ณ ศาลาแปดเหลี่ยม ริมบึงบัว
เฟินหนิงกุ้ยเหรินก้าวเข้ามาในศาลาอย่างเงียบเชียบ นางยกมุมปากขึ้นนิด ๆ คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่น้องสาวต่างมารดาผู้นี้ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะมีหัวคิดมากขึ้น รู้จักเลือกสถานที่สนทนาที่ไม่ให้ผู้ใดสงสัยและมีความปลอดภัยอย่างยิ่ง เพราะศาลาแห่งนี้ก็อยู่ในที่โล่ง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการลอบทำร้าย อีกทั้ง ผู้ติดตามจากทั้งสองตำหนักล้วนยืนรอพวกนางอยู่ข้างนอกในรัศมีที่ไม่สามารถได้ยินการสนทนาของคนที่อยู่ในศาลาได้
“ถวายพระพร ว่าที่ฮองเฮาเพคะ”
กุ้ยเหรินยอบตัวลง จงใจออกเสียงฮองเฮาให้ดังมากกว่าปกติ เหน็บแนมในความได้ดีของน้องสาวร่วมสายเลือด แม้จะเกิดในตระกูลเดียวกัน แต่วาสนาของคนทั้งคู่กลับต่างกันลิบลับ
นางเป็นลูกภรรยาเอก เกิดจากฮูหยินที่มาจากตระกูลมีชื่อเสียง แต่กลับมีความงามสู้ลูกอนุภรรยาที่เป็นนางโลมชั้นต่ำไม่ได้ ! ทันทีที่ฟางเหรินลืมตาดูโลก ทุกคนในครอบครัวต่างลืมว่านางเป็นลูกสาวอีกคน เมื่อเติบโตขึ้นนางเพียรพยายามหัดเรียนเขียนอักษร เดินหมาก วาดภาพเพื่อแสวงหาความรุ่งโรจน์ในวังหลวง แต่น้องสาวผู้นี้ยังตามมาจองล้างจองผลาญนางถึงที่นี่ แย่งเอาความรุ่งโรจน์ที่นางปรารถนาไปครอบครองทั้งหมด แล้วจะไม่ให้นางเคียดแค้นได้อย่างไร !
เฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยหันกลับมาช้า ๆ พร้อมกับพิจารณาเฟินหนิงกุ้ยเหริน สนมผู้นี้มีตำแหน่งเล็ก ๆ ในวังหลัง เมื่อก่อนไม่ได้ใส่ใจมากนัก นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าภายใต้กิริยาสงบเรียบร้อยนั้นจะแฝงด้วยพิษร้ายยิ่งนัก
“พี่หญิง ให้เกียรติน้องเกินไปแล้ว น้องยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ”
เฟิ่งอี๋ยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงแว่วหวานนั้นฟังดูคล้ายกระเซ้าเย้าแหย่ ไม่ถือสาที่อีกฝ่ายจงใจเหน็บแนมตน
“พี่ฝึกเรียกเอาไว้ก่อนจะได้ชินปาก น้องหญิงอาถือสา”
เฟินหนิงเหยียดกายลุกขึ้น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้โดยไม่รอให้พระสนมที่มีตำแหน่งสูงกว่าอนุญาต
เฟิ่งอี๋เห็นท่าทีของกุ้ยเหรินผู้นี้ก็ได้แต่แค่นเสียงเย้ยหยันในใจ แม้วาจาจะนอบน้อมแต่การกระทำช่างตรงกันข้ามนัก ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่รักษามารยาท นางก็ไม่จำเป็นต้องเห็นศีรษะผู้ใด จึงหันกลับไปยืนชมดอกบัวเบื้องล่าง แล้วเอ่ยอย่างไม่ได้สนใจว่า ณ ที่แห่งนี้ยังมีกุ้ยเหรินเล็ก ๆ อยู่ด้วย
“พี่หญิงมีธุระอันใดกับข้ารึ”
เมื่อนางไม่เห็นพระสนมอยู่ในสายตา เฟิ่งอี๋จึงไม่จำเป็นต้องพูดไพเราะด้วย
เฟินหนิงจ้องมองแผ่นหลังของฟางเหรินด้วยสายตาจงเกลียดจงชังอย่างไม่ปิดบัง เมื่อก่อนน้องสาวของนางคนนี้เพียงแค่หยิ่งผยองกับความงามของตนที่เป็นที่โปรดปราน แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแล้ว
“ในเมื่อที่นี่มีเราแค่สองคน งั้นข้าก็จะพูดให้กระจ่าง เรื่องลอบวางยาพิษเจ้า ฆ่าเป็นคนทำ”
ทันทีที่ทราบข่าวว่าฟางเหรินไม่ตาย อีกทั้งยังไปคุกหลวงเพื่อสอบถามผู้ต้องสงสัยด้วยตนเอง นางจึงเดาว่น้องสาวรู้แล้วว่านางเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบวางยาพิษนี้ จึงได้รีบเร่งมาขวางหน้าเกี้ยวของกุ้ยเฟยเอาไว้
“ทราบแล้ว”
คนที่หันหลังให้ตอบโดยไม่มีหันกลับมา แผ่นหลังนั้นตั้งตรงสง่าเช่นเคย คำพูดของเฟินหนิงไม่ทำให้นางสั่นสะท้านแม้แต่น้อย
เฟินหนิงกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่แปลกไปของน้องสาว คนที่ชอบโวยวาย และขวัญอ่อนจะสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้หรือ นางรีบสลัดความสงสัยทิ้งไปแล้วรีบเอ่ยเรื่องสำคัญว่า
“รู้แล้วก็ดี ข้าต้องการให้เรื่องนี้จบลงโดยไม่ต้องสืบหาตัวคนร้ายอีก”
เฟิ่งอี๋แค่นหัวเราะขึ้นมาคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“พี่หญิงกำลังขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตอย่างนั้นหรือ”
เฟินหนิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเผยอปากเอ่ยวาจาว่า
“ข้ารึจะขอร้องเจ้า นี่เป็นการเจรจาต่อรอง หากเจ้าปล่อยให้ข้าถูกประหารเพราะลอบวางยาเจ้า ข้าก็จะลากเจ้าไปแดนประหารด้วยเช่นกัน !..... อย่าลืมสิ... เจ้าเองก็มีส่วนช่วยในการใส่ร้ายฮองเฮาว่าคบชู้ จนฮองเฮาต้องถูกประหาร”
นางขยับกายลุกขึ้น แล้วเดินเข้ามายืนเคียงข้างกุ้ยเฟย
เฟิ่งอี๋หันมาสบตานางด้วยแววตาวาวโรจน์ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตนั้นทำให้เฟินหนิงถึงกับผงะถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว นางจึงกะพริบตาแล้วลืมตาขึ้นใหม่เพื่อมองให้ชัด แต่แววตาอาฆาตแค้นนั้นได้หายไปแล้ว เหลือเพียงแววตาไร้เดียงสาของสตรีวัยสิบแปดปี
“พี่หญิงข่มขู่ข้ารึ”
เฟิ่งอี๋เอ่ยถามเสียงเย็น
“นี่เป็นหนทางเดียว ที่เราทั้งคู่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
เฟิ่งอี๋โกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก คนที่ลอบวางร่างนี้จนตายก็คือ เฟินหนิง คนที่ใส่ร้ายนางจนตายก็ คือ เฟินหนิง แต่ตอนนี้ฆ่าตกรกำลังข่มขู่นางให้ยอมไว้ชีวิต น่าขันสิ้นดี !
หากว่าร่างนี้ยังคงเป็นฟางเหรินสตรีอายุสิบแปดก็คงจะยอมความได้ แต่ตอนนี้ร่างนี้มีวิญญาณของฮองเฮาเช่นนางอาศัยอยู่ ทำไมจะต้องยอมให้คนเลว ๆ เช่นนี้ขึ้นมานั่งอยู่บนศีรษะ !
“พี่หญิงพูดก็มีเหตุผล”
เฟิ่งอี๋ปั้นเสียงให้ดูราบเรียบที่สุด
เฟินหนิงหันกลับมามองน้องสาวอีกครั้ง วาจาที่เอ่ยเมื่อครู่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางจึงเอ่ยอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าไว้ในมือว่า
“ข้าไม่รอให้เจ้ารับปากข้าตอนนี้หรอกนะ แต่เวลาที่มีอยู่น้อยนัก หากใต้เท้าจ้านสืบคดีมาถึงข้าเมื่อไหร่ เรื่องเจ้าลอบคบชู้ และร่วมกันใส่ร้ายฮองเฮาก็จะถูกเปิดเผยทันทันที !”
ทั้งสองมองสบตากัน ต่างคนต่างมีแผนการในใจ
ยามห้าย
ยามนี้.... ดวงจันทราจะลอยอยู่เหนือตำหนักไป่เหอพอดี แสงสีนวลของมันเล็ดลอดเข้าไปตามช่องลวดลายฉลุที่บรรจงสลักเป็นรูปบุปผาอันงดงาม แสงจันทร์นั้นอาบไล้ใบหน้างามกระจ่างใส เส้นผมสีดำขลับสลวยราวกับไหมเรียบลื่นมือยามนี้ถูกปล่อยเป็นแผ่รองรับศีรษะกับหมอน ขับเน้นผิวขาวของใบหน้าให้ดูผ่องแผ้วมากขึ้น
เกอหลาง ยืนอยู่ข้างเตียงบรรทมของฟางเฟรินกุ้นเฟยนานแล้ว เพราะจิตใจที่ยากจะสงบได้พาเขาลักลอบเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ ทั้งเป็นห่วงหญิงคนรักถูกลอบวางยาพิษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งอยากรู้ว่าลูกในครรภ์ของนางที่เสียไปนั้นใช่ลูกเขาหรือไม่
การพบกันในครั้งก่อน นางทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน เมื่อเห็นนางวางตัวสูงส่งห่างเหินเช่นนั้นภายในใจเขายิ่งร้อนรุ่ม อยากรู้ว่าช่วงเวลาที่เขารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปจับกุมตระกูลชุนนอกวังหลวงเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเขากลับมาก็ได้ยินข่าวว่าพระสนมกุ้ยเฟยถูกลอบวางยาพิษ
หัวหน้าองครักษ์ยื่นมือออกไปช้า ๆ อยากจะสัมผัสพวงแก้มอุ่นนิ่มของนางอีกสักครา แต่เมื่อเสียงหนึ่งในสมองดังขึ้นว่า อีกไม่นานเทพธิดาในใจเขานางนี้กำลังจะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นแม่ของแผ่นดิน ฮองเฮาของใต้หล้า ฝ่ามือเขาก็ชะงักค้างกลางอากาศ บางทีการที่นางทำตัวแปลกไปอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ นางต้องการยุติความสัมพันธ์อันผิดศีลธรรมที่แอบซ่อนมานานนี้ !
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ