นักวิชาการเกษตรวัยทองผู้ไม่เคยสัมผัสคำว่าผู้ชาย ใช้ชีวิตโสดสตรองจนตายไปในวัยหมดประจำเดือน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นรกกลับเล่นตลกให้มาอยู่ในร่างของสาวน้อยในยุคจีนโบราณ ผู้กำลังคลอดลูก นักวิชาการเกษตรวัยทองวัย 48 ปี เธอร่างหนา ไม่สวย ถึก และบึกบึน จับจอบเสียมมาจนชิน ล้วงก้นผสมเทียมให้วัวก็ทำมาแล้ว ใช้ชีวิตโสดสตรองอย่างเปลี่ยวเหงา ตายอย่างโดดเดี่ยวบนโซฟาตัวโปรดหน้าโทรทัศน์ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นรกกลับเล่นตลกให้มาอยู่ในร่างของสาวน้อยในยุคจีนโบราณผู้กำลังคลอดลูก ไม่ใช่ลูกธรรมดาด้วยสิ นี่มันเด็กแฝด ฉันมีลูกแฝด! นี่มันเวรกรรมอะไรกัน ไม่นะ ไม่! เกิดใหม่ทั้งทีต้องเกิดดี ๆ หน่อย จะมาแหกขาคลอดลูกอยู่แบบนี้ได้ยังไง ช่วยด้วย! เยว่เหล่ารังแกข้า
View Moreเสียงโทรทัศน์เปิดทิ้งไว้อย่างไม่กลัวเปลืองไฟ นางสาวสมหญิง บุญเมตตา นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศษ อายุ 48 ปี นั่งเอาเท้าพาดไปบนสตูลสีเทาพาดเท้าไปบนเก้าอี้ตัวเล็ก
ในมือถือห่อขนมมันฝรั่งแผ่นทอดเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมตัดสั้นเท่าติ่งหู ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง มีสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง ความสูงคือร้อยห้าสิบกว่าไม่ถึงร้อยหกสิบ น้ำหนักเกือบเจ็ดสิบกิโลกรัม เรียกง่าย ๆ ว่าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน รูปร่างหน้าตายังห่างไกลคำว่าความสวยอีกหลายขุม
สมหญิงฮึดออกกำลังกายเป็นช่วง ๆ บ้าไปฟิตเนสเสียเงินจ้างเทรนเนอร์หล่อล่ำเป็นพัก ๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะอาหารการกินยังจมดิ่งอยู่กับไก่ทอดและชาไข่มุกเพื่อนยาก
อาหารอันโอชะเป็นสวรรค์ของสาวโสดสมหญิง สตรีผู้ไม่เคยรู้จักคำว่าแฟน รู้จักแต่คนว่า fan ภาษาอังกฤษที่แปลว่าพัดลม ตลอดอายุผ่านมาเกือบ 50 ปีของสมหญิง
‘นอกจากกินอย่างคุ้มค่าแล้ว ชีวิตก็ไม่ได้เคยได้สัมผัสความคุ้มค่าทางอารมณ์ในด้านอื่นอีกเลย’
ในขณะที่เพื่อนบางคนได้รับปริญญาลูกสาวลูกชาย บางคนกำลังเก็บเงินซื้อรถให้ลูก บางคนเคลียร์หนี้บ้านหนี้รถ บางคนก้าวกระโดดถึงขั้นได้อุ้มหลาน แล้วหันกลับมาดูชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวของคุณป้าสมหญิงสิ...
ชีวิตของสมหญิงยังเหมือนเดิม คือไปทำงาน กลับบ้าน กลับมาดูโทรทัศน์ วันเสาร์อาทิตย์ก็เลี้ยงหมาชื่อไอ้แชมพู มีแมวแก่เพศเมียชื่อนางสีเทาอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา
สมหญิงปลูกผักกินเอง เพื่อให้สมศักดิ์ศรีของนักวิชาการเกษตรระดับชำนาญการพิเศษ เธอเชี่ยวชาญทุกศาสตร์การปลูกผักดูแลพืชผล
สาวโสดวัยดึก สตรีวัยหมดประจำเดือนคนนี้มีชีวิตเรียบง่ายเรียกว่าไร้สีสัน ไร้ความตื่นเต้นเหมือนกราฟคงที่เป็นเส้นตรงหรือเรียกว่า ‘ชีวิตน่าเบื่ออย่างที่สุด’
เธอมีบ้านชั้นเดียวก่อสร้างอย่างเรียบง่ายราคาไม่ถึงหนึ่งล้านบาท กับรถยนต์มือสองราคาสามแสนกว่า เงินในบัญชีมีหลายแสนเฉียดหลักล้าน อีกไม่นานก็เกษียณแล้ว หากรวมเงินในบัญชีกับเงินเกษียณอายุคงพออยู่ได้อย่างสบาย
สมหญิงหยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่อง รายการโทรทัศน์น่าเบื่อมากถึงมากที่สุดมีแต่รายการซ้ำ รายการเดิมหรือไม่ก็ข่าวการเมืองไร้สาระกับการนำเสนอข่าวบุคคลที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เธอเดินพาร่างอวบท้วม ต้นขาใหญ่หนา เดินตรงไปหน้าเครื่องเล่นดีวีดี เธอมีดีวีดีสะสมไว้มากมายทั้งที่ตอนนี้มันล้าสมัยแล้ว ทุกคนดูจากสื่อออนไลน์หรือดาวน์โหลดกันทั้งนั้น แต่วัยอย่างนางสาวสมหญิง บุญเมตตา ถนัดเปิดแผ่นใส่เครื่องเล่นดีวีดีมากกว่า
ใครบ้างล่ะคะจะเข้าใจความเหงานี้
เธอพาร่างกลับมานอนที่โซฟานุ่มตัวเดี่ยว พาดขาไปบนเก้าอี้วางเท้าตัวเดิม มือหยิบรีโมทเปิดเครื่องเล่นดีวีดีเล่นขึ้นบนจอสมาร์ททีวี 42 นิ้ว
เธอกำลังดูภาพยนต์จีนซีรี่ส์เกี่ยวกับการย้อนเวลาของนางเอกไปสู่ในยุคจีนโบราณ ซีรี่ส์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ย้อนกลับไปในอดีตผ่านช่องมิติ ตอนจบนางเอกสามารถกลับมาในโลกปัจจุบันได้แต่ไม่กลับ นางเอกเลือกอยู่กับพระเอกในยุคจีนโบราณ เป็นเรื่องราวที่ซึ้งกินใจทั้งตลก ซึ้งมาก ดราม่านิดหน่อยพอได้หัวเราะเคล้าน้ำตา สมหญิงชอบซีรีส์จีนเรื่องนี้ที่สุด มันคือเรื่องโปรดของเธอ
มืออวบป้อมคล้ำแดดหยิบมันฝรั่งในถุงกินอย่างเอร็ดอร่อย ตามองจ้องบนจอโทรทัศน์ ด้านนอกมีสุนัขคู่ชีพกับแมวคู่ใจกำลังวิ่งหยอกล้อกัน
แสงแดดยามเย็นวันเสาร์ทอแสงอ่อนเป็นประกาย สมหญิงเพลิดเพลินอยู่กับการดูโทรทัศน์ ปากเคี้ยวมันฝรั่งทอดหยับ ๆ สลับกับขนมเปี๊ยะไส้ถั่วไข่เค็มของโปรด เรียกว่านอนกินนอนดูโทรทัศน์อย่างเปรมปรีดา
ถึงตอนนางเอกหยอกล้อพระเอกในจอโทรทัศน์ นางเอกกำลังปีนขึ้นบนต้นไม้ ในมือนางเอกถือกรงนกอยู่ในมือ เมื่อพระเอกเดินผ่าน นางเอกปล่อยให้นกขี้ใส่เสื้อพระเอก เป็นการแก้แค้นที่ถูกพระเอกขโมยจูบ
สมหญิงหัวเราะขึ้นอย่างดัง แม้จะดูซีรีส์จีนเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้ว เมื่อถึงฉากนี้ทีไรสมหญิงก็หัวเราะราวกับคนไข้โรงพยาบาลศรีธัญยา เธอหัวเราะจนหยุดไม่อยู่ หัวเราะจนพุงพลุ้ยๆ กระเพื่อมขึ้นลง เศษขนมในปากกำลังปลิวว่อนชนกันเหมือนเศษใบไม้ปลิวในทุ่งนายามฤดูแล้ง
อึก! อ่อก! แค่ก ๆ ๆ ๆ ๆ
สมหญิงตะกายมือคว้าอากาศ เศษขนมเปี๊ยะไส้ถั่วไข่เค็มรวมกับขนมมันฝรั่งทอดกำลังติดคอเธอ เศษขนมเข้าไปในหลอดลมจนหายใจไม่ออก
“ชะ ช่วย ช่วย ด้วยยยยย” เสียงแผ่วเบาร้องขอความช่วยเหลือพยายามเปล่งออกจากลำคอของสมหญิง มือพยายามตะเกียกตะกายคว้าสมาร์ทโฟนบนโต๊ะด้านข้าง
ตุบ! เสียงร่างท้วมของสมหญิงตกจากโซฟานุ่มตัวโปรด
เสี้ยวสติของเธอหลุดไปพร้อมกับเศษขนมในปากกระเด็นกระดอนออกมา
เธอไม่หายใจแล้ว ชีวิตสาวโสดผู้เปลี่ยวเหงา ท้ายที่สุดต้องตายอย่างเปลี่ยวเหงาเช่นเดิม คำอธิษฐานสุดท้ายของสมหญิงก่อนตาย การอยู่อย่างโดดเดี่ยวและตายไปอย่างเปลี่ยวเหงามันอาจดีสำหรับผู้หญิงบางคน
แต่หญิงวัยหมดประจำเดือนเช่นเธออธิษฐานเอ่ยขอต่อเยว่เหล่า
เธอมองรูปปั้นผู้เฒ่าจันทราบนชั้นวางของ หากชาติหน้ามีจริง
‘เธอขอเพียงชีวิตครอบครัวแสนสุขด้วยเถิด’
แสงสว่างจ้าปลายอุโมงค์สีขาว
สมหญิงเดินเข้าไปจนสุดปลายอุโมงค์ แสงจ้าจนตาพร่ามองไม่เห็นอะไร เธอยกมือขึ้นมาบังแสง หูได้ยินทั้งเสียงเด็กทั้งเสียงคนมีอายุ เสียงคนเดินไปเดินมา เธอได้กลิ่นคาวเลือด ได้ยินเสียงคนวุ่นวายในห้อง ที่นี่อาจเป็นโรงพยาบาล อาจมีคนมาพบเธอแล้วนำส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา
“ชิงเอ๋อร์ เบ่งอีก ออกแรงเบ่งอีกสักครั้งเถิด ในท้องเจ้ายังมีเด็กอยู่อีกคนหนึ่ง” เสียงสตรีวัยกลางคนร้องบอก พลางรีดมือไปบนหน้าท้องขาวจั๊วะ
“นะ นี่มันอะไรกัน ที่นี่ที่ไหนคะ” สมหญิงทำหน้าเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวาเห็นเป็นเรือนขนาดกลาง เครื่องเรือนยังล้าสมัยเหมือนสารคดีเกี่ยวกับบ้านแถบชนบทของประเทศจีน
“เบ่งอีก เจ้าได้ลูกแฝด”
“โอ๊ย....ปวดท้องมาก โอ๊ย อ๊ากกกก ปวด ปวดที่สุด” สมหญิงรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเบ่งเจ้าก้อนแป้งยักษ์ออกมาจากในท้อง
แง๊ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เสียงเด็กแฝดร้องไห้จ้าแข่งกัน คนหนึ่งเพศชาย คนหนึ่งเพศหญิง ทั้งสองกำลังร้องไห้ทำปากจุ๊บจั๊บเหมือนหิวนม
“เก่งมากชิงเอ๋อร์ เก่งมาก พักผ่อนเสียก่อนเถิด” เสียงสตรีวัยกลางคนกระซิบบอก
อีกครั้งที่สติของนางสาวสมหญิง บุญเมตตาดับวูบไป
หากนี่ไม่ใช่ฝัน
เธออยู่ในยุคจีนโบราณ เธอคลอดบุตรฝาแฝดออกมา
เธอได้แต่ร้องประท้วงอยู่ในใจ เหตุใดเยว่เหล่าจึงไม่ให้เธอเกิดใหม่ดี ๆ หน่อย เกิดมาชาตินี้ก็มาอยู่ในร่างเด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงยี่สิบ ยิ่งไปกว่านั้นคือกำลังอ้าขาคลอดลูก
‘เยว่เหล่ารังแกข้า’
ราชโองการสมรสพระราชทานประกาศออกไปทั่วเมืองหลวง จวนพระราชทานหลังใหญ่มีแปดห้องนอนพร้อมเรือนย่อยอีกสี่เรือน พระสนมเฟยฉางให้ชื่อจวนนี้ว่าอ้ายหนี่ แรงงานมากมายถูกเกณฑ์มาสร้างจวนอ้ายหนี่ขึ้นอย่างเร่งด่วนให้แล้วเสร็จทันงานสมรสพระราชทาน จวนขนาดใหญ่สีขาวสะอาดตกแต่งด้วยคิ้วไม้หลี่สีน้ำตาลทอง เป็นจวนที่ถอดประกอบมาจากเมืองอื่นคล้ายกับเป็นการซื้อสำเร็จมาตั้งบนที่ดินที่เตรียมไว้ แล้วทาสีตกแต่งใหม่เพื่อให้ทันวันงาน ด้วยความที่ต้องสร้างจวนนี้ให้แล้วเสร็จภายในสองสัปดาห์ ช่างไม้ทั่วสารทิศรวมถึงช่างไม้หลวงรวมกับช่างไม้ที่ร้านของท่านราชครูแทบไม่ได้หลับได้นอน จวนอ้ายหนี่แล้วเสร็จในเวลาเพียงสิบวัน ใช้งบการสร้างส่วนพระองค์ประทานให้แก่แม่ทัพเหวินซูเป็นรางวัลทำศึก ส่วนเฉินเซียวหลางถูกองค์ฮ่องเต้กึ่งบังคับให้กลับไปรับตำแหน่งเดิมที่เคยสอบได้คือตำแหน่งจอหงวนหรือจ้วงหยวน รับหน้าที่ดูแลกรมการค้า ระดับขุนนางขั้นสาม บัญชีรายชื่อของเขายังอยู่ในระยะเวลาสองปีเพื่อเรียกมารายงานตัว พระสนมเฟยฉางรับเด็กฝาแฝดเป็นบุตรบุญธรรม พระสนมทูลเสนอให้เฉินเซียวหลางกลับไปรับตำแ
ลี่ชิงให้นมบุตรเรียบร้อย เด็กทั้งสองอิ่มจนหลับไป ญาติผู้ใหญ่ฝั่งแม่ทัพเหวินซูเอาเด็กน้อยทั้งสองไปอุ้มเล่น ผลัดกันอุ้มกับฮูหยินใหญ่ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาของแม่ทัพดีใจมาก อุ้มหลานชายไม่ยอมปล่อย ท่านราชครูอี้ชวนเข้ามาแย่งอุ้มพร้อมสวมกำไลข้อเท้าทำจากทองคำลายอินทรีย์ให้เด็กชายน้อย ท่านราชครูมอบกำไลข้อเท้าให้เด็กหญิงน้อยเช่นกัน เมื่อเหล่าคนแก่เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเด็ก ยิ่งหลงใหลกว่าคราวที่ตนมีลูกเสียอีก ลี่ชิงนั่งหน้ามุ่ยเป็นกังวลเรื่องของตนเอง นางกลัวว่าทุกคนจะแย่งเจ้าลูกหมูน้อยไปจากอ้อมอก ลี่ชิงทั้งหวาดกลัวทั้งกังวลกับทุกเรื่องจนร้องไห้ออกมา เหวินซูกับเฉินเซียวหลางได้แต่เข้ามาปลอบนาง ช่วยเช็ดน้ำตาให้ไม่ห่าง ฮ่องเต้เสด็จ! ขันทีกล่าวด้วยเสียงแหลมเสียดแก้วหูดังขึ้นด้านนอก องค์ฮ่องเต้เสด็จมาจากทางตำหนักใหญ่ พระองค์อยากใช้ความคิดเพียงลำพังเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่ทัพคนโปรดคู่บัลลังก์หาเรื่องยุ่งยากซับซ้อนมาให้พระองค์ปวดหัวในรอบสิบปี ไหนจะเรื่องรางวัลทำศึกที่ขอไว้อีก มีอย่างที่ไหน อยากได้สตรีในจวนผู้อื่นเป็นรางวัลทำศึก
ทั้งแม่ทัพเหวินซูและเฉินเซียวหลางรวมถึงทุกคนทำหน้าเหมือนเห็นผี เจ้าลูกหมูก็ร้องโยเยขึ้นมา ลี่ชิงเดินไปอุ้มลูก ฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาช่วยนางโอ๋เด็กน้อยทั้งสองให้เงียบเสียงลง เมื่อเจ้าลูกหมูถูกลี่ชิงอุ้มไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยซุกหน้าเข้าหาอ้อมอกมารดาอย่างคุ้นเคย ฮูหยินใหญ่อุ้มเด็กหญิงน้อยไว้ในอ้อมแขน เด็กหญิงดันกายออกจากอก ยื่นมือน้อยไปทางมารดา ลี่ชิงจำต้องนั่งลง อุ้มบุตรทั้งสองไว้ในอ้อมกอด “ข้าขออธิบายทีหลัง ที่นักพรตกล่าวเป็นความจริง ข้าไม่ใช่ลี่ชิง” คุณป้าสมหญิงถอนหายใจ กลัวอย่างเดียวว่าจะถูกแย่งลูกหมูไป แล้วคนพวกนี้ก็จับคุณป้าไปทรมานเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ “พิสูจน์เลือดบุตรให้เสร็จสิ้นก่อนเถิด” เหวินซูกล่าวออกมา เขายังมองไปทางร่างบางกอดบุตรไว้ในอ้อมแขน นักพรตเริ่มพิธีกรรมอีกครั้ง นำจอกเลือดทั้งสองจอกมาวางตรงหน้าเหวินซู จอกเลือดอีกสองจอกมาวางตรงหน้าเฉินเซียวหลาง สองบุรุษลุ้นจนแทบขาดอากาศหายใจ เลือดของแม่ทัพเหวินซูรวมกับเลือดของเด็กชาย ส่วนเลือดของเด็กหญิงรวมกับเลือดของเฉินเซียวหลาง “เด็กชายเป็นบุตร
องค์ฮ่องเต้ประทับที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน ด้านข้างมีองค์สนมกุ้ยเฟยประทับเยื้องอยู่ทางด้านซ้าย ตำแหน่งรองลงมาคือราชครูอี้ชวนผู้เป็นท่านตาของแม่ทัพ เสนาบดีเหวินหลางเยี่ยบิดาแม่ทัพกับฮูหยินผู้เป็นมารดาแม่ทัพนามว่าอี้ฟางเจิน บุตรสาวราชครูอี้ชวน “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ คารวะเสด็จอาหญิง คารวะท่านพ่อท่านแม่” แม่ทัพเหวินซูคารวะองค์ฮ่องเต้ พร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ทุกคน แม่ทัพเหวินซูไม่ได้คาดคิดว่าญาติผู้ใหญ่ฝ่ายตนจะแห่กันมามากมายขนาดนี้ ดูหน้าบิดามารดากับท่านตาของเขานั่นเล่า เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาแอบเห็นมือท่านตาถือกำไลข้อเท้าเด็กทองคำ นักพรตราชวงศ์แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวขลิบเทา กำลังนำกระดานชนวนออกมาขีดเขียนอักขระ แพทย์หลวงต่างเข้ามายืนด้านข้างเพื่อช่วยการตรวจพิสูจน์ไม่ให้บิดพลิ้วได้ “ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้ทำพิธีที่กรมพิธีการหรือทำที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้านักพรตกล่าวกับองค์ฮ่องเต้ “ทำที่นี่ เจิ้นขี้เกียจเดิน” องค์ฮ่องเต้อยากรู้เต็มทน เช่นเดียวกับทุกคนในห้องนี้ หากจะเดินย้อนกลับไปที่กรมพิธีการก็ใช้เวลาอีกไม
รถม้าคันงามตีตราสัญลักษณ์อินทรีย์ ทำจากไม้หลี่เนื้อดีสลักลายอินทรีย์กรุด้วยทองคำแผ่นบาง รถม้าแล่นไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง แม่ทัพเหวินซู เฉินเซียวหลางและลี่ชิงนั่งอยู่ภายในรถม้าคันเดียวกัน เฉินเซียวหลางรินชาให้ศิษย์พี่ เขารินให้ตนเองกับลี่ชิงทีหลัง “ข้าผิดเอง” เฉินเซียวหลางถอนหายใจ “เรื่องนี้คงไม่ถือว่าเจ้าเป็นคนผิด เจ้าเองก็ดูแลลี่ชิงเป็นอย่างดี ทั้งช่วงนางตั้งครรภ์จนเด็กทั้งสองคลอดออกมา” “แล้วหากเด็กทั้งสองเป็นบุตรของท่าน” เฉินเซียวหลางมองหน้าศิษย์พี่เหวินซู “ข้าต้องรับเด็กทั้งสองไปเลี้ยงดูในฐานะบุตรข้า”เหวินซูตอบ เขาลอบมองหน้าลี่ชิง อยากรู้ว่านางคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ “แล้วเจ้าเล่าลี่ชิง จะทำอย่างไรต่อ” เฉินเซียวหลางหันไปถามลี่ชิง เฉินเซียวหลางนึกถึงคราวที่เขาขอนางแต่งงาน เขามองสร้อยข้อมือที่เคยใช้ขอนางแต่งงาน นางยังสวมอยู่บนข้อมือไม่เคยถอด แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราชโองการ เฉินเซียวหลางถึงกับถอนหายใจออกมา “ข้าตกลงแต่งให้คุณชายเฉิน” ลี่ชิงเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ทัพเหวินซู “แล้วข้าเล่า” แม่
ยามเหม่า ณ จวนสกุลเฉิน บ่าวไพร่สาวใช้ในจวนสกุลเฉินคึกคักตั้งแต่ต้นยามเหม่า ฟ้ายังไม่ทันสางดีเสียด้วยซ้ำ ทุกคนวิ่งวุ่นกันจ้าละหวั่น สาวใช้ตระเตรียมอาภรณ์งดงามและเครื่องประดับให้ฮูหยินน้อยอย่างสมฐานะ อาภรณ์ไหมตัวนอกถูกส่งมาจากจวนแม่ทัพเหวินซู พร้อมเครื่องประดับทำจากปะการังแดง ฮูหยินใหญ่เลือกเครื่องประดับผมให้ลี่ชิง ฮูหยินใหญ่หลี่เฟยปักปิ่นทำจากทับทิมบนมวยผมของลี่ชิง “เจ้างามมากลี่ชิง” “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” “วันนี้ผลจะเป็นอย่างไร พวกเราคงต้องยอมรับความจริง” ฮูหยินใหญ่แววตาหม่นเศร้า เมื่อนึกถึงผลตรวจพิสูจน์โลหิตเด็กน้อยทั้งสอง หากเป็นบุตรแม่ทัพเหวินซูจริง สกุลเฉินต้องคืนทั้งแม่ทั้งลูกให้กับเหวินซูตามราชโองการ เฉินเซียวหลางมองลี่ชิงแต่งกายอย่างงดงาม ผิวขาวอมชมพูตัดกับอาภรณ์ไหมสีส้มแดง เครื่องประดับเข้าชุดขับเน้นความงามของผิวพรรณสตรีตรงหน้า เฉินเซียวหลางถึงกับลืมหายใจเมื่อเห็นลี่ชิงเดินออกมาหน้าเรือน หลากหลายความรู้สึกถาโถมเข้ามาในห้วงอารมณ์ ทั้งกลัวสูญเสียนางกับลูกไป ทั้งรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เมื่อนึกถึงความเป็นจริงที
ลี่ชิงมองทองก้อนมูลค่าสูงกับโฉนดที่ดินย่านการค้าที่เหวินซูมอบให้ กำลังคิดว่าจะทำมาหากินอะไรต่อดี มีผู้ชายดูแลก็ดีอยู่หรอก แต่การยืนด้วยขาของตนเองมันคงจะดีกว่า ลี่ชิงขี่ม้าออกไปที่ร้านค้า สอบถามคนแถวนั้นว่าโฉนดที่ดินอยู่ตรงไหน ลี่ชิงขี่ม้าตัวเล็กสีขาวชื่อจูจูออกไปพร้อมกับบ่าวชายอีกสองคน วันนี้ลี่ชิงไม่ได้เอาลูกหมูมาด้วย ฝากให้ฮูหยินใหญ่ดูแลอยู่ที่จวน พิกัดร้านค้าตามโฉนดอยู่บริเวณใจกลางแหล่งการค้า ไม่ไกลจากร้านช่างหลวงของแม่ทัพเหวินซู ลี่ชิงควบม้าสีขาวตัวเล็กออกไปที่ร้านเหวินซู เห็นเขากำลังง่วนอยู่ในร้านพอดี ร้านไม้ช่างหลวงเทียนหลง ร้านนี้เป็นร้านของสายตระกูลฝั่งมารดา ผู้ก่อตั้งคือราชครูอี้ชวนผู้เป็นท่านตาของแม่ทัพ ลี่ชิงผูกม้าไว้หน้าร้าน ก่อนเดินเข้าไปในร้านช่างไม้ขนาดใหญ่ ฝีมือการสร้างโต๊ะ ตู้ เตียง เครื่องเรือนทุกชนิดล้วนแต่เป็นฝีมือช่างฝีมือระดับช่างหลวงหรือใกล้เคียง เรียกได้ว่าเป็นหัตกรรมงานไม้ชั้นสูง รับทำตามแบบเฉพาะของพวกคนมีเงินหรือพวกเชื้อพระวงศ์ เมื่อเหวินซูว่างเว้นจากการศึก เขามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว มี
เสด็จอาหญิงเรียกแม่ทัพเหวินซูมาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ พระองค์ประทับอยู่กับเสด็จอาหญิงที่ตำหนักซูเหวียน “ถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเหวินซูคารวะองค์ฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี เจิ้นเพียงอยากมอบทองคำ แพรพรรณ สินทรัพย์โฉนดที่ดินเล็กน้อยให้เป็นรางวัลทำศึก” “ท่านมอบให้หลานชายข้าอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ยังต้องให้สิ่งใดอีก” พระสนมเฟยฉางคลอเคลียใบหน้างามไปบนไหล่องค์ฮ่องเต้ ท่วงท่าออดอ้อนราวกับแมวน้อย “เพียงทรัพย์สินเล็กน้อย กับโฉนดร้านค้าในย่านค้าขาย ลี่ชิงว่าที่ฮูหยินเจ้าชอบค้าขายไม่ใช่รึ ขนมประหลาดที่เรียกว่าขนมเค้กนั่นก็รสเลิศยิ่งนัก สมควรขยายร้านค้าให้นางเสียหน่อย” องค์ฮ่องเต้กล่าวอย่างอารมณ์ดี พระองค์ทรงแต่งกายชุดลำลองสีดำปักดิ้นทองคำลายมังกร มือหนาเรียวยื่นของพระราชทานให้กับแม่ทัพเหวินซู “ขอบพระทัยฝ่าบาท” “สัปดาห์หน้าจะมีการพิสูจน์เลือดบุตรของเหวินซู ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หากเด็กทั้งสองเป็นบุตรเหวินซู ย่อมหมายถึงข่าวดีต่อตระกูลหม่อมฉันด้วย” พระสนมเฟยฉางลุกขึ้นคารวะองค์ฮ่องเต้
แม่ทัพเหวินซูก้าวเดินอย่างองอาจเข้ามาในจวนเจ้ากรมพิธีการ ดวงตาคมกล้ามีกลิ่นอายฆ่าล้างอย่างเทพสงคราม ร่างสูงกำยำแต่งกายเต็มศักดิ์แม่ทัพอย่างน่าเกรงขาม ไม่ใช่เพียงตำแหน่งของเขา แต่รัศมีบางอย่างแผ่ออกจากกายของเหวินซู ทำให้ผู้ไม่คุ้นชินต้องหลบตาอย่างลนลาน “คารวะท่านแม่ทัพ มีธุระอันใดกับกรมพิธีการรึขอรับ” ทหารยามหน้าจวนเจ้ากรมพิธีการคารวะแม่ทัพเหวินซูตามศักดิ์ “ข้าจะมาพูดคุยกับท่านเจ้ากรมพิธีการเรื่องราชโองการที่องค์ฮ่องเต้ประทานให้ข้า” “รอสักครู่ ข้าจะเข้าไปแจ้งเจ้ากรมก่อนนะขอรับ” ทหารยามเข้าไปแจ้งเรื่องที่แม่ทัพเหวินซูมาพบเจ้ากรมพิธีการ “เชิญท่านแม่ทัพด้านในขอรับ” เหวินซูเข้ามาในห้องโถงกลางในจวนขนาดใหญ่ ท่านเจ้ากรมได้รับแจ้งเรียบร้อยเกี่ยวกับเรื่องการพิสูจน์เลือดบุตรของแม่ทัพเหวินซู “ท่านแม่ทัพมาหาข้ามีธุระอันใด” เจ้ากรมพิธีการเดินออกมาต้อนรับในชุดลำลอง “ข้าเพียงอยากให้ท่านเร่งเวลาตรวจพิสูจน์เลือดบุตร ให้เร็วขึ้นอีกสักนิดได้หรือไม่” “ข้าพอจะช่วยให้เร็วขึ้นได้ที่สุดคงเป็นสัปดาห์หน้า”
Comments