ได้ยินดังนั้น หัวใจของเฟิ่งอี๋ก็เต้นแรงขึ้น รีบหันหน้าไปมองดูผู้คุม เขายังคงยืนหันหลังนิ่ง อีกทั้งจุดที่เขายืนอยู่ด้านนอกยังห่างไกลจากจุดที่นางสอบถามนักโทษ คำพูดของนางกำนัลเมื่อครู่เขาอาจจะไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็คงจะจับใจความไม่ได้ เพราะเสียงของนางกำนัลแหบแห้ง อีกทั้งยังรัวคำพูดด้วยความตื่นตกใจ
เรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่นางคิดไว้ ดีไม่ดีนางอาจจะถูกบั่นหัวไปด้วยเช่นกัน ถ้ายาถ้วยนั้นเป็นยาขับเลือด นั่นหมายความว่าลูกในท้องของฟางเหรินกุ้ยเฟยไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อมังกรเป็นแน่แท้ แต่ลูกของนางเป็นลูกชู้ !
เฟิ่งอี๋หันกลับมาจ้องอดีตนางกำนัลข้างกายกุ้ยเฟย แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้นางเบาเสียงลง ก่อนเอ่ยต่อไปว่า
“อี๋เหนียง ข้าถูกยาพิษจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อฟื้นขึ้นมาข้าก็จำอะไรไม่ได้ หากเจ้าอยากให้เราช่วยชีวิตเจ้าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เราฟังอีกครั้ง”
เฟิ่งอี๋ใช้น้ำเสียงปลอบประโลม กึ่งบังคับนางให้เล่าความจริงออกมา
“พระสนม วันนั้นก่อนที่จะเสด็จไปตำหนักเฉียนชิง พระนางรับสั่งให้หม่อมฉันไปเอายาขับเลือดจากหมอกว่างมาให้พระนางเสวย หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามพระประสงค์ของพระนางไหนเลยจะทราบว่ายาที่นำมาเป็นยาพิษ มิใช่ยาขับเลือด”
อี๋เหนียงพูดเสียงเบาลงอีกหลายส่วน เพราะรู้ดีว่าเรื่องที่นางเอ่ยนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมหันต์ หากถูกผู้ใดล่วงรู้เข้าแม้อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่อาจทำได้
“ตอนที่ใต้เท้าจ้านสอบปากคำ เจ้าสารภาพไปเช่นใด”
เฟิ่งอี๋รีบถามอย่างร้อนใจ เพราะหากกรมอาญาสืบความได้ว่าฟางเหรินกุ้ยเฟยลักลอบเล่นชู้ ชีวิตที่ฟื้นขึ้นจากความตายของนางเพื่อแก้แค้นเป็นอันจบสิ้นแน่
“พระสนมวางพระทัยได้ หม่อมฉันบอกใต้เท้าจ้านว่ายาที่นำมาให้พระสนมเสวย คือ ยาบำรุงครรภ์”
อี๋เหนียงรีบบอก
“นับว่าเจ้ายังภักดีต่อเราอยู่”
เฟิ่งอี๋พิจารณานางกำนัลอย่างใคร่ครวญ นางผู้นี้จงรักภักดีต่อกุ้ยเฟยยิ่งนัก แม้นรู้ว่ากุ้ยเฟยกำลังทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมอยู่ก็ยังสนับสนุนนางอย่างเต็มที่
“หม่อมฉันมิบังอาจทรยศหักหลังพระนางเพคะ พระนางลืมไปแล้วหรือ หม่อมฉันเป็นพี่เลี้ยงที่ติดตามพระนางเข้าวังมา”
อี๋เหนียงนึกไม่ถึงว่า ยาพิษชนิดนั้นจะร้ายแรงมากจนทำลายความทรงจำของพระสนมไปหมด
“เราจำไม่ได้จริง ๆ”
เฟิ่งอี๋แสร้งทำสีหน้าให้เวทนาตนเองอย่างสุดแสน จากนั้นก็เอ่ยปากถามต่อไปว่า
“เหตุใดเจ้าขอยาขับเลือดจากหมอกว่างได้ง่ายนัก ยาชนิดนี้เป็นยาต้องห้าม หากถูกจับได้ขึ้นมาหัวเจ้าอาจหลุดจากบ่าได้”
“พระสนม.... ทรงจำไม่ได้อีกแล้วรึเพคะ”
นางกำนัลทอดถอนลมหายใจออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็เล่าย่อ ๆ ให้ฟังว่า สาเหตุที่นางกำนัลผู้หนึ่งสามารถเบิกยาต้องห้ามในวังหลวงได้ เพราะหมอกว่างผู้นั้นถูกดึงมาเป็นพรรคพวกของพระสนม โดยมีเฟินหนิงกุ้ยเหรินซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพระสนมคอยชี้แนะ รวมถึงเรื่องที่ทรงวางแผนร่วมกันกำจัดฮองเฮา
เมื่อนางกำนัลเล่าจบ เฟิ่งอี๋ก็แค่นเสียงขึ้นมาคำหนึ่ง พี่น้องตระกูลฉือน่าตายนัก ! บังอาจรวมหัวกันใส่ร้ายนางจนตาย แต่สุดท้ายก็หันมาฆ่ากันเอง อนิจจาความริษยาช่างน่ากลัวถึงเพียงนี้
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า... เราตั้งครรภ์กับผู้ใด”
เฟิ่งอี๋กลั้นใจถาม เพราะคำถามนี้สำหรับเจ้าของร่างแล้วช่างโง่เง้าสิ้นดี ที่ไม่รู้ว่าใครทำนางท้อง !
และเป็นจริงดังคาด ดวงตาของอดีตนางกำนัลผู้นั้นเบิกกว้างราวกับตกใจสุดขีด นางนึกไม่ถึงว่าแม้แต่ชายคนรักของตน พระสนมก็ทรงลืมไปแล้ว
“พระสนมทรงลืมใต้เท้าเกอหลางไปแล้วหรือ”
คำตอบนั้นราวกับมีผู้ใดเปิดไฟให้สว่างวาบขึ้นในหัว มิน่าเล่า เหตุใดหัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นจึงมาถึงห้องบรรทมของนางก่อนที่นางกำนัลจะวิ่งมาถึงเสียอีก
“เอาละ... อีกไม่นานความทรงจำของเราจะค่อย ๆ ฟื้นคืนเอง ขอบใจเจ้ามาก จำเอาไว้ว่า หากอยากมีชีวิตรอด ให้เก็บความลับทั้งหมดเอาไว้ แล้วเราจะหาทางช่วยเจ้าเอง”
“เพคะ”
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะพระสนม”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นด้านนอกห้องขัง เฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยจึงยืนขึ้น แล้วก้าวออกไปเผชิญหน้ากับใต้เท้าจ้าน แห่งกรมอาญา
“พระสนมเสด็จมากะทันหัน กระหม่อมมิได้เตรียมการต้อนรับ ขอพระนางโปรดประทานอภัย”
ใต้เท้าจ้านรีบประสานค้อมศีรษะลง เกรงว่าจะถูกจับผิดเรื่องที่หาตัวคนร้ายลอบวางยาพิษพระสนมไม่ได้เสียที
“ไม่รบกวนใต้เท้าจ้าน ข้าแค่แวะมาดูก็เท่านั้น เมื่อสักครู่นางกำนัลผู้นั้นได้บอกข้าว่า นางไปรับยาบำรุงครรภ์มาให้เราจากหมอหลวงกว่าง แต่นึกไม่ถึงว่ายานั้นจะเป็นยาพิษ ไม่ทราบว่าตอนนี้หมอหลวงผู้นั้นถูกกุมขังอยู่ที่ใด”
เฟิ่งอี๋เอ่ยถามเสียงเรียบ ตอนนี้นางรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วหมอกว่างผู้นั้นแพร่งพรายเรื่องที่นางตั้งครรภ์ให้สองพี่น้องตระกูลฉือทราบ จนเป็นเหตุให้พวกเขาหาเรื่องใส่ความนางจนตาย
“อะ...เอ่อ...”
ใต้เท้าจ้านอึกอักในลำคออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้ายอมรับผิดว่า
“กว่าจะสอบถามได้ความว่า ยานั้นมาจากที่ใด หมอกว่างก็หลบหนีออกจากวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กรมอาญากำลังเร่งตามหาหมอชั่วผู้นั้นอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“สุดความสามารถแล้วรึ ผ่านมากี่วันแล้ว... ใต้เท้าจ้าน.... นอกจากจะจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ ท่านยังขังนางกำนัลของเราที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวเอาไว้ เรื่องนี้เจ้าจะอธิบายต่อฝ่าบาทอย่างไร”
นางเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับทำให้คนฟังเหงื่อแตกเต็มใบหน้าอวบอูมของใต้เท้าชรา
“กระหม่อมทราบความผิดแล้ว ขอพระสนมโปรดทรงเมตตา อย่าทรงกริ้ว โปรดให้เวลากระหม่อมได้สืบความให้กระจ่าง”
ใต้เท้าจ้านรีบคุกเข่าลงดังตุบ ผู้คุมที่ยืนอยู่ต่างพากันคุกเข่าตามนาย
“เอาเถอะ เรื่องนี้เราจะไม่ถือสาและจะไม่บอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้ แต่ใต้เท้าต้องปล่อยนางกำนัลของเราไป”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ แต่โปรดรออีกสองสามวัน ให้กระหม่อมได้ทำตามระเบียบของกรมอาญา แล้วจะส่งนางกำนัลผู้นี้คืนตำหนักพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินใต้เท้าจ้านรับปากว่าจะปล่อยนางกำนัลผู้นั้นออกจากคุก เฟิ่งอี๋ก็วางใจได้ส่วนหนึ่งว่ากรมอาญาจะไม่มีทางรีดข้อมูลจากอี๋เหนียงได้อีก นางจึงออกจากคุกหลวงแล้วขึ้นเกี้ยวกลับวัง
เฟิ่งอี๋หลับตาลงอย่างใช้ความคิด ศัตรูของฟางเหรินกุ้ยเฟยแท้จริงแล้ว คือ พี่สาวต่างมารดาของนางนี่เอง มิน่าเล่าเหตุใดช่วงที่นางป่วยเฟินหนิงกุ้ยเหรินกลับไม่ยอมมาเยี่ยมนางสักครั้ง การแข่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือดน่ากลัวยิ่งนัก แม้กระทั่งลงมือฆ่ากันเองยังกระทำได้ลงคอ
ระหว่างที่นางกำลังใคร่ครวญนั้น เกี้ยวของนางก็หยุดลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงขันทีกระซิบข้าง ๆ หน้าต่างเกี้ยวว่า
“พระสนม... เฟินหนิงกุ้ยเหรินมาขวางเกี้ยวเอาไว้ บอกว่ามีเรื่องจะหารือกับพระนางพ่ะย่ะค่ะ”
“....”
เฟิ่งอี๋ย่นคิ้วเข้าหากัน นางกำลังคิดว่าจะจัดการกับเฟินหนิงกุ้ยเหรินอย่างไรดี แต่ฝ่ายนั้นก็ร้อนใจยิ่งกว่านางเสียอีก เห็นทีศึกสายเลือดครั้งนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วจริง ๆ
“บอกนางว่าเราจะไปรอที่อุทยานหลวง”
พระสนมกุ้ยเฟยสั่งเสียงเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ