ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว
“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”
เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน
“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”
แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว
“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”
ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แล้วยังจะยาบำรุงครรภ์ที่เจ้าดื่มทุกวัน คือ อะไร คิดว่าเราโง่จนไม่รู้ว่าเจ้าแอบคบชู้จนตั้งครรภ์หรืออย่างไร !”
สิ้นคำ เขาก็ผลักร่างสั่นสะท้านลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
ตุบ
นางกำนัลส่งเสียงกรี้ดออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ แล้วรีบเข้าไปประคองร่างฮองเฮาบนพื้น เฟิ่งอี๋ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บหน่วงที่ท้องน้อยแปลก ๆ มือเรียวรีบยกขึ้นกุมท้องตามสัณชาตญาณ พลางบอกลูกน้อยในใจว่า - เด็กดีเข้มแข็งไว้นะลูก แม่อุตส่าห์เฝ้ารอเจ้ามาสิบกว่าปี เจ้าต้องอยู่กับแม่นะ –
เหงื่อผุดพรายขึ้นตามหน้าผากขาวไร้สีของฮองเฮา นางกัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันถูกปรักปรำ เด็กในครรภ์นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะเพคะ”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าพระอุระเพื่อระงับความโกรธในใจ แค่นเสียงขึ้นจมูกว่า
“ลูกของเรารึ เรามาตำหนักเจ้าแค่ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งหากเจ้าจะตั้งครรภ์ ก็ควรตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว ไยมาท้องเอาตอนนี้ ตอนที่เจ้าซุกซ่อนบุรุษไว้ในตำหนัก ทหารนำตัวชายโฉดผู้นั้นออกมา !”
ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้สั่งทหารองครักษ์เสียงดังลั่น ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธ
ไม่นานนักทหารสองนายก็นำบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งในชุดขันทีของตำหนักเฉียนชิงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์
“เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักมันรึ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเฉียบเย็น
“หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริง ๆ เพคะ”
เฟิ่งอี๋ส่ายหน้าตอบ
ฟางเหรินกุ้ยเฟยที่นั่งชมละครอยู่ข้าง ๆ ขยับกายลุกขึ้นดุจบุปผาไหวตามลม แล้วเข้าคล้องแขนฮ่องเต้พลางปรายตามองคนบนพื้นอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ยเสียงหวานเฉกเดิมว่า
“โจรที่ไหนกันจะยอมรับว่าตนเองขโมยของ ไม่สู้ถามคนในตำหนักคนอื่นดีหรือไม่เพคะ”
เมื่อฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางจึงเรียกข้ารับใช้ตำหนักเฉียนชิงที่เป็นคนของนางออกมาซักถาม “ไท่เจี้ยนเจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่”
หัวหน้าขันทีของตำหนักเฉียนชิงเหลือบมองฟางเหรินกุ้ยเฟย และองค์ฮ่องเต้ จากนั้นก็หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้นพลางส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ความว่า
“กระหม่อม... กระหม่อม... คือ.. กระ...”
“อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังไม่พูดความจริงมาอีก !”
ฮ่องเต้ตวาดออกมา สนมรักที่ยืนอยู่ข้างกายจึงลูบอกของเขาเบา ๆ คล้ายกับกำลังปลอบเขาให้สงบสติอารมณ์
“ชายผู้นี้เป็นคนที่ฮองเฮานำมาเลี้ยงไว้ในตำหนักพระเจ้าค่ะ”
หัวหน้าขันทีผู้นั้นตะโกนออกมาทั้งที่ยังหมอบอยู่ ไม่เหลือบมองชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยซ้ำ
เมื่อหลักฐานทุกอย่างต่างชี้ชัดว่านางลอบคบชายชู้ ฮองเฮาได้แต่ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะรวมหัวกันใส่ร้ายนาง
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ ฝ่าบาทโปรดใคร่ครวญด้วย”
เฟิ่งอี๋ร้องออกมาพลางสะอื้นไห้ แม้นเป็นฮองเฮาแต่นางก็ไม่เคยข่มเหงรังแกสนมนางใด แต่ไยพวกนางถึงไม่ยอมละเว้นนางกับลูก !
ฮ่องเต้ไม่ฟัง อีกทั้งไม่มองหน้านางแม้แต่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วตรัสสั่งลงโทษนางทันที
“ให้นางกินยาขับก้อนเลือดชั่ว ๆ ออกมาซะ และมอบผ้าขาว ประหารตระกูลนางเก้าชั่วโคตร !”
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็กรีดร้องออกมาจนไม่มีเสียง ดวงตาเฟิ่งอี๋แดงก่ำคล้ายร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด ทหารสองนายจับนางกรอกยาขับเลือด เฟิ่งอี๋ขัดขืนสุดกำลังแต่สุดท้ายเรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิอาจต้านทาน
ทันทีที่น้ำยาไหลซึมแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ท้องของนางก็เริ่มบีบรัดจนเจ็บปวด นางเงยหน้าขึ้นมองฟางเหรินกุ้ยเฟย ใบหน้าสวยนั้นกำลังฉาบรอยยิ้มบาง ๆ เอาไว้ ส่วนสามีที่สั่งฆ่าเลือดเนื้อตัวเองกับมือกลับใบหน้าเย็นชายิ่ง
เมื่อเลือดไหลซึมออกมาจนแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั้งกระโปรง นางก็รับรู้ว่าลูกได้เดินทางล่วงหน้าไปยังธารเหลืองก่อนแล้ว หัวใจของนางแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ลูกแม่.... ลูกแม่....”
น้ำตาของนางไหลออกมาเป็นสายเลือดแล้วจริง ๆ
“พระราชทานแพรขาว !”
ตรัสสั่งเสร็จ ฮ่องเต้ก็สะบัดพระภูษาเสด็จออกไป พร้อมกับพระสนมกุ้ยเฟย
ในขณะที่เฟิ่งอี๋ฮองเฮาถูกจับแขวนคอด้วยผ้าขาว ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ข้าถูกปรักปรำจนตัวตาย วิญญาณมิอาจสงบได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้สงบสุข !”
ทันทีที่ทหารปล่อยมือทิ้งร่างนางลง ผ้าขาวที่พาดลำคอเอาไว้ก็รัดแน่น ร่างนางกระตุกสามสี่หนอย่างทรมานก่อนจะสิ้นใจตายอย่างเดียวดาย
ภายในเกี้ยวสีทองลายมังกร
ฟางเหรินกุ้ยเฟยเอนซบไหล่ของฮ่องเต้ ใช้แก้มนุ่มเนียนคลอเคลียไปกับต้นแขนคล้ายกับจะปลุกปลอบใจให้เขาคลายความทุกข์โศกในใจ
ฮ่องเต้ลูบไล้ใบหน้าสวยดุจบุปผางามในฤดูวสันต์ กลิ่นหอมกรุ่นจากกายนางช่วยให้ความเศร้าหัวใจเขาได้บรรเทาลงบ้าง
“เฮอ.... คงจะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ภักดีต่อเราด้วยความจริงใจ”
พระองค์ทรงทอดถอนลมหายใจออกมา เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หากไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าฮองเฮามีชู้ เขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเฟิ่งอี๋จะทรยศเขาได้ลงคอ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานางอยู่ในจารีตประเพณีอันดีงามเสมอ
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ