วันหนึ่ง ราชโองการจากฮองเฮาถูกนำมาส่งถึงจวนของชินอ๋อง มู่หรงเยว่ ราวกับสายฟ้าฟาด ฮองเฮาผู้มีศักดิ์เป็นน้าแท้ ๆ ของไป๋หลันมีพระประสงค์จะให้หลานสาวเข้าเฝ้าในวังหลวงด้วยความคิดถึง
เฟยหยาง อนุภรรยาคนโปรดของมู่หรงเยว่ กลับร้อนใจอย่างที่สุด นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าไป๋หลันมีสายสัมพันธ์อันสูงส่งเช่นนี้ ความจริงที่ว่าไป๋หลันไม่เคยโอ้อวดหรือใช้สถานะความเป็นหลานฮองเฮามาข่มขู่นาง ยิ่งทำให้เฟยหยางหวาดกลัว
เดิมทีเฟยหยางวางแผนจะวางยาพิษไป๋หลันให้ตายก่อนที่ชินอ๋องจะกลับมาจากชายแดน แต่เมื่อรู้ว่าไป๋หลันเป็นหลานสาวของฮองเฮา แผนการของนางก็เปลี่ยนไป นางตระหนักว่าหากไป๋หลันตายลง นางเองก็จะไม่รอดพ้นจากการถูกฮองเฮาลงโทษอย่างแน่นอน
"ถ้าฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่ข้าทำกับไป๋หลันล่ะก็..." เฟยหยางพึมพำกับตัวเอง ใบหน้างามซีดเผือดด้วยความหวาดหวั่น ภาพของไป๋หลันที่ถูกนางทารุณกรรมปรากฏขึ้นในมโนสำนึกราวกับภาพหลอน
เฟยหยางรีบเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทมาหารือ
"เจ้าไปบอกคนของฮองเฮาว่า พระชายาเอกไป๋หลันไม่อยู่ ไปต่างเมืองกับท่านอ๋อง ถ้ากลับมาแล้วข้าจะรีบบอกกล่าว"
บ่าวรับใช้มองเฟยหยางด้วยความประหลาดใจ
"แต่... ท่านอ๋องก็ออกไปราชการที่ชายแดนนะเจ้าคะ"
เฟยหยางกัดริมฝีปากแน่น
"ข้ารู้! แต่เจ้าก็พูดไปตามที่ข้าสั่ง เจ้าจะขัดคำสั่งข้าหรือ?"
บ่าวรับใช้ก้มหน้า
"เจ้าค่ะ" แล้วรีบไปทำตามคำสั่ง
เฟยหยางถอนหายใจอย่างโล่งอกชั่วคราว อย่างน้อยนางก็ซื้อเวลาได้บ้าง แต่นางรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ในขณะเดียวกัน ที่ห้องนอนของไป๋หลัน เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันกำลังพักฟื้นจากบาดแผล นางได้ยินเรื่องรับสั่งจากฮองเฮา ท่านน้าของนางจากอาหลิง บ่าวรับใช้ที่ภักดีต่อนาง แม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่นางก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมไป๋หลันซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีกรมตรวจการถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้
"ไป๋หลันคงไม่อยากใช้อำนาจของฮองเฮามาข่มขู่ใคร" เหม่ยหลิงคิดในใจ "นางคงอยากให้ท่านอ๋องภักดีต่อนางด้วยใจจริง ไม่ใช่เพราะสถานะทางครอบครัวของนาง"
ความคิดนี้ทำให้เหม่ยหลิงรู้สึกสงสารไป๋หลันจับใจ ไป๋หลันเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและมีจิตใจดี แต่กลับต้องทนทุกข์ทรมานเพราะชีวิตคู่ที่ไม่สมหวัง
"ข้าจะไม่ยอมให้ความหวังของเจ้าต้องสูญเปล่า" เหม่ยหลิงบอกกับตัวเอง "ข้าจะทำให้เจ้าได้รับความยุติธรรม และจะทำให้คนที่ทำร้ายเจ้าต้องชดใช้"
เหม่ยหลิงในร่างของไป๋หลันเริ่มวางแผนอย่างรอบคอบ นางตระหนักดีว่าการเปิดเผยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับฮองเฮาอาจเป็นดาบสองคม แม้จะทำให้เฟยหยางและพวกพ้องหวาดกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้นางตกเป็นเป้าหมายได้เช่นกัน
รุ่งเช้า เหม่ยหลิงเรียกอาหลิง บ่าวรับใช้ที่นางไว้ใจที่สุดมาพบ นางสั่งให้อาหลิงไปส่งข่าวถึงฮองเฮาว่าพระชายากำลังป่วยหนัก ไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ในตอนนี้ แต่จะรีบไปทันทีที่อาการดีขึ้น
อาหลิงทำตามคำสั่งโดยไม่รีรอ ข่าวนี้สร้างความผิดหวังให้ฮองเฮาไม่น้อย แต่พระองค์ก็เข้าพระทัยและมีรับสั่งให้ส่งหมอหลวงมาดูแลอาการของไป๋หลันโดยเร็ว
การมาถึงของหมอหลวงทำให้เฟยหยางร้อนใจเป็นอย่างมาก นางหวั่นใจว่าหมอหลวงจะจับได้ว่าไป๋หลันไม่ได้ป่วยจริง และความลับดำมืดของนางที่ทำร้ายร่างกายไป๋หลันจนมีบาดแผลจากการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงจะถูกเปิดโปง
เฟยหยางตัดสินใจซ่อนยาพิษไว้ นางยังไม่คิดจะลงมือวางยาไป๋หลันในตอนนี้ แต่เหม่ยหลิงที่อยู่ในร่างของไป๋หลันรู้ทันแผนการทั้งหมด นางไม่ใช่หญิงสาวผู้บอบบางที่จะยอมให้ใครมาปั่นหัวได้ง่ายๆ
เหม่ยหลิงจึงตัดสินใจเล่นตามน้ำ นางแสร้งแสดงละคร ทำทีเป็นว่าอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ายาพิษที่เฟยหยางแอบซ่อนไว้กับตัวกำลังออกฤทธิ์อย่างรุนแรง
เมื่อหมอหลวงมาถึงและตรวจอาการ เขาก็ตกใจสุดขีด "พระชายาทรงถูกยาพิษ!" คำประกาศของหมอหลวงดังก้องไปทั่วจวนอ๋อง สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคน
เฟยหยางต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อถูกบ่าวรับใช้คนสนิทของไป๋หลันนำยาพิษที่เฟยหยางแอบซ่อนไว้ออกมา เฟยหยางหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว แผนการของนางกำลังจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ไม่เพียงเท่านั้น มันยังย้อนกลับมาทำร้ายตัวนางเองเสียแล้ว
ณ แคว้นหยางอันอันกว้างใหญ่ไพศาล รับสั่งจากฮองเฮาได้ถูกส่งไปยังชินอ๋อง มู่หรงเยว่ ผู้ซึ่งกำลังปฏิบัติราชการอยู่ ณ ชายแดนอันห่างไกล คำสั่งนั้นเรียบง่าย แต่กลับก่อให้เกิดคลื่นความรู้สึกอันซับซ้อนในใจของชินอ๋อง
"ไป๋หลัน" ชื่อของพระชายาเอกที่เขาไม่เคยใส่ใจกลับดังก้องอยู่ในความคิด เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าหญิงสาวที่เขาแต่งงานด้วยด้วยเหตุผลทางการเมือง แท้จริงแล้วคือหลานสาวของฮองเฮา แต่เขาไม่เคยยกย่องและทำดีกับนางเลยสักครั้ง
ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาในใจเขา เขาปล่อยให้ไป๋หลันต้องเดียวดายและทนทุกข์ทรมานในจวนของเขาเองโดยไม่เคยเหลียวแล
มู่หรงเยว่เคยเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงกลเกมทางการเมือง บิดาของไป๋หลันคือเสนาบดีกรมตรวจการผู้ทรงอำนาจ การที่บุตรสาวของเสนาบดีได้มาเป็นชายาของเขา ชินอ๋องผู้กุมอำนาจทางทหาร ทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจในราชสำนัก หรือพูดง่ายๆ คือเหล่าขุนนางต้องการลดทอนอำนาจของเขาลงนั่นเอง
ส่วนเฟยหยางเป็นบุตรสาวคนรองของเสนาบดีกรมคลัง แต่นางนั้นเป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่สามารถตบแต่งให้เป็นชายาเอกของเขาได้ เขาซึ่งรู้สึกเห็นใจในชาติกำเนิดของเฟยหยาง และความอ่อนหวานเอาอกเอาใจของเฟยหยางทำให้เขาไม่สามารถใจแข็งกับนางได้เลยสักครั้ง
ต่างจากไป๋หลันซึ่งเป็นคนเก็บตัว ไม่เคยออดอ้อนเอาใจเขา แถมเขายังได้ยินมาว่าที่จริงแล้วไป๋หลันมีคนรักอยู่แล้ว พระชายาเอกคนนี้จึงไม่อยู่ในสายตาของเขา และเฟยหยางยังคอยบอกกับเขาว่าไป๋หลันที่แท้จริงเป็นสตรีชั่วช้าและร้ายกาจ ทำให้เขาเกลียดพระชายาเอกคนนี้เข้ากระดูกดำ
ไม่นานนัก หลี่ซินคนสนิทของเขาก็ได้นำจดหมายด่วนฉบับหนึ่งส่งให้กับเขา มู่หรงเยว่ขยำกระดาษในมือแน่น ความร้อนรนพลุ่งพล่านในอก เขาลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว ก้าวฉับๆ ไปยังประตูห้อง
"หลี่ซิน!" เขาตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเสียงดัง
หลี่ซินผู้จงรักภักดีปรากฏตัวในทันที
"ขอรับท่านอ๋อง"
"เตรียมรถม้า! เราจะกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!" มู่หรงเยว่สั่งเสียงเข้ม
"ขอรับ! แต่... ท่านอ๋องจะไม่รอให้การตรวจการณ์ชายแดนเสร็จสิ้นก่อนหรือขอรับ?" หลี่ซินถามอย่างประหลาดใจ
"ไม่! เราต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ ไม่มีเวลาแล้ว!" มู่หรงเยว่ตอบอย่างร้อนรน
หลี่ซินเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนายท่านก็ไม่กล้าถามต่อ เขารีบไปจัดเตรียมรถม้าและแจ้งข่าวแก่คนอื่นๆ ในคณะ
ภายในเวลาไม่นาน รถม้าที่หรูหราและแข็งแกร่งก็ถูกนำมาจอดรออยู่หน้าจวนผู้ว่าการ มู่หรงเยว่ก้าวขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว หลี่ซินและองครักษ์คนอื่นๆ รีบตามขึ้นไป
"ไป! เร็วที่สุด!" มู่หรงเยว่สั่ง
เสียงแส้กระทบหลังม้าดังขึ้น รถม้าพุ่งทะยานออกไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันตลบอบอวล มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้
ในเขตพระราชวังอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมด้วยกำแพงหินสูงสง่าและต้นสนที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ไป๋หลัน เดินลัดเลาะตามทางเดินหินที่ทอดยาวสู่ตำหนักของฮองเฮา นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวงาช้างปักลายดอกไม้ละเอียดอ่อน ขณะเดินไป เสียงนกที่ร้องเบาๆ ตามกิ่งไม้สูง และเสียงฝีเท้าของนางบนหินที่เย็นเฉียบ ดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวที่ได้ยินในยามนี้วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน เพราะเป็นวันที่หญิงสาวถูกเรียกเข้าเฝ้าฮองเฮาผู้เป็นพระญาติของนาง ผู้ทรงเป็นบุคคลที่มีอำนาจอย่างสูงในราชสำนัก นางรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายในใจ แต่สิ่งที่ทำให้นางกังวลมากที่สุดคือข่าวที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อถึงตำหนักของฮองเฮา ประตูไม้หนักที่สลักลวดลายวิจิตรถูกเปิดออกโดยขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ไป๋หลันก้าวเข้ามาในห้องรับรองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนและวัตถุโบราณจากยุคต่างๆ กลิ่นหอมของไม้จันทน์ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ขณะที่ฮองเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์เล็กๆ ที่ประดับด้วยหมอนหนานุ่ม ใบหน้าของพระนางสงบสุข แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจคาดเดาได้"หลันเอ๋อร์" เสียงของฮองเฮาเรียกชื่อไป๋หลันเ
ในห้องโถงวังหลวงซึ่งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม ความเย็นเยียบของเสาไม้แกะสลักและเพดานสูงทำให้เสียงพูดของผู้คนก้องสะท้อนไปทั่ว ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุรุษผู้หนึ่งที่ยืนเด่นเป็นสง่า มู่หรงเยว่ชายหนุ่มที่สูงศักดิ์ในฐานะชินอ๋อง หนึ่งในบุคคลสำคัญของแคว้นหยาง อำนาจในมือของเขาคือกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่เบื้องหลังของเส้นทางสู่อำนาจนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ คิด และยิ่งในวันนี้ วันที่ชะตาของเขาถูกลิขิตใหม่อย่างไม่ทันคาดคิดฮ่องเต้ทอดพระเนตรน้องชายที่พระองค์รัก ท่าทางของพระองค์สงบและมั่นคงในคำสั่งที่กำลังจะประกาศออกมา "หรงเยว่" เสียงอันทรงอำนาจของฮ่องเต้ดังก้องไปทั่วห้อง "ข้าได้เตรียมการแต่งงานให้เจ้าแล้ว"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าที่ผ่ากลางใจของมู่หรงเยว่ เขานิ่งไปชั่วขณะ แม้ภายนอกจะแสดงท่าทีสงบ แต่ภายในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าวุ่น "การแต่งงาน?" เขาทวนคำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน การแต่งงานที่ไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อน เหตุใดจึงเกิดขึ้นเช่นนี้ และที่สำคัญ เหตุใดถึงต้องรีบร้อนจัดการเรื่องนี้ในตอนนี้?ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตายังคงแข็งกร้าว "ใช่ การแต่งงานของเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้
หลายปีผ่านไป มู่หรงซาน บุตรชายคนโตของมู่หรงเยว่และไป๋หลัน เติบโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยห้าขวบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสดใส แต่เขาก็มีนิสัยที่ทำให้บิดามารดาต้องปวดหัวไม่น้อย นั่นคือ เขาเป็นเด็ก 'ทานยาก' ที่สุด!ไป๋หลันพยายามทำอาหารสารพัดเมนูมาล่อใจลูกชาย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะถูกปากเจ้าตัวเล็กได้เลย มู่หรงซานจะกินเพียงไม่กี่คำ แล้วก็ผลักจานออกห่าง ทำให้ไป๋หลันรู้สึกท้อแท้ใจ"หลันเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก" มู่หรงเยว่ปลอบใจภรรยา "เด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวซานเอ๋อร์ก็โตและกินง่ายขึ้นเอง"แต่ไป๋หลันยังคงเป็นห่วงลูกชาย นางรู้ว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก และนางไม่อยากให้ลูกชายขาดสารอาหาร"แต่หม่อมฉันเป็นห่วงเขาเหลือเกิน ท่านพี่" ไป๋หลันพูดเสียงเศร้า "เขาตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน"มู่หรงเยว่โอบกอดภรรยาไว้ "เราจะหาวิธีกันนะ หลันเอ๋อร์"ด้วยความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อลูก ไป๋หลันจึงไม่ยอมแพ้ นางเริ่มศึกษาตำราอาหารสำหรับเด็ก ทดลองทำเมนูใหม่ ๆ ที่ทั้งอร่อยและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดใจลูกชายตัวน้อยของนางถึงแม้ไป๋หลันจะพยายามสร้างสรรค์เมนูอาหารให้น่าทานมากเพียงใด แ
ข่าวคราวที่ชินอ๋องมู่หรงเยว่จะทรงมีชายาเพียงองค์เดียวกระจายไปทั่วแคว้น สร้างความผิดหวังให้แก่เหล่าหญิงงามที่เคยหมายปองจะได้เป็นสนมของพระองค์ เพราะบัดนี้พวกนางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เฉียดใกล้ชินอ๋องอีกต่อไปในคืนที่ไป๋หลันใจอ่อนยอมคืนดี ภายในห้องบรรทมที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยไอรักอันร้อนแรง มู่หรงเยว่และไป๋หลันผู้ห่างเหินกันไปนาน ได้กลับมาเปิดเผยความในใจซึ่งกันและกันอีกครั้งมู่หรงเยว่โอบกอดไป๋หลันไว้แนบอก จุมพิตหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม "ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดเช่นนี้อีก"ไป๋หลันซบหน้าลงกับอกแกร่ง น้ำตาแห่งความปีติยินดีเอ่อล้นออกมา "ได้ หม่อมฉันจะเชื่อใจท่านพี่อีกครั้ง"สัมผัสอันอ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่าร้อน มู่หรงเยว่ประคองใบหน้างามของไป๋หลันขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ฉายแววรักใคร่"ข้ารักเจ้า ไป๋หลัน" เขาเอ่ยเสียงพร่า"หม่อมฉันก็รักท่านพี่เพคะ" ไป๋หลันตอบรับ ก่อนจะมอบจุมพิตอันแสนหวานให้กับคนรักร่างสองร่างแนบชิดเป็นหนึ่งเดียว ความรักที่เก็บกดไว้นานถูกปลดปล่อยออกมาอย่างร้อนแรง เสียงครางกระเส่าดังคลอเคล้าไปกับเสียงลมหายใจหอบ
แม้ว่าจะถูกมู่หรงเยว่สืบข่าวจนล่วงรู้ถึงแผนการร้าย แต่ซูหลิงก็ยังไม่ยอมละความพยายาม นางยังคงมีความแค้นฝังลึกต่อมู่หรงเยว่และไป๋หลัน คิดว่าหากไป๋หลันแท้งลูก มู่หรงเยว่อาจจะใจอ่อน ยอมแต่งงานกับนางเพื่อรักษาสัมพันธภาพระหว่างแคว้นเอาไว้วันหนึ่ง ซูหลิงบุกเข้าไปในภัตตาคารของไป๋หลัน นางผลักไป๋หลันอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น"เจ้าคิดว่าจะแย่งท่านอ๋องไปจากข้าได้งั้นเหรอ? ตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยแพ้ให้กับสตรีผู้ใด!" ซูหลิงตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวไป๋หลันพยายามลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องน้อย นางกุมท้องตัวเองไว้แน่น "อย่านะ ซูหลิง อย่าทำอะไรลูกของข้า" ไป๋หลันร้องขอเสียงสั่นเครือแต่ซูหลิงไม่ฟัง นางตรงเข้าไปหมายจะทำร้ายไป๋หลันอีกครั้งทันใดนั้นเอง มู่หรงเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเข้ามาขวางซูหลิงไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะทำอะไรไป๋หลันได้"หยุดนะ ซูหลิง!" มู่หรงเยว่ตวาดลั่นซูหลิงหันไปมองเขาด้วยความตกใจ "ท่านอ๋อง"มู่หรงเยว่ไม่ฟังคำแก้ตัวของนาง เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ"นี่คือจดหมายที่เจ้าลอบส่งให้พี่ชายของเจ้าใช่ไหม?" มู่หรงเยว่ถามพลางโยนจดหมายลงตรงหน้าซูหลิงซูหลิงหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นจ
ข่าวการแต่งงานของมู่หรงเยว่ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจไป๋หลัน แม้จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า แต่หญิงสาวก็ยังคงความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งน้ำตาหรือเสียงสะอื้นใดๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะลูบท้องน้อยของตนเองอย่างแผ่วเบา"ลูกแม่" นางกระซิบแผ่วเบา "เราต้องเข้มแข็งนะ"ไม่นานนัก มู่หรงเยว่ก็มาหาไป๋หลันด้วยสีหน้าลำบากใจ เขาจับมือนางไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว"ไป๋หลัน ข้า...""ข้าทราบแล้ว" ไป๋หลันขัดขึ้น นางเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่อ่านยาก "เรื่องการแต่งงานของท่าน"มู่หรงเยว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ข้ามิได้ประสงค์ในการแต่งงานครั้งนี้เลยสักนิด ไป๋หลัน"ไป๋หลันพยายามฝืนยิ้ม "ข้าเข้าใจท่านอ๋อง"แต่ในใจของนางกลับปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดลึก ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้"ข้ารู้ว่าท่านคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้" ไป๋หลันพูดต่อ "แต่ข้าจะขอท่านเพียงแค่สิ่งเดียว"มู่หรงเยว่มองนางด้วยความรู้สึกผิด "สิ่งใดหรือ ไป๋หลัน""ดูแลลูกของเราให้ดี" นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ "นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ"มู่หรงเยว่รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น"ข้าให้สัญญา ไป๋หลัน"ถึงแม้ไป๋หลันจะยอม