เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส

เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส

last updateLast Updated : 2025-12-14
By:  ฉินหลานฮุยUpdated just now
Language: Thai
goodnovel18goodnovel
Not enough ratings
77Chapters
1.3Kviews
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

หมิว นักศึกษาสาวที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิด จนวิญญาณทะลุมิติแห่งกาลเวลา ไปอยู่ในร่างขององค์หญิงวิปลาส ชีวิตในยุคที่ไม่เหมือนเดิมจะเป็นอย่างไรมาลุ้น

View More

Chapter 1

บทนำ วันสุดท้าย

แจวมาแจวจ่ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจวว...

เจ้ามา จากเมืองขอนแก่น หรือว่ามาจากแดน อุดรฯ กาฬสินธ์ หนองคาย บุรีรัมย์ เลย สุรินทร์...

มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ ขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ในครัว...

จากอีสานบ้านนา มาอยู่กรุง. จากเมืองทุ่งลุยลาย. ชัยภูมิบ้านเดิม ถิ่นเกิดไกล. บ่ได้หมายจากจร...

เสียงเพียงเชียร์ที่ดังเกือบตลอดสองข้างตาคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยทำให้ผู้คน นักศึกษาทุกระดับชั้นรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นในทุกปีเมื่อเปิดภาคเรียนที่สอง จะเห็นเหล่านิสิตนักศึกของแต่ละคณะรวมกันซ้อมเชียร์ซ้อมกีฬา ถึงจะเป็นกีฬาที่แข่งขันกันภายในมหาวิทยาลัย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อนอยู่แล้ว

แต่สำหรับ หมิว หรือ เปรมมิกา แซ่ลิ้ม นักศึกษาชั้นปีที่สี่ สาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากล เทอมสุดท้าย เขาไม่มีเวลามาร่วมสนุกกับกีฬาสีหรอกเพราะงานวิจัยอันแสนโหดรอเขาอยู่ ขนาดก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์หมิวและเพื่อนทั้งสาขาได้มาพบอาทิตย์หน้าเพื่อฟังแนวทางการทำงานวิจัย แค่ฟังยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกมากมายยังแทบปวดหัว นี้เปิดเทอมมาสองเดือนกว่างานวิจัยยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย วันนี้สงสัยคงต้องกลับหอพักดึกอีกตามเคย

หมิวเป็นครอบครัวนั้นอยู่กรุงเทพแต่ดันสอบติดที่จังหวัดขอนแก่นบ้านเกิดของแม่ จึงทำให้หมิวของมาเรียนที่ขอนแก่นโดยการเช่าหอพักอยู่นอกมหาวิทยาลัย เพราะบ้านเดิมของคุณแม่นั้นอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเกือบหนึ่งร้อยกิโล เพื่อความปลอดภัยคุณพ่อคุณแม่จึงให้เช่าหอใกล้มหาลัยดีกว่าจะได้เดินทางสะดวก

ในห้องสมุดเงียบงันเสียงเข็มนาฬิกาดัง “ติ๊ก...ต่อก” สม่ำเสมอเป็นจังหวะเดียวกับเสียงปลายปากกาที่ขยับไปมาบนกระดาษ หมิวนั่งก้มหน้าอยู่ท่ามกลางกองหนังสือสูงเกือบถึงไหล่ แสงไฟสีอุ่นจากโคมตั้งโต๊ะส่องกระทบกรอบแว่น ทำให้เธอต้องยกมือดันขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพลิกหน้าหนังสือเก่าที่ขอบกระดาษเริ่มเหลือง

"ราชวงศ์เว่ย...ปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลฮ่องเต้จิ้งอู่..." หมิว

เธอพึมพำตามตัวอักษร พลางขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญด้วยปากกาไฮไลต์สีทองอ่อน รอบตัวมีแต่กลิ่นกระดาษเก่าและเสียงพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ แต่ในหัวของหมิวกลับเต็มไปด้วยภาพเมืองหลวงโบราณ กำแพงสูงใหญ่และชุดขุนนางในสมัยนั้น เธอหลับตาเพียงชั่วครู่เหมือนภาพในจินตนาการกำลังชัดเจนขึ้นถนนปูด้วยอิฐหิน เสียงฆ้องแตรในยามรุ่งสางและชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำทองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกยามเช้า

เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถอนหายใจเบา ๆ

"ถ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงดี..." หมิว

เสียงพึมพำนั้นแทบจะกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัว หมิวก้มหน้ากลับมาที่หน้ากระดาษ เขียนต่อด้วยลายมือเรียบเรียงประโยคอย่างตั้งใจ โครงสร้างการปกครองของราชวงศ์เว่ยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านระหว่างอำนาจทหารและขุนนางราชสำนัก...

เวลาค่อย ๆ ผ่านไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว จนกระทั่งแสงจากหน้าต่างเริ่มกลายเป็นสีส้มของอาทิตย์ตก หมิวขยับแว่นอีกครั้ง ยืดแขนออกเหนือหัว พลางมองร่างตัวเองสะท้อนในกระจกหน้าต่าง รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เพราะเธอรู้ดีว่าวันนี้งานวิจัยของเธอขยับเข้าใกล้ความจริงของราชวงศ์เว่ยอีกหนึ่งก้าว

ลมฤดูหนาวพัดผ่านหน้าเข้ามาในห้องเย็นเฉียบจนหมิวต้องรูดซิปเสื้อคลุมขึ้นสูง พลางมองนาฬิกาบนข้อมือเกือบห้าทุ่มแล้ว ห้องสมุดปิดไปนานแต่เธอยังมัวจัดเอกสารงานวิจัยอยู่จนลืมเวลา ไฟตามข้างถนนส่องแสงสลัวเป็นจุด ๆ เมื่อเธอสวมหมวกกันน็อกขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่หมิวจะค่อย ๆ เคลื่อนออกจากลานจอด ผ่านถนนที่แทบไม่มีรถสัญจร

เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านหมวกกันน็อก ขณะที่รถค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น สะพานข้ามแม่น้ำอยู่ไม่ไกล ข้างล่างนั้นน้ำดำขลับสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวับวาวราวกับแผ่นกระจก หมิวสูดหายใจลึก มองเส้นขอบฟ้าที่มีแสงไฟจากอีกฝั่งสะพาน อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว... เธอคิดในใจ ทว่าทันใดนั้น...

**วาบ!**

เงาบางอย่างตัดผ่านสายตาคล้ายคนยืนอยู่กลางสะพาน เธอสะดุ้งตาเบิกกว้างรีบหักหลบโดยสัญชาตญาณ เสียงล้อเสียดกับพื้นถนนดัง “ครืด!” รถเสียหลักหมุนคว้างร่างของหมิวถูกเหวี่ยงออกจากตัวรถ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินจะตั้งตัว เสียงโลหะกระแทกกับราวสะพานตามมาด้วยเสียง “ตูม!” ดังสะท้อนก้องในความเงียบของค่ำคืน

น้ำเย็นจัดโอบร่างเธอไว้ทันที แสงไฟเหนือสะพานพร่ามัวลงในสายตาที่เริ่มหนักอึ้ง เธอพยายามจะขยับมือ แต่แรงหมดไปทีละน้อย ลมหายใจสุดท้ายแผ่วเบาก่อนทุกอย่างจะดับวูบเข้าสู่ความมืดสนิท บนสะพานเหลือเพียงหมวกกันน็อกที่กลิ้งอยู่กับพื้น เปื้อนรอยขีดข่วนและเสียงเครื่องยนต์ที่ยังติดค้างครืดคราดเบา ๆ ราวกับไม่รู้เลยว่าเจ้าของของมันจะไม่มีวันกลับมาสตาร์ตอีก

ในอีกห้วงเวลาเดียวกันแต่เป็นอีกโลกที่แตกต่างกัน มีร่างของหญิงสาวอยู่ในชุดสูงศักดิ์นอนหายใจโรยรินสีแต่สีหน้าแล้วแววตาเต็มไปด้วยความแค้น ความผิดหวังและความเสียใจ ก่อนหน้านี้องค์หญิงถูกจับไปกดน้ำและทรมาน แต่ก็ยังไม่ตายจนถูกนำมาทิ้งไว้ที่ตำหนักเย็น คนที่จับตัวไปปกปิดใบหน้าจึงไม่ทราบได้ว่าใครต้องการฆ่าองค์หญิงกันแน่

ภายในตำหนักเย็นอันเงียบงัน แสงจันทร์ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำแสงสีเงิน องค์หญิงหลิงเซียงเอนกายอยู่บนตั่งเย็นเฉียบ ผ้าห่มบาง ๆ แทบไม่อาจต้านลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาจากทุกทิศ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นหน้าประตู ก่อนเงาสองสามเงาจะปรากฏขึ้นในความมืด หลิงเซียงขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อย “ใครกัน” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ มือเย็นจัดของใครบางคนก็จับแขนเธอไว้แน่น

"ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา...ให้ทรงพักผ่อนอย่างสงบ"

เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นองค์หญิงเบิกตากว้าง แต่ยังไม่ทันได้เรียกขอความช่วยเหลือ แก้วเล็ก ๆ ก็ถูกยกขึ้นมาใกล้ริมฝีปากของเธอ กลิ่นขมแปลบแตะปลายจมูก ก่อนสติของเธอจะค่อย ๆ เลือนหายไป แสงจันทร์ยังคงส่องสว่างเหนือพื้นหิมะหน้าตำหนัก เมื่อทุกอย่างสงบลงเงาเหล่านั้นจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งเพียงร่างบางที่เอนพิงอยู่ข้างตั่ง ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับหลับใหล

รุ่งเช้า ข่าวจากตำหนักเย็นแพร่ไปทั่ววังหลวง

"องค์หญิงหลิงเซียงสิ้นพระชนม์แล้ว... ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ในค่ำคืนที่ผ่านมา"

ข้ารับใช้พากันร่ำไห้ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงความจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่านเย็นเยียบแห่งนั้น เพราะในวังหลวง… ความตายขององค์หญิงถูกเขียนไว้เพียงว่าทรงตรอมใจ จึงปลิดชีพเอง ทว่าในสายลมที่พัดผ่านตำหนักเย็นในคืนนั้ยังคงมีเสียงแผ่วเบาราวกับคำสาบานสุดท้ายของนาง

"ความจริง...จะไม่ถูกฝังไปพร้อมข้า..." หลิงเซียง

สายหมอกยามรุ่งอรุณคลี่คลุมทั่วตำหนักเย็นแสงแรกของวันส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ บนพื้นยังมีรอยน้ำค้างเกาะบาง ๆ เสียงนกร้องแว่วเบา แต่ภายในตำหนักกลับยังคงเงียบงัน มีเพียงหมอที่ได้รับหน้าที่มาตรวจดูร่างอันไร้วิญญาณขององค์หญิงเพียงสองคนเท่านั้น ส่วนคนสนิทขององค์หญิงทุกคนถูกกันไม่ให้เข้ามา

บนตั่งเย็นที่เคยสิ้นชีพไปแล้วนั้นริมฝีปากขององค์หญิงหลิงเซียงขยับน้อย ๆ ก่อนนิ้วมือขาวซีดจะกระตุกเบา ๆ

"อื้อ..."

เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมกับลมหายใจที่กลับคืนมาอีกครั้ง หญิงสาวลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงจันทร์ที่ยังค้างอยู่ครึ่งฟ้า แต่ในแววนั้นไม่มีร่องรอยขององค์หญิงหลิงเซียงคนเดิม ทำเอาหมอสองคนที่ตรวจร่างองค์หญิงอยู่ตื่นตกใจจนวิ่งหนีออกจากตำหนักเย็นไปทันที

หมิวนักศึกษาที่จากไปอย่างกะทันหันกลางสะพานในอีกโลกหนึ่ง เธอกะพริบตาอย่างมึนงงมองรอบห้องแปลกตาที่เต็มไปด้วยข้าวของโบราณ

"นี่...ที่ไหนกัน"

เสียงเธอสั่นเธอพยายามยันตัวขึ้น แต่ร่างกายอ่อนแรงราวกับไม่ใช่ของตน เธอมองเห็นเงาตัวเองในกระจกทองเหลืองใกล้ตั่ง ใบหน้างดงามอ่อนช้อย ดวงตาเรียวยาว เครื่องแต่งกายหรูหราราวกับภาพในหนังจีนโบราณ

"นี่มัน...อะไรเนี่ย"

ความทรงจำมากมายแปลบเข้ามาในหัว ภาพตำหนัก วังหลวง ข้ารับใช้ และเสียงเรียกขานว่า องค์หญิงหลิงเซียง หมิวกุมขมับรู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของนางกำนัลสองคนดังขึ้นหน้าประตู

"ท่านหมอหลวง! องค์หญิงทรง...ฟื้นแล้วเพคะ!"

เสียงร้องตกใจดังขึ้นทั่วตำหนักเย็น ขณะที่หมิวในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงยังนั่งนิ่ง มองมือตัวเองด้วยความสับสนระคนตกใจ เธอไม่รู้เลยว่าการฟื้นคืนชีพครั้งนี้จะพาเธอเข้าสู่ชะตากรรมใหม่ที่เต็มไปด้วย ปริศนา การแก้แค้น และความรักที่ไม่อาจหลีกหนีได้

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters
No Comments
77 Chapters
บทที่ 1 โลกใบใหม่
หมิวที่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงได้สามวันแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าองค์หญิงหลิงเซียงเป็นบุตรลำดับที่เก้าของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน และเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้ที่เกิดจากอดีตฮองเฮาหลินเจิน องค์หญิงหลิงเซียงไม่มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ด้วยความที่เป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว จึงไม่ค่อยสนิทกับบรรดาพระเชษฐาเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่ที่เหล่าลูกชายลูกสาวเหล่าขุนนางตระกูลใหม่มักเข้าหาองค์หญิง ก็เพราะท่านตาขององค์หญิงคือท่านแม่ทัพใหญ่ของกองทัพแคว้นเว่ยและผู้นำตระกูลเกาคนปัจจุบัน ตระกูลถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากจนใคร ๆ ก็ยำเกรงด้วยความที่เป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวและยังประสูติจากฮองเฮา จึงทำให้เป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้หลงเฉิน ฮองเฮาเองก็ทรงรักองค์หญิงมาก จนกลัวในอนาคตหากพระมารดาและพระบิดาไม่อยู่แล้ว จะได้รับอนาคตจากเหล่าผู้คนที่ไม่หวังดี และไม่อยากให้ธิดาเพียงคนเดียวต้องมาต้องในวังวนของความแกร่งแย่งชิงดี จึงทูลขออดีตฮ่องเต้สร้างตำหนักส่วนพระองค์ไว้นอกกำแพงวังหลวง มีเพียงประตูขนาดสองคนเดินได้เป็นทางเชื่อมเท่านั้น พอเริ่มโตขึ้นจนอายุได้สิบขวบหนาวองค์หญิงก็เริ่มมีพฤติกรรมแป
last updateLast Updated : 2025-10-28
Read more
บทที่ 2 อาหารจานแรกในโลกใหม่
เมื่อทำใจยอมรับที่จะอยู่ในฐานะองค์หญิงหลิงเซียงได้แล้ว สิ่งแรกที่ทำคือตรวจดูทรัพย์สินมีค้าว่าพอที่จะนำไปขายหรือมีเงินอยู่บ้างไหม เพราะเขาจะนำไปซื้อที่ดินเก็บไว้สักหน่อย เนื่องจากตั้งใจจะออกจากวังแล้วต้องมีกิจการเป็นของตัวเองเพื่อเลี้ยงชีพสักหน่อย ไหนจะผู้ติดตามอีกหลายคน ตั้งใจแล้วว่าจะเปิดเหลาอาหาร เพราะอาชีพเดิมที่บ้านแซ่ลิ้มในโลกเดิมนั้น พ่อแม่เขาเปิดร้านอาหารและขายดีมากจนขยายสาขาไปถึงห้าสาขาแล้ว เมนูส่วนใหญ่จะเป็นสูตรอาหารไทยจากคุณยายที่เคยทำงานในวังมาก่อน และยังมีสูตรอาหารจีนจากบ้านคุณพ่ออีกด้วย ซึ่งเขาเองก็เคยช่วยงานในครัวเป็นประจำจนจำสูตรได้ทั้งหมด ขนมไทยก็ยังทำได้จนเพื่อนหลายคนในสาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากลเคยถามว่า ทำอาหารอร่อยขนาดนี้ทำไมไม่เรียนคหกรรม แต่เขาชอบประวัติศาสตร์และสาขาที่เรียนยังได้เรียนประวัติศาสตร์ของจีนอีกด้วย แสงจันทร์รินผ่านช่องหน้าต่างไม้ลายฉลุ ส่องต้องฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งในอากาศ ภายในห้องลับของตำหนักไฉ่หงเงียบงันราวกับเวลาหยุดหมุน เสียงฝีเท้าเบา ๆ สามคู่ก้าวเข้ามาทีละก้าว องค์หญิงหลิงเซียงถือโคมไฟกระจกทรงกลมไว้ในมือ แสงส้มอ่อนสะท้อนเงาเรียวยาวบนพื้นหินเย็น
last updateLast Updated : 2025-10-28
Read more
บทที่ 3 โดนเรียกตัวเข้าเฝ้า
เช้าวันนั้นในตำหนักไฉ่หง อากาศสดชื่นหลังสายหมอกจาง ๆ ลอยเหนือสระน้ำ เสียงนกเล็กเจื้อยแจ้วบนต้นเหมยกลายเป็นบทดนตรีอ่อนโยนของยามเช้า องค์หญิงหลิงเซียงเสด็จออกมาจากครัวเล็กด้านหลังตำหนักด้วยถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ในมือ กลิ่นหอมของหมูสับและเห็ดหอมลอยอบอวลจนทุกคนที่อยู่ในลานต้องหันมามองไป๋กงกงกับหม่ากูกู ผู้เคยรับใช้อดีตฮองเฮานั่งอยู่ใต้ศาลาไม้ รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของทั้งคู่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจและความคิดถึงในวันเก่า ๆ ที่ยังเคยอยู่ในวัง เสี่ยวถังจื่อกับเสี่ยวผิงจื่อ ขันทีหนุ่มทั้งสองช่วยกันจัดชามและตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว ส่วนซินเหมยกับจูซิงนางกำนัลรุ่นเยาว์ ก็ตักโจ๊กร้อน ๆ แจกจ่ายด้วยใบหน้ายิ้มละไม เมื่อทุกคนได้ชิมต่างก็ส่งเสียงชมไม่ขาดปาก"โอ้...กลิ่นหอมชวนกินแท้ ๆ เพค่ะ" หม่ากูกู"เนื้อหมูนุ่มละลายในปาก เห็ดหอมก็หั่นบางได้พอดีคำ ฝีมือองค์หญิงยอดเยี่ยมจริง ๆ พะย่ะค่ะ" ไป๋กงกงหม่ากูกูพูดพลางยิ้มตาหยี ส่วนไป๋กงกงเอ่ยพร้อมพยักหน้าอย่างชื่นชม ขันทีหนุ่มทั้งสองก้มหน้าซดโจ๊กร้อน ๆ ด้วยความพึงพอใจ ส่วนซินเหมยกับจูซิงหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเฟิงหวงองครักษ์เงาผู้เย็นชา ยกช้อนขึ้นอย่างลังเลแต่สุดท้ายเมื
last updateLast Updated : 2025-11-01
Read more
บทที่ 4 ฮ่องเต้จิ้งอู่
ตำหนักเฉียนชิงกงศูนย์กลางแห่งอำนาจสูงสุดของแผ่นดินต้าหลิง เป็นที่ประทับของฮ่องเต้จิ้งอู่ผู้ทรงอำนาจและเยือกเย็น ตั้งอยู่ลึกที่สุดภายในเขตพระราชวังชั้นใน ตัวตำหนักหันหน้าไปทางทิศใต้หลังพิงภูเขามองออกไปเห็นแนวหลังคาพระตำหนักน้อยใหญ่เรียงลดหลั่นลงไปจนสุดกำแพงวัง หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองอร่าม สัญลักษณ์แห่งราชันย์ผู้เป็นศูนย์กลางฟ้าและดิน เมื่อแสงอาทิตย์ยามรุ่งสาดต้อง กระเบื้องเหล่านั้นสะท้อนแสงวับวาวราวเปลวเพลิงแห่งบัลลังก์หน้าตำหนักมีลานหินอ่อนกว้างใหญ่เรียงด้วยหินขาวจากภูผาหลวง เสาหินมังกรแกะสลักสองข้างประตูยืนตระหง่าน เงามังกรพันเกลียวดูราวกับจะทะยานขึ้นสู่เมฆทุกครั้งที่ลมพัด พื้นลานถูกขัดจนสะอาดสะท้อนเงาเมฆบนฟ้าได้ชัดราวกระจกภายในตำหนักกลิ่นกำยานจันทน์หอมอ่อนลอยอบอวล แสงไฟจากโคมทองส่องสว่างอบอุ่นแต่ไม่จ้า ผ้าม่านไหมสีเลือดนกพับระย้าอยู่เหนือบัลลังก์มังกร ซึ่งแกะจากไม้จันทน์แดงชิ้นเดียวทั้งแท่ง ลวดลายมังกรเก้าองค์พันรอบพนักบัลลังก์ ดวงตาแต่ละตาคมกริบราวกำลังจ้องผู้มาเข้าเฝ้าพื้นตำหนักปูด้วยไม้หอมที่ขัดจนเงามันเรียบสนิท ด้านหลังบัลลังก์เป็นฉากจิตรกรรมภูผาและทะเลเมฆ เขียนด้
last updateLast Updated : 2025-11-01
Read more
บทที่ 5 เริ่มสืบหาความจริง
องค์หญิงหลิงเซียงเสด็จกลับจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้จิ้งอู่ พระทัยกลับคลางแคลงมิอาจสงบ ดุจมีบางสิ่งปิดบังอยู่ในเงามืด มิแน่ว่าฮ่องเต้จะเป็นผู้ทำร้ายพระองค์ดังที่เคยเข้าใจภายในตำหนักไฉ่หง แสงตะเกียงนวลอ่อนส่องต้องผนังหยกขาว เงาไม้พลิ้วตามแรงลมเย็นของยามค่ำ หม่ากูกูยกถาดชาจากเตาร้อนวางลงอย่างเงียบงัน พลางเหลือบสายตาไปยังองค์หญิงผู้ยังนิ่งเงียบอยู่ริมหน้าต่าง“องค์หญิงเพคะ ทรงอย่าทรงกังวลนักเลยพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกงไป๋กงกงเอ่ยเสียงแผ่วพลางค้อมศีรษะ “ฝ่าบาททรงมีพระท่าทีต่างไปจากเดิมก็จริง แต่หม่อมฉันเกรงว่า…เบื้องหลังอาจมีผู้ใดปั้นเรื่องใส่ร้าย” ไป๋กงกงองค์หญิงทอดพระเนตรลงในถ้วยชา น้ำสีอำพันสะท้อนภาพพระพักตร์อันหม่นเศร้า“ไป๋กงกงเห็นเช่นนั้นหรือ… หากเป็นจริง เช่นนั้นผู้ใดกันเล่าที่อยู่เบื้องหลังการทำร้ายข้า” หลิงเซียงซินเหมยกับจูซิง นางกำนัลรุ่นเยาว์ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง สีหน้าสั่นไหวด้วยความกังวล“กระหม่อมกับเฟิงหวงตรวจตรารอบตำหนักแล้วเพคะ” ห่าวเฉิงห่าวเฉิงก้าวออกมากล่าวเสียงเรียบ “แต่พบรอยเท้าแปลกปลอมใกล้สระบัวด้านใน อาจมีผู้ลอบเข้ามายามองค์หญิงเสด็จไปเข้าเฝ้า” ห่าวเฉิงพระเนตรขององค์หญิงหล
last updateLast Updated : 2025-11-02
Read more
บทที่ 6 ออกนอกวังครั้งแรก
ยามเฉินแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทาบยอดหลังคากระเบื้องเคลือบสีทองนอกวังหลวง รถม้าสีเรียบจอดอยู่หน้าตลาดตะวันออก ผู้คนพลุกพล่าน กลิ่นขนมอบและผลไม้สดลอยคลุ้งในอากาศองค์หญิงหลิงเซียงทรงสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีงาช้าง ปิดพระพักตร์ไว้ด้วยผ้าคลุมบางเบา มีเพียงห่าวเฉิงและเฟิงหวงติดตามอยู่ห่าง ๆ ในคราบข้ารับใช้ธรรมดา“ตลาดนี้ช่างครึกครื้นนัก” หลิงเซียงพระสุรเสียงแผ่วแต่แฝงรอยยิ้มบาง “ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก พระมารดาเคยพาข้ามาซื้อแป้งข้าวหอมเพื่อนำไปทำขนมดอกเหมย” หลิงเซียงเฟิงหวงเอ่ยเบา ๆ พลางเหลือบมองรอบตัว “ห่าวเฉิง ข้าเห็นร้านขนมฝั่งโน้นมีคนแน่นไม่ขาดสาย ดูท่าจะมีชื่อเสียงไม่น้อย” เฟิงหวงห่าวเฉินยกมือแตะด้ามดาบที่ซ่อนใต้เสื้อคลุม พลางตอบ “แม้เพียงตลาดเล็ก ๆ ก็ยังมิอาจวางใจได้ ขอให้พระองค์ทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้าอย่าห่างนัก” ห่าวเฉินองค์หญิงทรงหัวเราะเบา ๆ “พี่จริงจังเกินไปนักห่าวเฉิง ข้าเพียงจะซื้อแป้งข้าวกับถั่วแดงเท่านั้น มิได้คิดก่อศึก” หลิงเซียงพระสุรเสียงนั้นอ่อนโยนแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ห่าวเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนค้อมศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ หากเช่นนั้น กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ” ห่าวเฉิงพระเนตรของ
last updateLast Updated : 2025-11-02
Read more
บบที่ 7 ตระกูลมู่
ตระกูลมู่เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ทรงอำนาจและได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจาก ฮ่องเต้จิ้งอู่แห่งแคว้นเว่ย และฮดีตฮ่องเต้หลายรัชกาลมาช้านาน ตระกูลนี้ไม่เพียงเป็นกำลังสำคัญทางการเมือง หากยังเป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรม ความจงรักภักดี และความเที่ยงตรง ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วทั้งแผ่นดินเว่ยบรรพชนของตระกูลมู่คือ มู่เจิ้น อดีตอัครเสนาบดีในยุคก่อตั้งราชวงศ์เว่ย ผู้มีบทบาทในการวางระเบียบราชสำนักและร่างกฎหมายปกครองบ้านเมืองด้วยหลักแห่งคุณธรรมและสมดุลเขาได้รับสมญาว่า มือขวาแห่งบัลลังก์ ผู้ยืนอยู่ใต้ฟ้าแต่ไม่ลืมแผ่นดินนับแต่นั้นมา ตระกูลมู่ก็สืบทอดเจตนารมณ์ของมู่เจิ้นยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ไม่สยบต่ออำนาจและถือว่าการรับใช้ใต้หล้าเป็นหน้าที่แห่งสายเลือด ในยุคของฮ่องเต้จิ้งอู่ตระกูลมู่เป็นหนึ่งในสี่เสาหลักแห่งเว่ยร่วมกับตระกูลเกา ตระกูลฉิน และตระกูลซูมู่เทียนหยางปรมาจารย์ฝ่ายบุ๋นเป็นเสนาบดีว่าการคลัง ผู้วางระบบการเก็บภาษีที่เป็นธรรม ลดภาระแก่ราษฎร และจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินด้วยความโปร่งใสมู่เทียนหลานบุตรชายคนโต เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้มีชื่อเสียงด้านสติปัญญา เฉียบคมแต่ถ่อมตน เป็นผู้ถวายคำแนะนำ
last updateLast Updated : 2025-11-03
Read more
บทที่ 8 องค์หญิงหลิงเซียงเปลี่ยนไป
ยามบ่ายหลังออกจากวังหลวง มู่เทียนหลางตั้งใจจะกลับจวน แต่เมื่อเดินผ่านสวนหลวงก็ได้ยินเสียงนกกระจอกส่งเสียงจ้อกแจ้กกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวแว่วมา เสียงนั้นช่างคุ้นหูอย่างประหลาด เมื่อเดินเข้าไปใกล้เขาพบหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวอ่อนปักดิ้นแดง กำลังย่อตัวเก็บกลีบดอกเหมยใส่มือเล่นอย่างเพลิดเพลิน ใบหน้าของนางสดใสเสียจนยากจะเชื่อว่าเป็นองค์หญิงหลิงเซียงผู้เคยเย็นชาในสายตาของผู้คน“องค์หญิง…ทรงกำลังเก็บดอกเหมยไปทำยา หรือจะทำขนมอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางเสียงของมู่เทียนหลางดังขึ้นอย่างเรียบแต่แฝงรอยยิ้ม องค์หญิงเงยหน้าขึ้นดวงตาเป็นประกาย“ข้าจะเอาไปทำน้ำหอมต่างหาก เจ้าอยากได้สักขวดไหมล่ะคุณชายมู่ กลิ่นจะได้หอมเสียจนขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งวังจำหน้าเจ้าได้ขึ้นใจ” หลิงเซียงมู่เทียนหลางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย“หอมเกินไปอาจดึงดูดผึ้งและมดพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงคงไม่อยากให้ข้ารับสั่งให้คนตามไล่มดในวังหรอกกระมัง” เทียนหลางองค์หญิงหัวเราะพรืดพระโอษฐ์ยกยิ้มอย่างคนไม่ยอมแพ้“ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างเจ้าก็พูดเหมือนคนมีอารมณ์ขันได้ด้วยหรือนี่ ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าที่เจ้าทำหน้านิ่งตลอดนั้นเพราะตั้งใจหรือหน้าแข็ง” หลิงเ
last updateLast Updated : 2025-11-03
Read more
บทที่ 9 เมืองไฮ่โจว
ตอนที่เข้าสัปดาห์ที่สี่แล้วที่ใช้ชีวิตเป้นองค์หญิงหลิงเซียงโดยที่ยังมีชีวิตรอดปลอดภัย แต่หลิงเซียงพึ่งได้รับรู้ว่าก่อนที่จะถูกจับตัวไปนั้น ตัวของเขาคนเดิมนั้นได้มีเรื่องบาดหมางกับพระสมกุ้ยเฟยแห่งตระกูลซู จนฮองเฮาสั่งลงโทษพระสมกุ้ยเฟยที่ทำหน้าเกินความจำเป็น ไม่แน่คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดอาจเป็นนางก็ได้ เพราะนางเองก็ไม่เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้จิ้งอู่เท่าไหร่ อาจอยากจะมาลงที่องค์หญิงแทนแต่ดันผิดคาดกลับโดนลงโทษเสียเอง จึงอาจแค้นองค์หญิงหลิงเซียงมากเพราะความโกรธความแค้นมันสามารถฆ่าคนได้โดยง่าย คนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดก็พระสนมกุ้ยเฟยนี้แหละ พระสนมกุ้ยเฟยแห่งตระกูลซู ชื่อเสียงของนางดังก้องไปทั่ววังหลัง ทั้งในแง่ของความงามและความร้ายกาจ นางเป็นบุตรสาวคนโตของ ซูเหวินอี้มหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้มีอำนาจครอบคลุมราชสำนักกว่าครึ่ง ด้วยอำนาจของบิดาเพียงเอื้อมมือเดียวก็สามารถส่งบุตรีเข้าวังให้เป็นสนมของฮ่องเต้จิ้งอู่ได้โดยง่าย แต่ที่จริงแล้วตระกูลซูนั้นเป็นฝ่ายสนับสนุนทางฝั่งขององค์รัชทายาทจิ้งไฉ เพราะพระมารดาของรัชทายาทจิ้งไฉเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของซูเหวินอี้แต่แม้จะได้ตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟ
last updateLast Updated : 2025-11-04
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status