วันนี้เพียงแค่ฮูหยินใหญ่กลับมาถึงจวนได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทว่าทุกสิ่งภายในจวนสกุลโม่กลับแปรเปลี่ยนไปราวกับผ่านไปนานนับสิบปี
โม่เหยียนซวี่ค่อยๆ ประคองร่างของไป๋หรูอี๋วางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เขาก้มตัวถอดรองเท้าให้นางด้วยมือของตนเองก่อนจะจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงยกผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีทะนุถนอมราวกับกลัวว่านางเจ็บระบม ไป๋หรูอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าแขนเขาไว้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่หม่นแสงเงยขึ้นสบสายตาบุรุษตรงหน้าอย่างสงสาร “เป็นความผิดของข้าเอง…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ราวกับว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ “หึ! นี่หาใช่ความผิดของเจ้า” เขากัดฟันกรอดตอบออกมา ยามนี้ภายในใจของโม่เหยียนซวี่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นรุนแรงราวจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ สตรีผู้นั้น…นางกล้าดียิ่งนักไม่เพียงแต่ย่างเท้ากลับมาจวนหน้าตาเฉย ยังบังอาจอวดดีแสดงอำนาจเหนือผู้ใดในฐานะภรรยาพระราชทาน นางคิดหรือว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้งั้นรึ!? สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายแววกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เสมือนกับพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในพริบตาเดียว “…” ไป๋หรูอี๋มองสามีตาปริบๆ พอเห็นท่าทีขุ่นเคืองของเขา…ยิ่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะเพราะมาจากสตรีอีกผู้หนึ่ง ภายในใจของนางก็พลันพลุ่งพล่าน ความกลายเป็นความไม่พอใจ นางเม้มริมฝีปากแน่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานเจือความน้อยใจ ทว่ายังไม่วายแฝงความประชดประชันไว้ในถ้อยคำ “ช่างเถิด…อย่างไรพี่หญิงก็คือภรรยาที่ได้รับราชโองการสมรสอย่างถูกต้องเทียบกับข้านั้น ผู้ที่มีเพียงฐานะนางโลมต่ำต้อย จะมีสิทธิ์อะไรไปเทียบเคียงนางได้เล่า” “หรูอี๋…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา โม่เหยียนซวี่ได้ยินถ้อยคำประชดประชันของไป๋หรูอี๋แล้วก็พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดวงตาคมทอดมองสตรีตรงหน้าอย่างอ่อนโยน เขาเข้าใจความรู้สึกของนางดี… แม้เรือนหลังนี้จะเป็นที่ที่นางอาศัยอยู่มานาน ข้าวของทุกชิ้นล้วนเป็นของนาง ไม่เว้นแม้แต่ม่านหน้าต่างหรือตลับเครื่องหอมตรงหัวเตียงทว่าทั้งหมดนั้น…ก็ยังมิใช่ที่ของนาง โม่เหยียนซวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างหนักอึ้ง เขาเอ่ยเสียงเรียบและแผ่วเบา ราวกับกำลังปลอบใจนาง “ด้านหลังจวน…ยังมีที่ว่างอยู่ ข้าจะให้คนสร้างเรือนใหม่ให้เจ้าและจะเรือนใหม่ทั้งยังงดงามที่สุดในจวนนี้” “หลังจวน…” ไป๋หรูอี๋ทวนคำเบา ๆ ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย หลังจวนหรือ…!? ที่ซึ่งไกลห่างจากเรือนหลัก ไกลห่างจากสายตาผู้คน… หึ! เช่นนั้นแล้ว นางก็มีฐานะอันใดไม่ต่างจากสตรีหลังจวนไร้ศักดิ์ศรีผู้หนึ่งกัน มือทั้งสองข้างของไป๋หรูอี๋กำแน่นจนปลายนิ้วเริ่มซีดขาว ขณะที่นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่เคยหม่นหมองค่อยๆ แข็งกร้าวขึ้นทีละน้อยด้วยความโกรธและไม่พอใจ นางหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อย “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ…” ไป๋หรูอี๋เงยหน้าขึ้น สบตาบุรุษตรงหน้าอย่างช้าๆ น้ำเสียงหวานพลางเอื้อนเอ่ยเรียบเย็นจนแทบไม่หลงเหลือความอ่อนโยน “เพราะยามนี้ข้าหาได้อุ้มท้องทายาทสกุลโม่แล้ว ท่านจึงจะสร้างเรือนใหม่ให้ข้าอยู่หลังจวนให้ห่างไกลจากนางและห่างไกลจากท่านด้วยใช่หรือไม่ โม่เหยียนซวี่” เหตุใดนางถึงคิดเช่นนี้กัน…!? โม่เหยียนซวี่ชะงักเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างชัดเจน “ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น…” “แต่ความหมายของท่านคือเช่นนั้น” ไป๋หรูอี๋เอ่ยตัดบทด้วยท่าทางเจ็บปวดทว่าสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “เมื่อพี่หญิงกลับมาแล้ว ท่านจึงเริ่มผลักไสข้าไปอยู่ด้านหลัง ถึงแม้จะให้เรือนงามขนาดใดก็ช่างเถิด…ข้ารู้ดีว่าที่นี่มิใช่ของข้าอีกตั้งแต่แรก” เดิมที…นางเป็นเพียงหญิงคณิกาอยู่ในหอนางโลมโคมเขียวเท่านั้น ทว่าโชคชะตากลับพลิกผันอย่างไม่คาดคิด…เมื่อความงามของนางพลันไปต้องตาต้องใจแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งเข้าโดยบังเอิญ วาสนาลอยมาถึงตรงหน้า เช่นนั้นนางจะไม่รีบคว้าเอาไว้ได้อย่างไรกัน? ดูเหมือนสวรรค์และทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นใจให้กับนาง… วันที่นางก้าวเข้าสู่จวนสกุลโม่ ทุกอย่างราบรื่นราวกับคลื่นในฤดูใบไม้ผลิ มิหนำซ้ำ ภรรยาของโม่เหยียนซวี่ยังมีปัญหากับเขาและแม่สามีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้…ไป๋หรูอี๋จะไม่ฉวยโอกาสสาดน้ำมันใส่กองเพลิงที่ลุกไหม้อยู่แล้วได้อย่างไรกัน แต่พอขจัดเซินลี่ฮวาออกพ้นทางไปได้ก็น่าจะหมดสิ้นหนามตำใจเสียที ทว่ากลับยังมีหญิงชราผู้นั้นคิดจะใช้มือนางเป็นเครื่องมือกำจัดอีกฝ่าย พอทำสำเร็จแล้วกลับหันมาตั้งแง่คิดเป็นศัตรูกับนางเสียเอง ไป๋หรูอี๋ถึงกับต้องเหนื่อยสองครา…กำจัดหนึ่งไปและยังต้องมารบรากับอีกหนึ่ง แม้สามารถกำจัดเซินลี่ฮวาออกไปได้อย่างแนบเนียนไร้ร่องรอย หากแต่หญิงเฒ่าชรายังปักหลักอยู่ในเรือนไม่ไปไหน นางจึงจำต้องเสียเวลาเกือบสองปีเต็มเพื่อผลักอีกฝ่ายออกจากจวนโดยไม่มีผู้ใดสงสัย เมื่อคิดว่าเส้นทางเบื้องหน้าช่างราบรื่น แผนการตั้งครรภ์เพื่อกุมอำนาจในจวนก็เริ่มต้นขึ้น ทว่าราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งหรือไม่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด…นางแท้งบุตรไปอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ ขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัว เซินลี่ฮวากลับหวนคืนมาจวนอีกครั้ง พร้อมกับความมุ่งมั่นจะแย่งชิงทุกสิ่งที่นางเคยได้มาไปจนหมดสิ้น แล้วจะให้นางเสแสร้งยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ราวกับคนเสียสติได้อย่างไรกัน!? ไป๋หรูอี๋แค่นเสียงเอ่ย “ข้าก็แค่นางโลมผู้หนึ่ง…เมื่อฝันจบลง ก็ต้องรู้จักตื่นเสียที” โม่เหยียนซวี่รีบคว้าร่างบางเข้ามากอดแนบอกทันที ราวกับว่าต้องการส่งต่อความจริงใจทั้งหมดให้นางรับรู้ น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยด้วยความหนักแน่น “ไป๋หรูอี๋…ตอนนี้เจ้าต่างหากคือภรรยาที่แท้จริงของข้า อดทนอีกสักนิดเถิด ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีสูงศักดิ์เหนือกว่าผู้ใดในจวนนี้” เรื่องหย่ากับเซินลี่ฮวาไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าก็หาใช่เป็นไปไม่ได หากต้องแลกกับการรักษาไป๋หรูอี๋เอาไว้…เขายอมก้าวเท้าเข้าสู่วังหลวงเพื่อทูลขอหย่าแม้จะต้องแลกกับการถูกลงโทษก็ตาม ไป๋หรูอี๋มีหรือจะยอมอ่อนให้โดยง่าย ดวงตาคู่งามแดงก่ำ น้ำเสียงแฝงแววเจ็บช้ำแข็งกร้าวนัก “อดทนรึ…ท่านจะให้ข้ารออีกนานเพียงใดกัน โม่เหยียนซวี่…ข้ายอมลดตัวลงมาขนาดนี้ก็เพียงเพื่อท่านแต่กลับต้องถูกพี่หญิงเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าจะรักษาหน้าตนเองไว้อย่างไรได้อีกเล่า” นี่เป็นความผิดของเขา… โม่เหยียนซวี่ได้ยินแล้วหัวใจกระตุกก่อนจะค่อยๆ บีบรัดแน่นจนปวดหนึบคล้ายหายใจไม่ออก “ข้าขอโทษ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าต้องอดทนมานานถึงเพียงนี้” เขาโน้มใบหน้าลงประทับจุมพิตบนหน้าผากนางเบาๆ ด้วยความรักใคร่ “…” นางมิได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เพียงนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ปล่อยให้บุรุษตรงหน้าทำตามใจตนเอง ยิ่งเห็นว่านางเงียบงันเช่นนี้ ภายในใจของโม่เหยียนซวี่ก็ยิ่งปั่นป่วนราวคลื่นพายุโหมกระหน่ำยากจะควบคุม เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังปนร้อนรน “พูดอันใดสักอย่างเถอะ…อย่าเงียบเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่ดี ไป๋หรูอี๋” นางขยับตัวออกห่างช้าๆ แล้วพลิกกายนอนหันหลังให้อย่างเฉยชาราวกับไม่ต้องการพบหน้าเขาอีก “ไปจัดการเรื่องของท่านให้เรียบร้อยเถอะโม่เหยียนซวี่…ยามนี้ข้าเหนื่อยนักอยากจะพักผ่อนเพียงลำพัง” ปลายยามซวี (เวลา 19.00 – 21.00 น.) เซินลี่ฮวายืนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นานครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามเหม่อลอยราวกำลังจมอยู่ในความคิดบางอย่าง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีแสงไฟสว่างวาบไปทั่วทั้งหลัง มุมปากของนางค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา หึ! เกรงว่าปานนี้โม่เหยียนซวี่คงกำลังเฝ้าปรนนิบัติและคอยเอาใจไป๋หรูอี๋อยู่กระมัง เกรงว่าหากวันใดไร้เงาของสตรีผู้นั้น…นางก็อยากรู้เหมือนกันว่า เขาจะยังเหลือลมหายใจอยู่หรือไม่!? ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ผิงอันเหลือบตามองผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าลังเลคล้ายอยากพูดบางสิ่งแต่ก็อ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบออกมาเสียงเบา “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน” เซินลี่ฮวาชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาเมล็ดซิ่งยังคงเพ่งมองเรือนหลังนั้นอย่างไม่ลดละก่อนจะหัวเราะเย็นๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “หึ...แน่ใจหรือว่าสะอาดแล้ว” ผิงอันพยักหน้าหงึกๆ พร้อมตอบเสียงหนักแน่น “เจ้าค่ะ…บ่าวทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมอย่างเรียบร้อยแน่นอน” เซินลี่ฮวาแค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ช่างเถิด…พรุ่งนี้ข้าคงต้องไปหาช่างไม้ให้มาทำเตียงใหม่เสียแล้ว” วันนี้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเต็มที แม้ไม่อยากนอนซ้ำรอยกับสตรีผู้นั้นแต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยามนี้ เซินลี่ฮวาเงียบครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความรังเกียจ “หรือว่า...เจ้าจะจัดห้องรับแขกให้ข้าได้หรือไม่” ผิงอันชะงักเล็กน้อย หัวคิ้วขมวดมุ่นสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “บ่าวจะลองไปดูอีกทีเจ้าค่ะ…หากยังมีห้องรับแขกว่างอยู่จะรีบจัดเตรียมให้ฮูหยินโดยเร็วเจ้าค่ะ” เซินลี่ฮวาละสายตาจากตรงหน้าก่อนจะเหลือบตามองสาวใช้ข้างกายด้วยสายตาเรียบนิ่ง นางกระตุกยิ้มจางๆ “หรือว่าที่เรือนหลังนั้นเต็มแน่นไปด้วยคนของนางแล้ว” “…” ผิงอันกระพริบตาปริบๆ นางก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน “หากมีคนของสตรีผู้นั้นก็ขับไล่ออกไปให้หมดซะ หากยังขืนขัดไม่ฟังก็บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า” น้ำเสียงของเซินลี่ฮวาเรียบเฉย ทว่ามุมปากกลับค่อยๆ เหยียดยิ้มร้ายขึ้นมาฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า