“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”
กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลัน
ฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า
“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”
“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”
นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจี
เมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยน
เมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป
“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”
ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัย
ณ ตำหนักไป่เหอ
ภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัลที่ถูกสั่งให้เฝ้าร่างไร้สติมาทั้งคืนก็รีบเข้าไปตรวจดูให้แน่ใจว่าฟางเหรินกุ้ยเฟยฟื้นคืนสติมาแล้วจริงหรือไม่
“พระสนมเพคะ.... พระสนม...”
ร่างบนเตียงคล้ายจะตอบรับกับเสียงเรียกนั้น แพขนตาของร่างบนแท่นบรรทมไหวระริก เหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายขึ้นบนหน้าขาวผ่อง นางกำนัลเบิกตากว้างอย่างยินดี แล้วรีบตะโกนบอกต่อข้ารับใช้ด้านนอก
“กุ้ยเฟยฟื้นแล้ว กุ้ยเฟยฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็ว ส่งข่าวถึงองค์ฮ่องเต้ด้วย”
เสียงตะโกนดังลั่นนั้นปลุกให้คนบนแท่นบรรทมให้สะดุ้งตื่นขึ้น ร่างนั้นหอบหายใจแรงคล้ายกับปลาที่ถูกจับเหวี่ยงขึ้นบนบกแล้วพยายามฮุบเอาอากาศเพื่อรักษาชีวิตตน
“พระสนมเพคะ”
นางกำนัลวิ่งหน้าตื่นเข้ามา แล้วหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าชุ่มเหงื่อของกุ้ยเฟย ในใจนั้นภาวนาขอให้หมอหลวงรีบมาโดยไวด้วยเถิด หากพระสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้เป็นอะไรไปอีก หัวบนบ่าของนางต้องหลุดแน่ ๆ
“เจ้าเรียกเราว่าอะไร”
ริมฝีปากไร้สีของคนบนแท่นบรรทมขยับเอ่ยเสียงแหบแห้ง นางกำนัลผู้นี้อยากตายหรืออย่างไรจึงเรียกขานเราว่าสนม !
นางกำนัลผู้นั้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางเพิ่งจะได้เข้ามาถวายการรับใช้พระสนมแทนนางกำนัลคนเก่าที่ถูกจับไปขังคุกกะทันหัน จึงไม่มั่นใจว่ากฎของตำหนักไป่เหอเป็นเช่นไร นางจึงทรุดตัวหมอบลงกับพื้น แล้วละล่ำละลักออกมาว่า
“พระสนม.... ฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นพระสนมในองค์ฮ่องเต้ หม่อมฉันจึงเรียกเช่นนี้เพคะ”
....ฟางเหรินกุ้ยเฟย.....
ชื่อของผู้ที่นางแค้นจับจิตพุ่งทะลุเข้าไปในใจของเฟิ่งอี๋ฮองเฮา
- เหตุใดนางกำนัลผู้นั้นเรียกเราเป็นฟางเหรินกุ้ยเฟย เหตุใดเราจึงมีชีวิตอยู่ !-
พระเนตรของนางหรี่ลงช้า ๆ จากนั้นก็เบิกโพลงขึ้น ร่างของนางสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง จากนั้น เฟิ่งอี๋ฮองเฮาจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียง แล้วถลาเข้าไปหาโต๊ะเครื่องแป้ง
“พระสนมระวังเพคะ”
นางกำนัลจึงรีบเข้าไปประคองร่างบางเอาไว้ เกรงว่าจะล้มไปกับพื้นให้ต้องระคายเคืองผิว
คันฉ่องบานโตสะท้อนใบหน้าสวยพิลาสล้ำ คิ้วโก่งเรียวงามเหนือดวงตาหงส์ ใบหน้ารูปไข่อยู่บนลำคอยาวระหง ผมยาวสลวยดำขลับขับเน้นผิวขาวราวหิมะ ริมฝีปากแม้ยังซีดอยู่แต่ความงามก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่งามเป็นหนึ่งในแผ่นดินเช่นนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือ -ฟางเหรินกุ้ยเฟย-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
เฟิ่งอี๋ฮองเฮากรีดร้องออกมาดังลั่น นางถูกจับแขวนคอด้วยผ้าขาวสิ้นลมไปแล้วแท้ ๆ เวลานี้ควรจะอยู่ที่ธารเหลืองกับลูกน้อย เหตุใดนางจึงมาอยู่ในร่างของสตรีที่นางชิงชังเป็นที่สุด !
เพล้ง !
นางกำนัลกรีดร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความตื่นตระหนก เมื่อฟางเหรินกุ้ยเฟยคว้าเอาสิ่งของใกล้มือขว้างใส่คันฉ่องจนมันแตกเป็นเสี่ยง ๆ นางถึงกลับผงะถอยห่างออกจากผู้เป็นนายด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วก็ต้องรีบถลันตัวเข้าไปหาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายหยิบเศษแหลมของคันฉ่องขึ้นมาหมายจะทำร้ายตนเอง
“พระสนมโปรดอย่าทำร้ายตนเองเพคะ”
นางกำนัลจับข้อมือของพระสนมเอาไว้ สีหน้าแตกตื่นยิ่ง
“ปล่อยเรา ! เราจะสังหารนางแพศยานี่ !”
เฟิ่งอี๋ฮองเฮาในร่างของฟางเหรินกำเศษคันฉ่องแน่น คมของมันกรีดเข้าไปในเนื้อจนเลือดสีแดงไหลออกมา
นางกำนัลแทบจะหัวใจวายตาย ฮ่องเต้ต้องทรงลงพระอาญานางแน่ ๆ ที่ปล่อยให้พระสนมทำร้ายตนเองถึงขั้นเลือดตกยางออก
“ฟางเหริน !”
เสียงเรียกขานอย่างตื่นตกใจดังขึ้นที่หน้าประตู แล้วร่างในชุดสีเหลืองทองลายมังกรก็ปาดเข้าหาคนทั้งคู่อย่างว่องไว
เมื่อเห็นองค์ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว นางกำนัลจึงรีบหลบออกมายืนข้าง ๆ หมอหลวงเฒ่า
“ฟางเหริน เจ้าอย่าทำร้ายตนเองแบบนี้”
ฮ่องเต้ทรงกอดร่างฟางเหรินกุ้ยเฟยเอาไว้แน่น จากนั้นก็แย่งเศษคันฉ่องมาจากมือของนาง แล้วรีบโยนมันทิ้ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำปลอบประโลมสนมคนโปรดว่า
“เรารู้..... เรารู้ว่าเจ้าเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกของเราไป เราเองก็เสียใจมากเหมือนกัน”
เฟิ่งอี๋ฮองเฮาได้ยินดังนั้นร่างกายก็พลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ ฝ่าบาททรงกล่าวเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร ? ฟางเหรินเข้าถวายตัวต่อองค์ฮ่องเต้ไม่ถึงปี แต่กลับตั้งครรภ์แล้วรึ ? จะเป็นไปได้เช่นไร ?
“ลูก...”
เสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากปากไร้สี...
“เจ้าไม่ต้องห่วง ผู้ใดที่บังอาจวางยาพิษเจ้าจนต้องสูญเสียลูกของเราไป เราได้สั่งจับมันทุกคนเข้าคุกหมดแล้ว”
เสียงทุ้มนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เขาอุตส่าห์เฝ้ารอคอยโอรสสวรรค์มาแสนนาน แต่กลับถูกคนร้ายวางยากุ้ยเฟยจนนางแท้งลูกของพวกเขา อาการที่นางคลุ้มคลั่งราวคนจิตใจสลายเมื่อครู่คงเกิดจากความเสียใจอย่างหนัก
คำปลอบประโลมนั้นทำให้เฟิ่งอี๋ฮองเฮาหยุดใคร่ครวญ มีคนอยากฆ่ากุ้ยเฟยพร้อมลูกน้อยในครรภ์ วังหลวงแห่งนี้ช่างซุกซ่อนผู้คนจิตใจริษยาเอาไว้มากจริงหนอ อยู่ ๆ นางก็พลันรู้สึกสาสมใจขึ้นมา ในขณะที่กุ้ยเฟยวางแผนสังหารนางกับลูก ชะตากรรมของกุ้ยเฟยก็ไม่ต่างไปจากนางแม้แต่น้อย
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ