LOGINหมิว นักศึกษาสาวที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดคิด จนวิญญาณทะลุมิติแห่งกาลเวลา ไปอยู่ในร่างขององค์หญิงวิปลาส ชีวิตในยุคที่ไม่เหมือนเดิมจะเป็นอย่างไรมาลุ้น
View Moreแจวมาแจวจ่ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกนึกถึงคนแจวว...
เจ้ามา จากเมืองขอนแก่น หรือว่ามาจากแดน อุดรฯ กาฬสินธ์ หนองคาย บุรีรัมย์ เลย สุรินทร์... มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ มัดหมี่ ขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ในครัว... จากอีสานบ้านนา มาอยู่กรุง. จากเมืองทุ่งลุยลาย. ชัยภูมิบ้านเดิม ถิ่นเกิดไกล. บ่ได้หมายจากจร... เสียงเพียงเชียร์ที่ดังเกือบตลอดสองข้างตาคณะต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยทำให้ผู้คน นักศึกษาทุกระดับชั้นรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่ช่วงงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นในทุกปีเมื่อเปิดภาคเรียนที่สอง จะเห็นเหล่านิสิตนักศึกของแต่ละคณะรวมกันซ้อมเชียร์ซ้อมกีฬา ถึงจะเป็นกีฬาที่แข่งขันกันภายในมหาวิทยาลัย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อนอยู่แล้ว แต่สำหรับ หมิว หรือ เปรมมิกา แซ่ลิ้ม นักศึกษาชั้นปีที่สี่ สาขาประวัติศาสตร์ไทยและสากล เทอมสุดท้าย เขาไม่มีเวลามาร่วมสนุกกับกีฬาสีหรอกเพราะงานวิจัยอันแสนโหดรอเขาอยู่ ขนาดก่อนเปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์หมิวและเพื่อนทั้งสาขาได้มาพบอาทิตย์หน้าเพื่อฟังแนวทางการทำงานวิจัย แค่ฟังยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรลึกมากมายยังแทบปวดหัว นี้เปิดเทอมมาสองเดือนกว่างานวิจัยยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย วันนี้สงสัยคงต้องกลับหอพักดึกอีกตามเคย หมิวเป็นครอบครัวนั้นอยู่กรุงเทพแต่ดันสอบติดที่จังหวัดขอนแก่นบ้านเกิดของแม่ จึงทำให้หมิวของมาเรียนที่ขอนแก่นโดยการเช่าหอพักอยู่นอกมหาวิทยาลัย เพราะบ้านเดิมของคุณแม่นั้นอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยเกือบหนึ่งร้อยกิโล เพื่อความปลอดภัยคุณพ่อคุณแม่จึงให้เช่าหอใกล้มหาลัยดีกว่าจะได้เดินทางสะดวก ในห้องสมุดเงียบงันเสียงเข็มนาฬิกาดัง “ติ๊ก...ต่อก” สม่ำเสมอเป็นจังหวะเดียวกับเสียงปลายปากกาที่ขยับไปมาบนกระดาษ หมิวนั่งก้มหน้าอยู่ท่ามกลางกองหนังสือสูงเกือบถึงไหล่ แสงไฟสีอุ่นจากโคมตั้งโต๊ะส่องกระทบกรอบแว่น ทำให้เธอต้องยกมือดันขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพลิกหน้าหนังสือเก่าที่ขอบกระดาษเริ่มเหลือง "ราชวงศ์เว่ย...ปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลฮ่องเต้จิ้งอู่..." หมิว เธอพึมพำตามตัวอักษร พลางขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญด้วยปากกาไฮไลต์สีทองอ่อน รอบตัวมีแต่กลิ่นกระดาษเก่าและเสียงพัดลมเพดานที่หมุนช้า ๆ แต่ในหัวของหมิวกลับเต็มไปด้วยภาพเมืองหลวงโบราณ กำแพงสูงใหญ่และชุดขุนนางในสมัยนั้น เธอหลับตาเพียงชั่วครู่เหมือนภาพในจินตนาการกำลังชัดเจนขึ้นถนนปูด้วยอิฐหิน เสียงฆ้องแตรในยามรุ่งสางและชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำทองยืนอยู่ท่ามกลางหมอกยามเช้า เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถอนหายใจเบา ๆ "ถ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงดี..." หมิว เสียงพึมพำนั้นแทบจะกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัว หมิวก้มหน้ากลับมาที่หน้ากระดาษ เขียนต่อด้วยลายมือเรียบเรียงประโยคอย่างตั้งใจ โครงสร้างการปกครองของราชวงศ์เว่ยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านระหว่างอำนาจทหารและขุนนางราชสำนัก... เวลาค่อย ๆ ผ่านไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว จนกระทั่งแสงจากหน้าต่างเริ่มกลายเป็นสีส้มของอาทิตย์ตก หมิวขยับแว่นอีกครั้ง ยืดแขนออกเหนือหัว พลางมองร่างตัวเองสะท้อนในกระจกหน้าต่าง รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เพราะเธอรู้ดีว่าวันนี้งานวิจัยของเธอขยับเข้าใกล้ความจริงของราชวงศ์เว่ยอีกหนึ่งก้าว ลมฤดูหนาวพัดผ่านหน้าเข้ามาในห้องเย็นเฉียบจนหมิวต้องรูดซิปเสื้อคลุมขึ้นสูง พลางมองนาฬิกาบนข้อมือเกือบห้าทุ่มแล้ว ห้องสมุดปิดไปนานแต่เธอยังมัวจัดเอกสารงานวิจัยอยู่จนลืมเวลา ไฟตามข้างถนนส่องแสงสลัวเป็นจุด ๆ เมื่อเธอสวมหมวกกันน็อกขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์คู่ใจ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่หมิวจะค่อย ๆ เคลื่อนออกจากลานจอด ผ่านถนนที่แทบไม่มีรถสัญจร เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านหมวกกันน็อก ขณะที่รถค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น สะพานข้ามแม่น้ำอยู่ไม่ไกล ข้างล่างนั้นน้ำดำขลับสะท้อนแสงไฟเป็นประกายวับวาวราวกับแผ่นกระจก หมิวสูดหายใจลึก มองเส้นขอบฟ้าที่มีแสงไฟจากอีกฝั่งสะพาน อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว... เธอคิดในใจ ทว่าทันใดนั้น... **วาบ!** เงาบางอย่างตัดผ่านสายตาคล้ายคนยืนอยู่กลางสะพาน เธอสะดุ้งตาเบิกกว้างรีบหักหลบโดยสัญชาตญาณ เสียงล้อเสียดกับพื้นถนนดัง “ครืด!” รถเสียหลักหมุนคว้างร่างของหมิวถูกเหวี่ยงออกจากตัวรถ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินจะตั้งตัว เสียงโลหะกระแทกกับราวสะพานตามมาด้วยเสียง “ตูม!” ดังสะท้อนก้องในความเงียบของค่ำคืน น้ำเย็นจัดโอบร่างเธอไว้ทันที แสงไฟเหนือสะพานพร่ามัวลงในสายตาที่เริ่มหนักอึ้ง เธอพยายามจะขยับมือ แต่แรงหมดไปทีละน้อย ลมหายใจสุดท้ายแผ่วเบาก่อนทุกอย่างจะดับวูบเข้าสู่ความมืดสนิท บนสะพานเหลือเพียงหมวกกันน็อกที่กลิ้งอยู่กับพื้น เปื้อนรอยขีดข่วนและเสียงเครื่องยนต์ที่ยังติดค้างครืดคราดเบา ๆ ราวกับไม่รู้เลยว่าเจ้าของของมันจะไม่มีวันกลับมาสตาร์ตอีก ในอีกห้วงเวลาเดียวกันแต่เป็นอีกโลกที่แตกต่างกัน มีร่างของหญิงสาวอยู่ในชุดสูงศักดิ์นอนหายใจโรยรินสีแต่สีหน้าแล้วแววตาเต็มไปด้วยความแค้น ความผิดหวังและความเสียใจ ก่อนหน้านี้องค์หญิงถูกจับไปกดน้ำและทรมาน แต่ก็ยังไม่ตายจนถูกนำมาทิ้งไว้ที่ตำหนักเย็น คนที่จับตัวไปปกปิดใบหน้าจึงไม่ทราบได้ว่าใครต้องการฆ่าองค์หญิงกันแน่ ภายในตำหนักเย็นอันเงียบงัน แสงจันทร์ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำแสงสีเงิน องค์หญิงหลิงเซียงเอนกายอยู่บนตั่งเย็นเฉียบ ผ้าห่มบาง ๆ แทบไม่อาจต้านลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาจากทุกทิศ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นหน้าประตู ก่อนเงาสองสามเงาจะปรากฏขึ้นในความมืด หลิงเซียงขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อย “ใครกัน” น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ มือเย็นจัดของใครบางคนก็จับแขนเธอไว้แน่น "ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา...ให้ทรงพักผ่อนอย่างสงบ" เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นองค์หญิงเบิกตากว้าง แต่ยังไม่ทันได้เรียกขอความช่วยเหลือ แก้วเล็ก ๆ ก็ถูกยกขึ้นมาใกล้ริมฝีปากของเธอ กลิ่นขมแปลบแตะปลายจมูก ก่อนสติของเธอจะค่อย ๆ เลือนหายไป แสงจันทร์ยังคงส่องสว่างเหนือพื้นหิมะหน้าตำหนัก เมื่อทุกอย่างสงบลงเงาเหล่านั้นจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งเพียงร่างบางที่เอนพิงอยู่ข้างตั่ง ใบหน้าเรียบนิ่งราวกับหลับใหล รุ่งเช้า ข่าวจากตำหนักเย็นแพร่ไปทั่ววังหลวง "องค์หญิงหลิงเซียงสิ้นพระชนม์แล้ว... ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ในค่ำคืนที่ผ่านมา" ข้ารับใช้พากันร่ำไห้ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงความจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่านเย็นเยียบแห่งนั้น เพราะในวังหลวง… ความตายขององค์หญิงถูกเขียนไว้เพียงว่าทรงตรอมใจ จึงปลิดชีพเอง ทว่าในสายลมที่พัดผ่านตำหนักเย็นในคืนนั้ยังคงมีเสียงแผ่วเบาราวกับคำสาบานสุดท้ายของนาง "ความจริง...จะไม่ถูกฝังไปพร้อมข้า..." หลิงเซียง สายหมอกยามรุ่งอรุณคลี่คลุมทั่วตำหนักเย็นแสงแรกของวันส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ บนพื้นยังมีรอยน้ำค้างเกาะบาง ๆ เสียงนกร้องแว่วเบา แต่ภายในตำหนักกลับยังคงเงียบงัน มีเพียงหมอที่ได้รับหน้าที่มาตรวจดูร่างอันไร้วิญญาณขององค์หญิงเพียงสองคนเท่านั้น ส่วนคนสนิทขององค์หญิงทุกคนถูกกันไม่ให้เข้ามา บนตั่งเย็นที่เคยสิ้นชีพไปแล้วนั้นริมฝีปากขององค์หญิงหลิงเซียงขยับน้อย ๆ ก่อนนิ้วมือขาวซีดจะกระตุกเบา ๆ "อื้อ..." เสียงครางแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมกับลมหายใจที่กลับคืนมาอีกครั้ง หญิงสาวลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงจันทร์ที่ยังค้างอยู่ครึ่งฟ้า แต่ในแววนั้นไม่มีร่องรอยขององค์หญิงหลิงเซียงคนเดิม ทำเอาหมอสองคนที่ตรวจร่างองค์หญิงอยู่ตื่นตกใจจนวิ่งหนีออกจากตำหนักเย็นไปทันที หมิวนักศึกษาที่จากไปอย่างกะทันหันกลางสะพานในอีกโลกหนึ่ง เธอกะพริบตาอย่างมึนงงมองรอบห้องแปลกตาที่เต็มไปด้วยข้าวของโบราณ "นี่...ที่ไหนกัน" เสียงเธอสั่นเธอพยายามยันตัวขึ้น แต่ร่างกายอ่อนแรงราวกับไม่ใช่ของตน เธอมองเห็นเงาตัวเองในกระจกทองเหลืองใกล้ตั่ง ใบหน้างดงามอ่อนช้อย ดวงตาเรียวยาว เครื่องแต่งกายหรูหราราวกับภาพในหนังจีนโบราณ "นี่มัน...อะไรเนี่ย" ความทรงจำมากมายแปลบเข้ามาในหัว ภาพตำหนัก วังหลวง ข้ารับใช้ และเสียงเรียกขานว่า องค์หญิงหลิงเซียง หมิวกุมขมับรู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของนางกำนัลสองคนดังขึ้นหน้าประตู "ท่านหมอหลวง! องค์หญิงทรง...ฟื้นแล้วเพคะ!" เสียงร้องตกใจดังขึ้นทั่วตำหนักเย็น ขณะที่หมิวในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงยังนั่งนิ่ง มองมือตัวเองด้วยความสับสนระคนตกใจ เธอไม่รู้เลยว่าการฟื้นคืนชีพครั้งนี้จะพาเธอเข้าสู่ชะตากรรมใหม่ที่เต็มไปด้วย ปริศนา การแก้แค้น และความรักที่ไม่อาจหลีกหนีได้ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม