เช้าวันใหม่
หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษ
นางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า
“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”
“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”
เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !
เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนัก
ฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่
ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ดีที่สุด อย่าให้พระวรกายอันเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้มีรอยข่วนแม้แต่น้อย
“เจ้ารีบไปเตรียมเกี้ยวให้พระสนม ! ส่วนพวกเจ้าก็รีบตามเสด็จไป หากมีอะไรให้รีบมารายงานข้า”
ขันทีเฒ่าหันไปสั่งนางกำนัลที่ยังคงหมอบต่ำลงพื้น กว่าเหล่านางกำนัลจะลุกขึ้นตามไป ร่างของพระสนมกุ้ยเฟยก็หายลับออกจากตำหนักไปแล้ว
ณ คุกหลวง
เกี้ยวของพระสนมกุ้ยเฟยหยุดลงที่ด้านหน้า เนื่องจากเป็นสถานที่ต้องห้ามและคับแคบ จึงมีเพียงเฟิ้งอี๋และนางกำนัลข้างกายติดตามลงไปในชั้นใต้ดินได้เพียง 1 คน
ทันทีที่ก้าวย่างลงสู่ชั้นใต้ดิน ผนังทุกด้านทึบ แสงด้านนอกไม่อาจสาดส่องเข้ามาได้ จึงต้องอาศัยแสงสว่างจากคบเพลิงที่วางเป็นระยะ ๆ ยิ่งเดินเข้ามาลึกมากเท่าไหร่อากาศยิ่งน้อยลงเท่านั้น จนเฟิ่งอี๋รู้สึกคล้ายจะหายใจไม่ออก เหมือนมีมือที่นางมองไม่เห็นบีบรัดคอนางเอาไว้ก็ไม่ปาน
จากนั้นเสียงร้องโหยหวน พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าชวนคลื่นเหียนก็ปะทะเข้ามาทันทีที่ผู้คุมเปิดประตูบานใหญ่ให้นางเดินเข้าไป
“เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คุมค้อมศีรษะลง ในขณะที่พระนางก้าวเข้าไปในห้องขังขนาดใหญ่ ที่มีนักโทษถูกขัง และถูกทรมาน ส่วนนางกำนัลที่ติดตามมามิอาจทนรับสภาพในคุกใต้ดินได้บัดนี้ได้เป็นลมไปแล้ว
เฟิ่งอี๋ปล่อยให้นางกำนัลผู้นั้นคอพับคออ่อนอยู่หน้าประตู นางกวาดสายตาไปทั่วห้องขัง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า
“ผู้ต้องสงสัยคดีลอบวางยาเรา ถูกขังไว้ที่ใด ท่านโปรดนำทางแก่เราด้วย”
“ผู้ต้องสงสัยคดีลอบวางยาพิษพระสนมกุ้ยเฟยอยู่ด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้คุมนำทางนางไป
“พวกมันสารภาพหรือยังว่าผู้ใดใช้มันวางยาเรา”
เฟิ่งอี๋สอบถามข้อมูลจากผู้คุม
“เรียนพระสนม ข้อมูลการสอบเค้นจากผู้ต้องสงสัยอยู่ที่ใต้เท้าจ้าน เจ้ากรมอาญา กระหม่อมเป็นเพียงผู้คุมนักโทษจึงไม่อาจล่วงรู้รายละเอียดมากนัก”
ผู้คุมกล่าวอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่าตนเองช่างดวงซวยยิ่งนักที่มาเข้าเวรตอนที่พระสนมกุ้ยเฟยเสด็จมาเยือนคุกหลวงอย่างกะทันหัน แล้วขอสอบสวนนักโทษด้วยตนเองเช่นนี้ ซึ่งตามระเบียบแล้วไม่สามารถกระทำได้ แต่เขาเป็นผู้คุมชั้นผู้น้อยไหนเลยจะกล้าขัดขวางพระนาง จึงได้ส่งคนให้รีบไปรายงานใต้เท้าจ้าน
เฟิ่งอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า
“งั้นเจ้าพอจะทราบไหมว่า มีผู้ใดเกี่ยวข้องกับคดีนี้บ้าง”
“ตามรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่ถูกจำในคดีนี้ มีข้ารับใช้ในห้องเครื่องเสวยตำหนักไป่เหอ ขันทีรับใช้ในวันนั้น นางกำนัลรับใช้ในวันนั้น พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
เฟิ่งอี๋ส่งเสียงในลำคอ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงสั่งควบคุมผู้ต้องสงสัยในคดีนี้แบบหว่านแห ดังคำกล่าวที่ว่า ยอมประหารร้อยคน ดีกว่าปล่อยให้หนึ่งคนร้ายลอยนวล
“พระสนม ! พระสนมโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย”
เสียงร้องเรียกนั้นทำให้เฟิ่งอี๋หยุดที่หน้าห้องขังห้องหนึ่ง นางมองเห็นนักโทษหญิงผู้นั้นถูกตรวนเหล็กพันธนาการไว้ทั้งมือและเท้า ตามตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรังจากการถูกโบยด้วยแส้หนาม ริมฝีปากนางแห้งแตกจนมีเลือดไหลซึมออกมา แววตาของนักโทษหญิงผู้นั้นราวกับมองเห็นแสงเรืองรองปรากฏอยู่ตรงหน้า
“นักโทษผู้นี้เป็นใคร”
เฟิ่งอี๋ถามผู้คุมแผ่วเบา
“อี๋เหนียง นางกำนัลในตำหนักของพระนางพ่ะย่ะค่ะ”
เขาตอบอย่างแข็งขัน แต่ในใจนั้นก็นึกฉงนว่า เหตุใดพระนางจึงจำนางกำนัลข้างกายไม่ได้
อี๋เนียงตะเกียกตะกายโผ่เข้ามาเกาะที่ลูกกรงห้องขัง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างยากลำบากว่า
“พระสนม..... หม่อมฉันไม่รู้เรื่องอันใด... ยะ ยาถ้วยนั้น หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามรับสั่งของพระนาง !”
เฟิ่งอี๋ขมวดคิ้วเข้าหากัน แม้นคำพูดนั้นจะทำให้นางตื่นตกใจอยู่บ้าง แต่การรักษาอำนาจในวังหลังมากว่าสิบปีทำให้นางเก็บซ่อนความสงสัยไว้จนสุดลึก แล้วเอ่ยด้วยท่าทีราบเรียบกับผู้คุมว่า
“เปิดประตูห้องขัง เรามีเรื่องจะซักถามนางกำนัลผู้นี้สักหน่อย”
ผู้คุมเปิดประตูห้องขังให้พระสนมเข้าไปหานักโทษ จากนั้นก็ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ห่าง ๆ และภาวนาในใจขอให้ใต้เท้าจ้านรีบมาด้วยเถิด
เฟิ่งอี๋โน้มกายลงข้าง ๆ นางกำนัลผู้นั้น แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า
“เมื่อสักครู่ เจ้าบอกว่า เราเป็นคนสั่งให้เจ้านำยาถ้วยนั้นมาให้เรารึ”
“เพคะ พระสนม”
นางกำนัลตอบ พลางพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เจ้าจงคิดให้ดี ๆ เจ้าคงจะไม่ถูกลงทัณฑ์จนสมองเลอะเลือนหรอกนะ เรารึจะสั่งให้เจ้าเอายาพิษมาให้ตนเองกินเพื่อปลิดชีพตนเอง เหลวไหลสิ้นดี”
เฟิ่งอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
ท่าทีและคำพูดนั้น ทำให้นางกำนัลรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งกายอย่างประหลาด จึงละล่ำละลักออกมาว่า
“พระสนมไม่ได้รับสั่งให้นำยามาปลิดชีพตนเอง แต่พระนางสั่งให้หม่อมฉันไปนำยาขับเลือดจากหมอกว่างมาให้พระองค์เสวยเพคะ”
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ