้างบริเวณชายป่า ที่ดินอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ใช้เวลาเดินทางเพียงสองเค่อเท่านั้น
ลี่ชิงวางอุปกรณ์เครื่องเขียนไว้บนโต๊ะ เดินทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงอย่างหมดแรง
แม่ทัพเหวินซูรอจนนางหลับ เขาปีนเข้ามาทางหน้าต่างมองหญิงสาวกำลังหลับอยู่บนเตียง ร่างแกร่งเดินไปที่ห้องเล็กด้านข้าง เขาจี้จุดหลับสาวใช้ สาวเท้าเดินเข้าใกล้เตียงทารก เด็กทารกกำลังหลับพริ้ม เหวินซูก้มมองเด็กทารกในระยะประชิดจนได้กลิ่นน้ำนมผสมกลิ่นเด็ก เขาเขี่ยนิ้วไปบนแก้มทารกชายตัวอ้วนขาว ทารกเฉินซีพลันลืมตาใสแป๋วขึ้นมากมองหน้าเขา มืออวบป้อมเล็กกระจิริดคว้านิ้วมือแม่ทัพเหวินซู เด็กอ้วนจ้องมองหน้าเขาแล้วยิ้มให้จนเห็นเหงือกสีชมพู
ความรู้สึกของเหวินซูยิ่งปั่นป่วนเมื่อได้สัมผัสทารกน้อย
เขามองเด็กทั้งสองอยู่เนิ่นนาน
ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องลี่ชิงอีกครั้ง เห็นนางกำลังหลับสนิท แม่ทัพเหวินซูนั่งชันเข่าข้างหนึ่งลงหน้าเตียง หยิบผ้าห่มขึ้นคลุมร่างให้นางแผ่วเบา เขามองลี่ชิงกำลังหลับด้วยความอ่อนเพลีย นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบนาง เหวินซูก้มมองลี่ชิง
'ความคิดถึง ความโหยหาปะทุในอกอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก้มลงจรดริมฝีปากบนแก้มขาวนวล'
"พี่คิดถึงเจ้านัก เหตุใดเจ้าไม่รอพี่อย่างที่เคยให้สัญญาไว้" เหวินซูกระซิบเพียงแผ่วเบา
แม่ทัพเหวินซูเพียงอยากมาเห็นหน้าลี่ชิงเท่านั้น
เสียงฝีเท้าดังขึ้นภายนอก ฝีเท้าหนักแน่นของบุรุษเดินตรงมาที่เรือนหลีฮวาด้วยความเร็วเหมือนรีบเร่ง เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ประตูเปิดหน้าห้องนอนของลี่ชิงถูกเปิดเข้ามาเต็มแรงจนนางสะดุ้งตื่น
สาวน้อยลูกสองงัวเงียยกมือขึ้นมาขยี้ตา ลี่ชิงเห็นคุณชายเฉินเซียวหลางยืนอยู่หน้าประตูห้อง
"ท่านพี่ ท่านมากลางดึกมีธุระอันใดกับข้า"
ลี่ชิงจ้องมองเฉินเซียวหลาง เขายืนอยู่หน้าประตูกวาดสายตามองรอบห้อง เฉินเซียวหลางปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มอ่อนจางปรากฎบนใบหน้าชายหนุ่ม
"เปล่าหรอก พี่เพียงได้ยินเสียงลูกร้องเลยเดินมาดู" เขายังมองรอบห้อง รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
"ข้าหลับสนิทเลย ลูกร้องรึเจ้าคะ" ลี่ชิงขยับกายลุกขึ้นจากเตียง
"พี่กล่อมลูกจนหลับไปแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด" เขากล่าวอ้างว่าลูกร้อง เพื่อต้องการเดินเข้ามาในเรือนหลีฮวาในยามวิกาล
"หรือท่านพี่จะนอนเป็นเพื่อนข้าเลยที่นี่" นางยิ้มหวานให้
"ให้พี่นอนร่วมเตียงกับเจ้าได้หรือ" เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าประหลาดใจ
"ได้สิเจ้าคะ ท่านเป็นสามีข้า มานอนด้วยกันเร็วเข้า" ลี่ชิงตบฟูกด้านข้าง เลิกผ้าห่มขึ้น กวักมือเรียกเฉินเซียวหลางมานอนร่วมเตียง
เฉินเซียวหลางเดินขึ้นเตียงของนาง สอดกายลงในผ้าห่มผืนเดียวกัน กอดลี่ชิงไว้ในวงแขน เขาหอมแก้มนวล จุมพิตหน้าผากนางแผ่วเบา ดึงผ้าห่มคลุมร่างตนกับร่างภรรยา
"ตัวท่านหอมจัง" ลี่ชิงหน้าแดงใจเต้นกระหน่ำ
"กลิ่นกายเจ้ายิ่งหอมกว่า" เขาจุมพิตแก้มนางอีกครา มองสตรีในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้ม
"ข้าเขิน" วิญญาณคุณป้าสมหญิงสารภาพตามตรง
"เจ้าจะชินเอง เมื่อเราแต่งงานกันเราต้องนอนร่วมเตียงกันทุกคืน"
"ท่านจะแต่งกับข้าจริงหรือ" ลี่ชิงคิดถึงภาพตนเองในชุดเจ้าสาวสีแดง ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก
"เรามีบุตรด้วยกันถึงสองคน เราต้องแต่งงานกันให้เร็วที่สุด"
"นอนเถิดท่านพี่ พรุ่งนี้ข้าต้องไปดูที่ดินอีกครั้ง"
"อย่าหักโหมมาก เจ้าเป็นเมียพี่ พี่ดูแลได้"
"ข้าอยากหาเงินช่วยท่าน หาเงินไว้ให้ลูก"
"ค่อยช่วยกันคิดทำมาหากิน พักผ่อนก่อน เจ้าต้องดูแลบุตรของเรา ยิ่งเจ้าความจำเสื่อมยิ่งต้องพักให้มาก เจ้าจำอะไรได้บ้างหรือยัง จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อยู่ด้วยกันไปเช่นนี้ถือว่าดียิ่ง" เฉินเซียวหลางเอ่ยกับภรรยา ราวกับว่าอยากให้นางความจำเสื่อมไปตลอดกาล
ลี่ชิงหลับไปในอ้อมกอดเฉินเซียวหลาง เขานอนกอดนาง คุณชายเฉินยังลืมตาในความมืด ร่างสูงขมวดคิ้วมองไปรอบห้องรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
เหวินซูรีบออกมาข้างนอกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเฉินเซียวหลางเดินเข้ามาในเรือนหลีฮวา แม่ทัพเหวินซูยืนหลบอยู่ข้างพุ่มไม้ข้างเรือน ไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดแม่ทัพไร้พ่ายผู้เกรียงไกรต้องทำตัวราวโจรเด็ดบุปผา
เขาได้ยินว่าลี่ชิงความจำเสื่อม เกิดอะไรขึ้นกับนาง ในระหว่างที่เขาจากไปปราบกบฏหัวเมืองเหนือ
แม่ทัพเหวินซูมองเฉินเซียวหลางนอนกอดลี่ชิง ร่างสูงเร้นกายไปข้างหน้าต่างห้องทารก เห็นเด็กทั้งสองกำลังหลับ
เขารู้สึกเหมือนสูญดวงใจ
"เฉินเซียวหลาง เรามีเรื่องต้องคุยกันเสียหน่อยแล้ว"
เหวินซูนึกภาพเฉินเซียวหลางนอนกอดนางหลับไปพร้อมกัน
เรื่องในคืนนั้นเหตุใดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้
แม่ทัพเหวินซูสะกิดปลายเท้ากลับจวนแม่ทัพ รู้สึกอยุติธรรมในใจ
ในหัวคิดเพียงเรื่องเด็กทารกสองคน เรื่องพิษกำหนัด เรื่องนางความจำเสื่อม
ความรู้สึกปั่นป่วนในห้วงความรู้สึกราวกับพายุโหมกระหน่ำ
ราชโองการสมรสพระราชทานประกาศออกไปทั่วเมืองหลวง จวนพระราชทานหลังใหญ่มีแปดห้องนอนพร้อมเรือนย่อยอีกสี่เรือน พระสนมเฟยฉางให้ชื่อจวนนี้ว่าอ้ายหนี่ แรงงานมากมายถูกเกณฑ์มาสร้างจวนอ้ายหนี่ขึ้นอย่างเร่งด่วนให้แล้วเสร็จทันงานสมรสพระราชทาน จวนขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตกแต่งด้วยคิ้วไม้หลี่สีน้ำตาลทอง เป็นจวนที่ถอดประกอบมาจากเมืองอื่นคล้ายกับเป็นการซื้อสำเร็จมาตั้งบนที่ดินที่เตรียมไว้ แล้วทาสีตกแต่งใหม่เพื่อให้ทันวันงาน ด้วยความที่ต้องสร้างจวนนี้ให้แล้วเสร็จภายในสองสัปดาห์ ช่างไม้ทั่วสารทิศรวมถึงช่างไม้หลวงรวมกับช่างไม้ที่ร้านของท่านราชครูแทบไม่ได้หลับได้นอน จวนอ้ายหนี่แล้วเสร็จในเวลาเพียงสิบวัน ใช้งบการสร้างส่วนพระองค์ประทานให้แก่แม่ทัพเหวินซูเป็นรางวัลทำศึก ส่วนเฉินเซียวหลางถูกองค์ฮ่องเต้กึ่งบังคับให้กลับไปรับตำแหน่งเดิมที่เคยสอบได้คือตำแหน่งจอหงวนหรือจ้วงหยวน รับหน้าที่ดูแลกรมการค้า ระดับขุนนางขั้นสาม บัญชีรายชื่อของเขายังอยู่ในระยะเวลาสองปีเพื่อเรียกมารายงานตัว พระสนมเฟยฉางรับเด็กฝาแฝดเป็นบุตรบุญธรรม พระสนมทูลเสนอให้เฉินเซียวหลางกลับไปรับตำแ
ลี่ชิงให้นมบุตรเรียบร้อย เด็กทั้งสองอิ่มจนหลับไป ญาติผู้ใหญ่ฝั่งแม่ทัพเหวินซูเอาเด็กน้อยทั้งสองไปอุ้มเล่น ผลัดกันอุ้มกับฮูหยินใหญ่ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาของแม่ทัพดีใจมาก อุ้มหลานชายไม่ยอมปล่อย ท่านราชครูอี้ชวนเข้ามาแย่งอุ้มพร้อมสวมกำไลข้อเท้าทำจากทองคำลายอินทรีย์ให้เด็กชายน้อย ท่านราชครูมอบกำไลข้อเท้าให้เด็กหญิงน้อยเช่นกัน เมื่อเหล่าคนแก่เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเด็ก ยิ่งหลงใหลกว่าคราวที่ตนมีลูกเสียอีก ลี่ชิงนั่งหน้ามุ่ยเป็นกังวลเรื่องของตนเอง นางกลัวว่าทุกคนจะแย่งเจ้าลูกหมูน้อยไปจากอ้อมอก ลี่ชิงทั้งหวาดกลัวทั้งกังวลกับทุกเรื่องจนร้องไห้ออกมา เหวินซูกับเฉินเซียวหลางได้แต่เข้ามาปลอบนาง ช่วยเช็ดน้ำตาให้ไม่ห่าง ฮ่องเต้เสด็จ! ขันทีกล่าวด้วยเสียงแหลมเสียดแก้วหูดังขึ้นด้านนอก องค์ฮ่องเต้เสด็จมาจากทางตำหนักใหญ่ พระองค์อยากใช้ความคิดเพียงลำพังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่ทัพคนโปรดคู่บัลลังก์หาเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมาให้พระองค์ปวดหัวในรอบสิบปี ไหนจะเรื่องรางวัลทำศึกที่ขอไว้อีก มีอย่างที่ไหน อยากได้สตรีในจวนผู้อื่นเป็นรางวัลทำศึก
ทั้งแม่ทัพเหวินซูและเฉินเซียวหลางรวมถึงทุกคนทำหน้าเหมือนเห็นผี เจ้าลูกหมูก็ร้องโยเยขึ้นมา ลี่ชิงเดินไปอุ้มลูก ฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาช่วยนางโอ๋เด็กน้อยทั้งสองให้เงียบเสียงลง เมื่อเจ้าลูกหมูถูกลี่ชิงอุ้มไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกมารดาอย่างคุ้นเคย ฮูหยินใหญ่อุ้มเด็กหญิงน้อยไว้ในอ้อมแขน เด็กหญิงดันกายออกจากอก ยื่นมือน้อยไปทางมารดา ลี่ชิงจำต้องนั่งลง อุ้มบุตรทั้งสองไว้ในอ้อมกอด “ข้าขออธิบายทีหลัง ที่นักพรตกล่าวเป็นความจริง ข้าไม่ใช่ลี่ชิง” คุณป้าสมหญิงถอนหายใจ กลัวอย่างเดียวว่าจะถูกแย่งลูกหมูไป แล้วคนพวกนี้ก็จับคุณป้าไปทรมานเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ “พิสูจน์เลือดบุตรให้เสร็จสิ้นก่อนเถิด” เหวินซูกล่าวออกมา เขายังมองไปทางร่างบางกอดบุตรไว้ในอ้อมแขน นักพรตเริ่มพิธีกรรมอีกครั้ง นำจอกเลือดทั้งสองจอกมาวางตรงหน้าเหวินซู จอกเลือดอีกสองจอกมาวางตรงหน้าเฉินเซียวหลาง สองบุรุษลุ้นจนแทบขาดอากาศหายใจ เลือดของแม่ทัพเหวินซูรวมกับเลือดของเด็กชาย ส่วนเลือดของเด็กหญิงรวมกับเลือดของเฉินเซียวหลาง “เด็กชายเป็นบุตร
องค์ฮ่องเต้ประทับที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน ด้านข้างมีองค์สนมกุ้ยเฟยประทับเยื้องอยู่ทางด้านซ้าย ตำแหน่งรองลงมาคือราชครูอี้ชวนผู้เป็นท่านตาของแม่ทัพ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาแม่ทัพกับฮูหยินผู้เป็นมารดาแม่ทัพนามว่าอี้ฟางเจิน บุตรสาวราชครูอี้ชวน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ คารวะเสด็จอาหญิง คารวะท่านพ่อท่านแม่” แม่ทัพเหวินซูคารวะองค์ฮ่องเต้ พร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ทุกคน แม่ทัพเหวินซูไม่ได้คาดคิดว่าญาติผู้ใหญ่ฝ่ายตนจะแห่กันมามากมายขนาดนี้ ดูหน้าบิดามารดากับท่านตาของเขานั่นเล่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาแอบเห็นมือท่านตาถือกำไลข้อเท้าเด็กทองคำ นักพรตราชวงศ์แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวขลิบเทา กำลังนำกระดานชนวนออกมาขีดเขียนอักขระ แพทย์หลวงต่างเข้ามายืนด้านข้างเพื่อช่วยการตรวจพิสูจน์ไม่ให้บิดพลิ้วได้ “ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้ทำพิธีที่กรมพิธีการหรือทำที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านักพรตกล่าวกับองค์ฮ่องเต้ “ทำที่นี่ เจิ้นขี้เกียจเดิน” องค์ฮ่องเต้อยากรู้เต็มทน เช่นเดียวกับทุกคนในห้องนี้ หากจะเดินย้อนกลับไปที่กรมพิธีการก็ใช้เวลาอีกไม
รถม้าคันงามตีตราสัญลักษณ์อินทรีย์ ทำจากไม้หลี่เนื้อดีสลักลายอินทรีย์กรุด้วยทองคำแผ่นบาง รถม้าแล่นไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง แม่ทัพเหวินซู เฉินเซียวหลางและลี่ชิงนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกัน เฉินเซียวหลางรินชาให้ศิษย์พี่ เขารินให้ตนเองกับลี่ชิงทีหลัง “ข้าผิดเอง” เฉินเซียวหลางถอนหายใจ “เรื่องนี้คงไม่ถือว่าเจ้าเป็นคนผิด เจ้าเองก็ดูแลลี่ชิงเป็นอย่างดี ทั้งช่วงนางตั้งครรภ์จนเด็กทั้งสองคลอดออกมา” “แล้วหากเด็กทั้งสองเป็นบุตรของท่าน” เฉินเซียวหลางมองหน้าศิษย์พี่เหวินซู “ข้าต้องรับเด็กทั้งสองไปเลี้ยงดูในฐานะบุตรข้า”เหวินซูตอบ เขาลอบมองหน้าลี่ชิง อยากรู้ว่านางคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ “แล้วเจ้าเล่าลี่ชิง จะทำอย่างไรต่อ” เฉินเซียวหลางหันไปถามลี่ชิง เฉินเซียวหลางนึกถึงคราวที่เขาขอนางแต่งงาน เขามองสร้อยข้อมือที่เคยใช้ขอนางแต่งงาน นางยังสวมอยู่บนข้อมือไม่เคยถอด แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราชโองการ เฉินเซียวหลางถึงกับถอนหายใจออกมา “ข้าตกลงแต่งให้คุณชายเฉิน” ลี่ชิงเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ทัพเหวินซู “แล้วข้าเล่า” แม่
ยามเหม่า ณ จวนสกุลเฉิน บ่าวไพร่สาวใช้ในจวนสกุลเฉินคึกคักตั้งแต่ต้นยามเหม่า ฟ้ายังไม่ทันสางดีเสียด้วยซ้ำ ทุกคนวิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น สาวใช้ตระเตรียมอาภรณ์งดงามและเครื่องประดับให้ฮูหยินน้อยอย่างสมฐานะ อาภรณ์ไหมตัวนอกถูกส่งมาจากจวนแม่ทัพเหวินซู พร้อมเครื่องประดับทำจากปะการังแดง ฮูหยินใหญ่เลือกเครื่องประดับผมให้ลี่ชิง ฮูหยินใหญ่หลี่เฟยปักปิ่นทำจากทับทิมบนมวยผมของลี่ชิง “เจ้างามมากลี่ชิง” “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” “วันนี้ผลจะเป็นอย่างไร พวกเราคงต้องยอมรับความจริง” ฮูหยินใหญ่แววตาหม่นเศร้า เมื่อนึกถึงผลตรวจพิสูจน์โลหิตเด็กน้อยทั้งสอง หากเป็นบุตรแม่ทัพเหวินซูจริง สกุลเฉินต้องคืนทั้งแม่ทั้งลูกให้กับเหวินซูตามราชโองการ เฉินเซียวหลางมองลี่ชิงแต่งกายอย่างงดงาม ผิวขาวอมชมพูตัดกับอาภรณ์ไหมสีส้มแดง เครื่องประดับเข้าชุดขับเน้นความงามของผิวพรรณสตรีตรงหน้า เฉินเซียวหลางถึงกับลืมหายใจเมื่อเห็นลี่ชิงเดินออกมาหน้าเรือน หลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาในห้วงอารมณ์ ทั้งกลัวสูญเสียนางกับลูกไป ทั้งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เมื่อนึกถึงความเป็นจริงที