ตอนที่ 2
ไปด้วยกันไหม
“เธอ.. มองเห็นฉันเหรอ” ฉันขมวดคิ้วให้กับท่าทางที่แปลกใจของเขา
“เห็นซิทำไมจะไม่เห็นล่ะ” พร้อมทั้งย้ำคำพูดของตัวเองเข้าไป ผู้ชายคนนี้แปลกคนดีแท้
“เธอ.. เห็นฉันจริง ๆ เหรอ”
“นายนี่ก็แปลกคน! ฉันก็มองเห็นนายคุยกับนายอยู่นี่ไง มันแปลกยังไง” ด้วยความที่เป็นคนไม่ได้ใจดีและใจเย็นเท่าไหร่ ทำให้ฉันยืนขึ้นพร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างเท้าสะเอวจ้องมองเขาด้วยท่าทางหาเรื่อง
“ดีใจจัง.. จำไม่ได้แล้วว่าคุยกับมนุษย์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” เขาส่งยิ้มมาให้พร้อมดวงตาที่เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด สองเท้าเดินเข้าไปหาเขาให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“นายหนีออกจากบ้านเหรอ” เพราะท่าทางนี้ของเขามันทำให้ฉันรู้สึกเศร้ามากจริง ๆ และเขาเองก็ดูน่าสงสาร
“เปล่าครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมตอบเบา ๆ แต่ไอ้อาการเนิบนาบของเขานี่มันน่าโมโหชะมัดเลยแฮะ
“แล้วที่บอกว่าไม่ได้คุยกับคนมานานแล้วนี่หมายความว่าไงเหรอ” ช่างเป็นการพบหน้าที่ประหลาดเสียจริง แต่ที่ประหลาดกว่าการพบหน้ากลับเป็นฉันที่รู้สึกเหมือนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“ก็.. ไม่ได้คุยกับคนอื่นเลยนอกจากเจ้าตูบนี่”
“เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ! แล้วนี่นายไม่กลับบ้านเหรอฝนจะตกแล้วนะ” ฉันหันมองที่ด้านหลังก็พบว่าท้องฟ้ายังสว่างวาบด้วยสายฟ้าเป็นระยะ ลมที่พัดกรรโชกนั้นก็ยังพัดอยู่แบบนี้ไม่กี่ทีข้างหน้าฝนต้องตกลงมาแน่ ๆ
“ผมไม่มีบ้านให้กลับครับ” ฉันขมวดคิ้วให้กับคำตอบนั้นของเขา สองมือของเขายังคงลูบหัวเจ้ามูมู่ที่นั่งนิ่งหูตูบให้เขาลูบอย่างว่าง่าย
“คนเราก็ต้องมีบ้านสิ”
“ผมไม่รู้ว่าบ้านผมอยู่ที่ไหน” จากที่สังเกตทุกครั้งที่เขาพูดถึงบ้านจะมีสีหน้าที่เศร้าลงเป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะถามอะไรกลับไม่รู้ทั้งนั้นซึ่งมันแปลกมาก
“นายประสบอุบัติเหตุหรือเปล่าเนี่ย ไหนดูซิ! มีแผลตรงไหนมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” และความอดทนของคนมีจำกัด ฉันลุกขึ้นไปหวังจะเอื้อมมือไปสำรวจตามเนื้อตัว แต่กลับเป็นผู้ชายคนนี้ที่ถอยหลังออกห่างราวกับว่าเขากำลังตกใจทำให้มือของฉันชะงักค้างกลางอากาศ
“เอ่อ.. ไม่ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ” เขาที่น่าจะเห็นว่าฉันหน้าเหวอถึงได้เปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับมานั่งลูบเจ้าตูบเช่นเดิม
“โซย่า.. นายล่ะ” ก็ในเมื่อเขาไม่อยากให้แตะเนื้อต้องตัวฉันก็จะคิดว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน สองเท้าถอยหลังมาประมาณสองก้าว เก่อนจะนั่งลงยอง ๆ มองเขาอีกครั้ง
“จัสติน” เขาปรายตามามองนิดหน่อยแล้วหันไปสนใจเจ้าตูบที่บัดนี้นอนลงไปที่พื้นหงายท้องให้เขาเกาพุงเล่น
“แล้วนายจะนั่งตากฝนอยู่ตรงนี้เหรอ ไปหลบฝนที่บ้านคุณยายฉันก่อนไหมไม่ไกลหรอกถัดไปแค่สามซอยเอง”
“ผมไปได้เหรอ” เขาเงยหน้ามาจ้องฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับจนรู้สึกว่าสายตาของฉันกำลังถูกมนต์สะกดไปชั่วขณะ ในสมองมีแต่คำว่า 'หล่อ' เต็มไปหมด ก่อนจะได้สติแล้วสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านนั้นทิ้ง
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวไหม แต่ฉันเองรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหมด ร้อบวูบวาบที่ใบหน้าจนต้องลุกขึ้นมายืนจ้องเขาแทน
“ผมไปได้จริง ๆ เหรอ” แต่ผู้ชายคนนี้ยังคงพูดเรื่องอะไรที่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดี ก้แค่ไปหลบฝนที่บ้านมันจะต้องคิดมากขนาดนี้เลยหรือไงกันนะ
“ไปเถอะ! ลีลากว่านี้เราจะตากฝนแล้วนะ ป่ะ! มูมู่”
หงิง! หงิง~
ฉันเดินออกจากใต้ต้นไม้ต้นนั้นมาพร้อมกับมูมู่ที่ยังส่ายหางอารมณ์ดีไม่เลิก หันไปมองจัสตินก็เห็นว่าเขาลุกขึ้นยืนมองมาที่ฉันด้วยสายตาละห้อยจึงได้กวักมือเรียกอีกครั้ง เขายิ้มออกมาจนตาหยีพร้อมกันก้าวขาเดินตามฉันมาติด ๆ เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินมาถึงประตูรั้วไม้สีขาวซึ่งเป็นเขตบริเวณบ้านของคุณตา
ใช้มือผลักเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในบ้านสายตา หันไปมองจัสตินที่เดินตามเข้ามาในบ้านติด ๆ ด้วยท่าทางของคนที่ตื่นเต้น เราเดินเข้ามาจนถึงประตูหน้าบ้านที่ถัดไปดานข้างเป็นโต๊ะเก้าอี้ที่ทุกคนกำลังนั่งกินดื่มฉลองกันอยู่ เมื่อทุกคนเห็นฉันก็เรียกให้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยจึงก้าวเท้าเข้าไปหาทุกคน และในตอนที่กำลังจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับจัสติน เมื่อหันหลังกลับไปมองก็ต้องแปลกใจเพราะว่าไม่เห็นจัสตินยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“อ่าว! หายไปไหนแล้ว” ฉันวางแก้วน้ำอัดลมลงแล้วย้อนกลับมาสี่ห้าก้าว นอกจากไม่เห็นแม้แต่เงาเขาแล้วเดิมทีคิดว่าเขาอาจจะเดินตามเจ้าตูบมูมู่ไป แต่เมื่อกวาดสายตาไปมองที่บ้านหมาก็เห็นว่ามันกำลังนอนแทะกระดูกของเล่นอยู่
“อะไรหายเหรอโซย่า” คุณยายที่เดินถืออาหารมาวางที่โต๊ะถามขึ้นเมื่อท่านเห็นว่าสองเท้าฉันเดินไปเดินมาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง
“เมื่อกี้หนูพาผู้ชายน่าสงสารคนหนึ่งมาหลบฝนค่ะ” หลังจากที่พูดจทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่ลูกพี่ลูกน้องที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ที่นั่งเล่นเกมอยู่ที่เก้าอี้แยกอีกทาง
“ผู้ชายที่ไหนกันหลานยาย แถวนี้ห่างไกลบ้านคนจะมีใครมาแถวนี้ได้” คุณยายยิ้มให้ก่อนจะเดินมาลูบหัวฉันสองสามทีด้วยสายตาที่อบอุ่น
“เขาบอกว่าไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน แล้วฝนจะตกหนูก็เลยพามาที่บ้านค่ะ” คราวนี้เป็นคุณตาที่เดินมาแล้วยกมือมาลูบหัวฉันแทน แต่ว่าท่านไม่ได้พูดอะไรสักคำแล้วเดินกลับไปนั่งกับพ่อแม่และอา ๆ ต่อ
“สงสัยเขาหลอกหนูละมั้ง ช่างเขาเถอะ หนูไปนั่งทานข้าวได้แล้ว” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมดึงให้ฉันเดินตามมานั่งกินข้าวที่โต๊ะ
“แต่เขาดูไม่น่าจะนิสัยแบบนั้นเลยนะคะคุณยาย” ฉันยื่นมือไปรับจานข้าวมาจากคุณแม่แล้วหันไปคุยกับคุณยายที่ท่านนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเขาอาจจะกลับบ้านไปแล้ว คงเป็นคนในหมู่บ้านข้างหน้านั่นแหละ เรากินข้าวก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน” ท่านเอื้อมมือไปตักน่องไก่ทอดมาใส่จาน พร้อมทั้งเลื่อนถ้วยซุปกระดูก และอาหารอีกสองสามอย่างมาให้ใกล้ฉันมากขึ้น
“ค่ะคุณยาย” แม้ว่าจะเข้าใจแต่สายตาก็ยังคงกวาดหาจัสตินเป็นระยะ ทั้งที่เมื่อกี้เดินตามเข้ามาถึงหน้าบ้านแล้วแท้ ๆ และเมื่อมองยังไงก็ไม่เจอฉันเลยเปลี่ยนใจมานั่งทานแทน บนโต๊ะนี้มีเพียงแค่ฉันนและคุณยายที่ทานอาหารกันไปพูดคุยกันไป เพราะส่วนมากจะอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ที่กำลังดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์กันมากกว่า
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปดึกพอสมควร จึงขอตัวกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อนจะได้อาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่าน้องชายที่ห่างกันเพียง 2 ปีนั้นยืนกอดหมอนกับผ้าห่มเดินออกมาจากห้องนอนของเขา
“พี่โซย่า” ฉันยกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แต่เขากลับไม่ตอบ สองเท้านั้นเดินมาหาฉันด้วยท่าทางประหม่า
“ว่าไงฟอร์ซมีอะไรเหรอ” เพราะท่าทางนี้ของเขามันดูไปกติเลยสักนิด ฉันถึงได้หันไปถามเขาอีกครั้ง
“ผมขอนอนด้วยได้ไหม” ฉันปล่อยมือออกจากลูกบิดทันทีก่อนจะหันไปจ้องหน้าของน้องชายด้วยความแปลกใจ
“วันนี้มาแปลกนะเราอะ มีอะไรทำไมจู่ ๆ อยากมานอนกับพี่ละ”
“ทำไม! หรือว่าพี่โตเป็นสาวแล้วนอนกับน้องไม่ได้” เด็กผู้ชายตรงหน้ากระชับอ้อมแขนที่กอดหมอและผ้าห่มแน่นขึ้นพร้อมกับเชิดหน้าเชิดตาถามจนเป็นภาพตลกที่หาได้ยาก เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมาจนฉันอายุสิบสองปี เจ้าเด็กคนนี้ไม่ค่อยแสดงอาการแบบนี้สักเท่าไหร่
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ พี่ก็แค่สงสัยไง” ฉันส่ายหัวให้กับท่าทางเอาเรื่องของน้องชาย ก่อนจะหันมาเปิดประตูห้องนอนที่คุณยายสร้างไว้ให้ และทันทีที่ประตูเปิดออก เจ้าน้องชายตัวดีก็รีบพุ่งเข้าไปด้านใน
“นอนด้วยนะ” ฟอร์ซพูดเร็ว ๆ ก่อนจะพุ่งตัวไปบนเตียงนอนสีชมพูนั้น
“ก็นอนสิ! พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ฉันเดินเข้ามาในห้องแล้วตรงไปหยิบชุดนอนเตรียมจะเดินเข้าไปอาบน้ำ ก็ต้องชะงักอยู่กับที่เพราะคำพูดแปลก ๆ ขอน้องชาย
“พี่โซย่า พี่เจอเขาแล้วใช่ไหม”
ตอนพิเศษที่ 3แรกพบแห่งสรวงสวรรค์สวรรค์ชั้นเก้าถูกอาบไล้ด้วยแสงสีทองระยิบระยับ ผืนป่าศักดิ์สิทธิ์ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้สูงตระหง่านผลิดอกออกผลเป็นอัญมณีหลากสี กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม ทุกสิ่งทุกอย่างดูสงบเงียบและงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือเทพเจ้าท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด จัสตินเทพผู้พิทักษ์แห่งแสงเดินทอดน่องไปตามแนวต้นไม้ ดวงตาสีทองของเขาสะท้อนแสงระยิบระยับพลางทอดมองวิวทิวทัศน์โดยรอบ แต่แล้วเสียงน้ำที่กระเพื่อมเบา ๆ กลับดึงดูดความสนใจของเขาชายหนุ่มรูปงามชะงักฝีเท้า ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เรือนผมสีเงินละสายตาจากผืนฟ้าลงมายังลำธารศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลผ่านใจกลางป่าและที่นั่นเองที่เขาเห็นเธอโซย่า เทพีแห่งสายลมกำลังเล่นน้ำอยู่กลางลำธาร เรือนผมสีน้ำเงินครามของเธอสะท้อนประกายแสงจันทร์ นางเอนกายอยู่กลางผืนน้ำดวงหน้างดงามราวรูปสลัก ผิวกายขาวเนียนเปลือยเปล่าแหวกว่ายอยู่ในกระแสน้ำใส ม่านละอองน้ำที่ลอยฟุ้งยิ่งขับให้เธอดูงดงามราวกับนางอัปสรจากสรวงสวรรค์จัสตินยืนนิ่งอยู่หลังแนวต้นไม้ร่างกายแข็งทื่อราวต้องมนตร์ ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้ เทพีแห่งสา
ตอนพิเศษที่ 2สูญสลายกลายเป็นเพียงหมอกดวงตาคมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บนสถานที่ที่แสนจะน่าเบื่อแห่งนี้ ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะสวยสดงดงามราวกับว่าไม่มีอยู่จริงแต่มันก็แค่เปลือกนอก เขามองเห็นสายตาของเหล่าเทพีขั้นต้นมองตรงไปที่เขาด้วยท่าทางประหม่ามือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ยังรื้นอยู่บริเวณหางตาออก ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ ดั่งคนที่ปลงตก"แองเจล่า" จัสตินเพียงแค่เอ่ยเรียกเบา ๆ แต่เสียงที่ออกมานั้นกลับก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องโถงแห่งนี้"เจ้าค่ะ" สตรีผู้หนึ่งในกลุ่มเทพีด้านล่างเดินออกมาด้านหน้าสามก้าว ทำความเคารพแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นนาย เธอมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉยไม่ได้รู้สึกประหม่าหรือกังวลเช่นผู้อื่นภาพความทรงจำทั้งหมดไหลเข้ามาในความทรงจำ ทำให้เขารู้ว่าความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง.. ซึ่งมันไม่ใช่ความฝันครั้งแรก มันเคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน"นี่เวลาใดแล้ว" เขายืดตัวตรงขยับเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ใช้สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของสตรีด้านล่าง"ค่ำแล้วเจ้าค่ะ" แองเจล่าเอ่ยตอบเขาเพียงเท่านั้น จัสตินได้พยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินลงมาจากบัลลังก์ ทุกย่างก้าวของเ
ตอนพิเศษที่ 1แหลกสลาย"คุณห้ามบอกเรื่องนี้กับลูกนะ" เสียงของผู้เป็นเจ้าของบ้านดังออกมาจากด้านในห้อง"เราจะทำยังไงกันดีคะ" นอกจากนั้นยังมีเสียงของคู่ชีวิตที่ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวพร้อมทั้งเรือนผมสีเงินคราม กำลังยืนฟังทั้งสองอยู่ด้านนอกประตูบานนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมพวกท่านถึงดูมีความกังวลเช่นนี้ มิหนำซ้ำสิ่งที่เขาได้ยินต้องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เขารู้เป็นแน่"นายท่านคิดอะไรอยู่งั้นเหรอเจ้าคะ" เสียงของสตรีผู้หนึ่งที่ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนักดังขึ้นจากทางด้านหลัง ใบหน้าของเธองดงามราวกับสาวน้อยวัยแรกรุ่น"ทำไมคุณถึงมาอีกแล้ว" จัสตินเอ่ยถามสตรีท่านนี้ด้วยน้ำเสียงเอือมระอา แต่คนที่ถูกกระทำท่าทางเช่นนั้นใส่กลับไม่ได้ถือสาท่าทางของเขา"ข้าน้อยเพียงแค่อยากจะพาท่านไปท่องเที่ยวอีกครา หากท่องเที่ยวครานี้ลุล่วงนายท่านจะได้สมปรารถนาที่รอมาห้าร้อยปี" เธอยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดังเดิม แองเจล่าเธอมาในรูปลักษณ์ของมนุษย์ผู้หนึ่ง เพียงแต่ทุกย่างก้าวของเธอจะพิเศษและแปลกกว่าผู้อื่นเสมอ"ทำไมต้องเป็นผม" เพราะเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาเป็นดั่งละ
ตอนที่ 13ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ.. คุณก็จะเป็นของผมตลอดไปผมรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังล่องลอยอีกครั้ง ภาพสีขาวสว่างวาบราวกับแสงของสปอตไลต์ รอบตัวผมค่อย ๆ ปรากฏก้อนความทรงจำกลม ๆ รอบกาย ผมมองเห็นเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนนี้ มองเห็นเด็กมัธยมปลายที่จูงหมาตัวอ้วนมาคุยกับผม เห็นพี่น้องคู่หนึ่งที่ชวนผมไปอยู่ด้วย ตอนนี้ผมจำได้ทุกอย่าง ผมเห็นภาพของตัวเองที่แอบไปนอนกับเธอบนเตียงเป็นประจำ ภาพของตัวเองที่แอบขโมยหอมหน้าผากเธอเวลาหลับบ่อย ๆ และความทรงจำทั้งหมดนั้นกำลังไหลเข้ามาในหัวของผมอย่างรวดเร็วติ๊ด~ ติ๊ด~ ติ๊ด~ ผมลืมตาขึ้นมามันช่างเป็นเหมือนภาพเดจาวูเหลือเกิน สภาพห้องในโรงพยาบาลที่คุ้นเคย เสียงเครื่องมือแพทย์ที่ได้ยินประจำ ผมกวาดตามองรอบ ๆ เห็นโซย่านอนอยู่ที่ข้างเตียง เธอไม่ใช่เด็ก 5 ขวบคนนั้น แต่เป็นโซย่าที่ผมรู้จัก ผมมองใบหน้าของเธอนิ่งก่อนจะค่อย ๆ ยกมือมาเกลี่ยเส้นผมของเธอออกอย่างเบามือที่สุด"จัสติน! ฟื้นแล้วเหรอ" แต่ไม่รู้ว่าคำว่าเบา ๆ ของผมจะหนักไปหรือเปล่า เพราะเธอเด้งตัวตื่นมาทันทีที่นิ้วผมสัมผัส ผมยิ้มให้เธอบาง ๆ ก่อนจะมองตามเธอที่เดินไปกดเรียกพยาบาล แต่แล้วสายตาของผมก็ต้องสะดุดกับสิ่งหนึ
ตอนที่ 12เธอเป็นของผม"แม่คิดมาตลอดว่าอาจจะไม่ได้เห็นลูกตื่นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ก็อ้อนวอนต่อพระเจ้ามาตลอดในที่สุด.. ลูกของแม่ก็ตื่นขึ้นมาสักที" คุณแม่พูดไปน้ำตาของท่านก็ไหลไป ผมเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ท่านก่อนจะส่งยิ้มบาง ๆ ไปให้"ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ลำบากแม่แล้วนะครับ" ท่านส่ายหน้าส่งมาให้พร้อมทั้งใช้มือลูบหัวผมเบา ๆ แอ๊ด~ เราสองคนหันไปทางประตู พบว่าคุณอาทั้งสองนั้นเดินเข้ามาพร้อมของเยี่ยมและรอยยิ้ม สายตาของผมมองเลยไปทางด้านหลังอย่างมีความหวังแต่กลับต้องเศร้าลงเพราะไม่มีใครอื่นนอกจากท่านทั้งสองคน"จัสตินเป็นยังไงบ้าง" คุณอาผู้หญิงเดินมาถามผมอย่างเช่นทุกครั้ง จากที่ผมสงสัยมานานว่าท่านคือใครในตอนนี้พอได้รับรู้ผมกลับรู้สึกผิดต่อพวกท่านเป็นอย่างมาก "อาโซเฟียครับ.. ผมขอโทษด้วยนะครับเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้น" แม้ว่ามันจะผ่านมานานแต่พอรู้ว่าครอบครัวเราเป็นคนที่ทำให้พวกท่านลำบาก ผมกลับรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ สองมือยกขึ้นไหว้ทั้งสองพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า พวกท่านมีท่าทางงงเล็กน้อยแต่ก็ยังเดินมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน"อุบัติเหตุไม่มีใครถูกใครผิด อาเองก็ไม่รู้ว่าหนูนอนอยู่ที่นี่มาถึง 10 ปี หากวันนั้นคุณอาม
ตอนที่ 11พบกันอีกแล้วนะหลังจากที่พูดคุยกับฟอร์ซจนรู้เรื่องแล้ววันรุ่งขึ้นฉันก็มุ่งหน้ามาที่โรงพยาบาลทันที สองเท้าหยุดมองป้ายของโรงพยาบาล ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในตามตึกที่ฟอร์ซบอก สองเท้าเดินขึ้นมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพิเศษในมือถือกระเช้าผลไม้และของกินอีกสามสี่อย่าง ดวงตากลมโตจ้องมองป้ายชื่อของคนไข้ความรู้สึกตื่นเต้นจนเหงื่อเริ่มซึมที่ฝ่ามือ ฉันยืนจ้องอยู่ที่หน้าประตูอยู่นาน ใจหนึ่งก็อยากเปิดเข้าไปด้านในอีกใจก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน แอ๊ด~ แต่ยังไม่ทันที่ฉันนั้นจะได้ถกเถียงกับตัวเองจนจบประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออก พร้อมกับพยาบาลในชุดขาวที่เดินเข็นรถผู้ป่วยออกมา สายตาของเราสองคนจ้องมองกันใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ในเวลานี้ร่างกายของเขานี้ดูซูบผอมกว่าตอนเป็นวิญญาณไปเสียหน่อย ฉันส่งยิ้มให้กับจัสตินบาง ๆ ด้วยความดีใจ"พบกันอีกแล้วนะ" ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยคำพูดนั้น ///ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงด้านหน้านี้คือใคร แต่ใบหน้าของเธอช่างคุ้นเคยเสียจริง ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังตื่นเต้นจนพองโตราวกับว่ามันเจอสิ่งที่รอคอย"พบกันอีกแล้วนะ" เธอเอ่ยมาเพียงแค่ห้าคำแต่กลับทำให