แม้ว่า เซินลี่ฮวาจะได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทให้แต่งกับโม่เหยียนซวี่…ทว่าก็มิใช่ว่านางจะต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ว่ากันตามตรงแล้ว เซินลี่ฮวานับเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้มีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังเพียบพร้อมในทุกด้าน
นางหาใช่สตรีสามัญธรรมดาไม่…แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์โดยแท้ มิหนำซ้ำด้วยสถานะของเซินลี่ฮวา ไม่เพียงแค่เป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก..นางยังเป็นหลานสาวของพระสนมในวังหลวงอีกด้วยยังจะมีผู้ใดกล้าหมิ่นเกียรติได้ง่ายๆ เพียงเพราะโม่เหยียนซวี่หาได้มีใจรักใคร่ต่อนางอย่างลึกล้ำ เขาจึงหันไปคว้าสตรีต่ำต้อยจากหอนางโลมข้ามหน้าข้ามตานางไป ไม่สนใจไยดีและไม่แม้แต่จะเห็นความไม่ยุติธรรมที่นางได้รับ หึ! ยามนี้มารดากลับมาสะสางความแค้นแล้ว หากเขาคิดจะผลักไสนางเช่นนี้…ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอมหลีกทางให้อีกต่อไป! “คิดจะทิ้งนางเพื่อไปยกย่องสตรีใดก็เชิญเถิด...แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองความสงบสุขไปตลอด” ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นแฝงความเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้แต่เถ้าแก่โรงไม้มองเห็นแล้วยังต้องสะดุ้งและกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก เหตุใดเพียงแค่มองแวบเดียว เขาถึงได้รู้สึกถึงขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่างกัน!? เถ้าแก่โรงไม้จับจ้องมองสตรีตรงหน้าไม่ลดละราวกับกำลังสังเกตอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่าภายนอกแม่นางผู้นี้จะดูคล้ายกลับฮูหยินผู้สูงศักดิ์…มีนิสัยอ่อนโยนด้วยวาจาเพียบพร้อม หากแต่ดวงตาคู่งามกลับแข็งกร้าวและลึกล้ำจนน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกิน เถ้าแก่โรงไม้รีบโค้งตัว “ขะ...ขอรับฮูหยิน ข้าจะรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุด!” “ดีมาก” เซินลี่ฮวาพยักหน้าพร้อมกับระบายยิ้มกว้างอย่างพึงใจ ทว่าแววตายังคงแข็งกร้าว วันนี้นางตื่นแต่รุ่งสาง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันจับขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าเตียงไม้ในห้องรับรองจะถูกปูด้วยผ้านวมนุ่มหลายชั้นอย่างดีทว่าความแข็งกระด้างที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างก็ยังทำให้นางนอนหลับได้ไม่เต็มตื่นอยู่ดี ด้วยเหตุนั้น...เช้าวันนี้เซินลี่ฮวาจึงออกมายังตลาดแต่ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่เพื่อเร่งหาช่างทำเตียงคนใหม่ให้เสร็จโดยไว นางยังแวะร้านเครื่องกระเบื้อง แจกันลายครามและของตกแต่งภายในเรือนอย่างตั้งใจ ของชิ้นใดที่นางเคยเลือกไว้เอง หากถูกเปลี่ยนหรือถูกสตรีผู้นั้นยึดครองไปหมดแล้ว เซินลี่ฮวาก็ไม่คิดแย่งกลับมาให้เปลืองศักดิ์ศรีแน่! แค่ให้สาวใช้รวบรวมแล้วนำไปกองไว้ที่หน้าประตูเรือนของโม่เหยียนซวี่ก็พอแล้ว เสมือนกับเป็นการบอกโดยไม่ต้องใช้คำว่า ‘เจ้าจงเก็บของของเจ้ากลับไปเสียให้หมด’ ที่ผ่านนางไม่เปล่งเสียงตวาดดังลั่น ไม่แสดงอาการคลุ้มคลั่งเหมือนหญิงไร้สติ แม้ว่าแต่จริงแล้วในใจนั้นกลับเดือดพล่านยิ่งกว่าน้ำมันร้อนเสียอีก ความอึดอัดและอดทนตลอดสามปีที่ผ่านมา นางพยายามเป็นภรรยาที่ดีคอยปรนนิบัติแม่สามีแม้จะถูกมองอย่างดูแคลนและไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนจากสามีหรือไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจแต่ นางก็ยังอดทน แต่แล้วอย่างไรกันเล่า…!? เขากลับพาสตรีจากหอนางโลมเข้ามาเหยียบเรือนนางอย่างไม่ให้เกียรติใดๆ กลับหัวเราะยิ้มแย้มกับนางผู้นั้น ในขณะที่นางต้องกลั้นน้ำตาไว้ทั้งคืน! ความยุติธรรมในฐานะภรรยาอยู่ที่ใดกัน…ในเมื่อเขากล้าพาสตรีผู้นั้นกล้าข้ามหน้าข้ามตาและไม่เคยคิดจะปกป้องนางตอนถูกรังแกหรือกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม เซินลี่ฮวาก็จะไม่ทนอีกต่อไป! ที่ผ่านมานางสงบเสงี่ยมใจเย็นมามากพอแล้ว ยามนี้ถึงครามารดาเอาคืนเสียที! ปัก! เสียงชนดังลั่นขึ้นฟังดูแล้วรุนแรงและคงเจ็บไม่น้อย จู่ๆ ขณะที่เซินลี่ฮวากำลังจมอยู่ในห้วงความคิด นางพลันเดินชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างอย่างจัง ราวกับชนกับเสาไม้ที่ตั้งตระหง่านแต่ไม่ใช่!... นี่มิใช่เสาแต่เป็นใครบางคนแทน แรงปะทะพลางทำให้นางเซถอยหลังออกไปสองสามก้าว ร่างบางแทบจะเสียหลักล้มแต่ดีที่หยุดยืนได้ทัน ทว่าหน้าผากกลับกระแทกเข้ากับของแข็งอะไรบางอย่างจนรู้สึกเจ็บแปลบอยู่มาก “เพ่ย!...บัดซบเถอะ!” เซินลี่ฮวาสบถร้องออกมาทั้งเจ็บทั้งตกใจ นางพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากอย่างหัวเสีย เส้นด้านหน้ารุงรังเล็กน้อยจากแรงกระแทกก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กล้าขวางทางนางด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ทันที บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดใจหากแต่แฝงความขบขำเล็กน้อย เขาจ้องมองนางนิ่งๆ ก่อนจะที่น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสุภาพ “แม่นางเป็นอันใดหรือไม่” “เหตุใดจึงไม่หลบข้าเล่า” เซินลี่ฮวาตวาดกลับด้วยความโมโหและเจ็บตัว แถมยังต้องมาโดนถามราวกับเป็นฝ่ายผิดเสียเอง เว่ยอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่กลายเป็นความผิดของเขาไปแล้วอย่างงั้นหรือ…!? มุมปากหนาคลี่ยิ้มเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ “ขออภัยแม่นางด้วย…แต่ข้ายืนอยู่เฉยๆ มิได้เดินเข้ามาชนแม่นางก่อนเสียหน่อย” !!! หากเขาไม่อยู่ตรงนี้มีหรือนางจะชนเข้า! เซินลี่ฮวาสะอึกไปชั่วครู่ ดวงตาคู่งามแฝงด้วยความขัดใจ แม้ว่าจะเป็นนางที่เดินเหม่อชนเขาแต่มีหรือจะยอมรับง่ายๆ นางยกมือขึ้นกอดอก เชิดใบหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว “คุณชายยืนอยู่กลางทางเช่นนี้ไม่เรียกว่ากีดขวางแล้วหรือ…ตลาดมีตั้งกว้าง เหตุใดต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเล่า” เว่ยอี้หัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น…ข้าควรย้ายไปยืนในตรอกเพื่อหลบแม่นางกระมัง” นางขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่ลงมองบุรุษตรงหน้า “เหอะ! ไม่รู้ข้าฟังอย่างไร ถึงได้คล้ายกับถูกกล่าวหาว่าเป็นอันธพาลนิสัยเสียผู้หนึ่งนัก” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “หึ!” เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ สายตาคมกริบดูลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เว่ยอี้พลางขยับเดินเข้าไปอีกก้าว ใบหน้าโน้มเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ใกล้ข้างแก้มนวล น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบา “ที่แท้ก็เป็นอันธพาลน้อยผู้หนึ่งหรอกหรือ…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่มุมปาก เว่ยอี้เอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายกำลังหยอกเย้า “หากข้ามองจากที่ไกลคงเข้าใจผิดไปว่าเถ้าแก่โรงไม้กำลังถูกท่านข่มขู่เสียกระมัง…” ดวงตาคู่งามของเซินลี่ฮวาวาววับขึ้นมาทันควัน นางยกมือขึ้นผลักอกเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มผงะถอยเล็กน้อย “บัดซบเถอะ! เจ้าคนถ่อย” เหตุใดสวรรค์จึงไม่เลิกกลั่นแกล้งข้าเสียที! วันก่อนก็เพิ่งมีเรื่องกับสามีผู้ไม่น่าจดจำ วันต่อมายังต้องมาเจอเข้ากับบุรุษต่ำช้าผู้นี้อีก…นางทำอันใดผิดหรือถึงได้ถูกสวรรค์กลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้! “คุณชายระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของผิงอันเอ่ย นางยืนมองอยู่นานเห็นสีหน้าและท่าทางของผู้เป็นนายเริ่มไม่ดีจึงแทรกทันที “ฮูหยินของข้าหาได้ไปมีเรื่องหรือหาเรื่องกลับผู้ใดทั้งสิ้น…เพียงแค่มาสั่งทำเตียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” เว่ยอี้ได้ยินแล้วพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เกรงว่าคงเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปแล้วงั้นหรือ” “เหอะ!” เซินลี่ฮวาหาได้ตอบอันใดเพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดและมองอีกฝ่ายตาขวางเท่านั้น ก่อนจะกระทืบเท้าแรงอย่างหงุดหงิดพร้อมทั้งจะสะบัดชายแขนเสื้อเดินเลี่ยงออกจากบุรุษผู้นั้นทันที น้ำเสียงหวานกล่าวพึมพำเสียงดังลั่นอย่างจงใจ “ข้าคงต้องทำบุญล้างซวยเสียบ้าง…วันดีคืนดีก็ชนคนโง่เข้าทุกที!” ณ จวนสกุลโม่ เหตุการณ์ในเช้าวันนี้ทำเอาโม่เหยียนซวี่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเสียจริง! ใครจะคาดคิดว่าหลังจากออกจากจวนไปได้เพียงแค่สามปี สตรีที่เคยเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้! ยามนั้นดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า โม่เหยียนซวี่ก็ต้องสะดุ้งตื่นนอนเพราะเสียงฝีเท้าขวักไขว่กับเสียงข้าวของกระทบกันดังเอะอะราวกับเกิดการวิวาทในจวน โม่เหยียนซวี่รีบลุกจากเตียงด้วยความหงุดหงิด เดินออกมาดูต้นเสียงแต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาต้องยืนตาค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความโกรธจะปะทุขึ้นคับอกจนแทบกระอักออกมา! ข้าวของทั้งหมดของไป๋หรูอี๋…ไม่ว่าจะเป็นทั้งกล่องเครื่องประทินโฉม ตะกร้าผ้าปักลาย ผ้าคลุมไหล่ไหมบางและแม้แต่ชุดชั้นในลายดอกเหมยล้วนถูกยกออกมากองไว้หน้าจวนอย่างไม่ไยดี! ยิ่งกว่านั้น เมื่อเขารีบตรงไปหาเซินลี่ฮวาเพื่อต่อว่าแต่กลับได้รับคำตอบจากสาวใช้หน้าประตูว่า... ‘ฮูหยินออกไปเดินเล่นที่ตลาดเจ้าค่ะ บอกว่าอากาศเช้าดี เลยไปผ่อนคลายจิตใจ’ โม่เหยียนซวี่ถึงกับยืนนิ่ง…อกกระเพื่อมด้วยความโกรธ ผ่อนคลายจิตใจงั้นหรือ? ก่อเรื่องวุ่นวายเอาไว้ แล้วมีหน้าหนีไปเดินเลือกแจกันกลางตลาดอย่างรื่นรมย์หรือ!? โม่เหยียนซวี่ยืนเงียบๆ รออยู่หน้าประตู สายตาคมกริบแข็งกร้าวจ้องมองที่ยังไม่ปิดด้วยความไม่พอใจ…นี่ก็ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปแล้วเหตุใสตรีผู้นั้นยังไม่โผล่หน้ากลับจวนมาอีก ทว่าในจังหวะนั้นเอง บานถูกประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เซินลี่ฮวาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ใบหน้าคนงามเรียบเฉยทว่ากลับมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่มุมปาก โม่เหยียนซวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยความดูแคลน “หึ! อยากกลับจวนมากมิใช่หรือ…ไม่ถึงวันดันโผล่หน้าไปที่อื่นเสียแล้ว” เซินลี่ฮวาพลางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รอข้าอยู่งั้นหรือ” “เซินลี่ฮวา!” น้ำเสียงทุ้มตวาดดังลั่นจนเสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งจวน ทว่าสตรีตรงหน้ากลับยังยืนแน่นิ่งไร้ความเกรงกลัว โม่เหยียนซวี่กัดฟันกรอด รู้สึกเดือดดาลจนแทบคลั่ง เห็นเขาเดือดดาลเช่นนี้…เซินลี่ฮวายิ่งอารมณ์ดีเกินหลือเ ใบหน้าของนางพลางระบายิ้มมกว้าง “หากอยากจะขอบคุณเรื่องเมื่อเช้า ก็ช่างเถอะ...เก็บส่งคืนก็ดีกว่าเก็บทิ้ง!”ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.)บรรยากาศภายในจวนเริ่มตึงเครียดจนสัมผัสได้ เหล่าบ่าวรับใช้พากันหวาดหวั่นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงคนผู้หนึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ใจร้อนดั่งเปลวเพลิง เย็นชาเหมือนสายน้ำเอาแน่เอานอนไม่ได้และแปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู…ส่วนอีกคนก็หาได้ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย ดูแข็งกร้าวราว เกรงว่าต่อให้มีคมดาบจ่อคอก็ไม่คิดจะถอยกระมังพวกบ่าวได้แต่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากอย่างหวาดหวั่น คาดว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างจึงรีบพากันตรงดิ่งไปยังเรือนหลัก หวังว่าภรรยาอีกคนของนายท่านจะช่วยห้ามทัพได้บ้าง!ทว่าตอนเช้าเช่นนี้ ไหนเลยไป๋หรูอี๋จะลืมตาตื่นได้หากยังไม่มีแสงอาทิตย์สาดลงกลางหัวเสียก่อน…นางกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงแต่กลับต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ไม่หยุด ราวกับว่าหากไม่ตื่นขึ้นมาเปิด…เสียงเคาะนั่นก็คงไม่เลิกราไปง่ายๆไป๋หรูอี๋ลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิดแท้จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนักหนา แต่ในความคิดของนาง…หากไม่มีใครตายก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะปลุกนางให้ตื่นในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ได้แน่!ไป๋หรูอี๋สะบัดผ้าห่มลุกขึ้นด้วย
แม้ว่า เซินลี่ฮวาจะได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทให้แต่งกับโม่เหยียนซวี่…ทว่าก็มิใช่ว่านางจะต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ว่ากันตามตรงแล้ว เซินลี่ฮวานับเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้มีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังเพียบพร้อมในทุกด้านนางหาใช่สตรีสามัญธรรมดาไม่…แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์โดยแท้มิหนำซ้ำด้วยสถานะของเซินลี่ฮวา ไม่เพียงแค่เป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก..นางยังเป็นหลานสาวของพระสนมในวังหลวงอีกด้วยยังจะมีผู้ใดกล้าหมิ่นเกียรติได้ง่ายๆเพียงเพราะโม่เหยียนซวี่หาได้มีใจรักใคร่ต่อนางอย่างลึกล้ำ เขาจึงหันไปคว้าสตรีต่ำต้อยจากหอนางโลมข้ามหน้าข้ามตานางไป ไม่สนใจไยดีและไม่แม้แต่จะเห็นความไม่ยุติธรรมที่นางได้รับหึ! ยามนี้มารดากลับมาสะสางความแค้นแล้วหากเขาคิดจะผลักไสนางเช่นนี้…ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอมหลีกทางให้อีกต่อไป!“คิดจะทิ้งนางเพื่อไปยกย่องสตรีใดก็เชิญเถิด...แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองความสงบสุขไปตลอด”ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นแฝงความเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้แต่เถ้าแก่โรงไม้มองเห็นแล้วยังต้องสะดุ้งและกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากเหตุใดเพียงแค่มองแวบเดียว
วันนี้เพียงแค่ฮูหยินใหญ่กลับมาถึงจวนได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทว่าทุกสิ่งภายในจวนสกุลโม่กลับแปรเปลี่ยนไปราวกับผ่านไปนานนับสิบปีโม่เหยียนซวี่ค่อยๆ ประคองร่างของไป๋หรูอี๋วางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา เขาก้มตัวถอดรองเท้าให้นางด้วยมือของตนเองก่อนจะจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงยกผ้าห่มขึ้นคลุมกายให้อีกฝ่ายด้วยท่าทีทะนุถนอมราวกับกลัวว่านางเจ็บระบมไป๋หรูอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าแขนเขาไว้ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งที่หม่นแสงเงยขึ้นสบสายตาบุรุษตรงหน้าอย่างสงสาร“เป็นความผิดของข้าเอง…” น้ำเสียงเอ่ยแผ่วเบา ราวกับว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจ“หึ! นี่หาใช่ความผิดของเจ้า” เขากัดฟันกรอดตอบออกมายามนี้ภายในใจของโม่เหยียนซวี่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นรุนแรงราวจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ สตรีผู้นั้น…นางกล้าดียิ่งนักไม่เพียงแต่ย่างเท้ากลับมาจวนหน้าตาเฉย ยังบังอาจอวดดีแสดงอำนาจเหนือผู้ใดในฐานะภรรยาพระราชทานนางคิดหรือว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้งั้นรึ!?สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายแววกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เสมือนกับพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในพริบตาเดียว“…”ไป๋หรูอี๋มองสามีตาปริบๆ พอเห็นท่าที
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ…ความอึดอัดแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วบริเวณเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ดวงตาคู่งามหลุบมองสตรีผู้นั้นเพียงครู่ก่อนจะหันกลับมาสบตากับบุรุษตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดหลบเลี่ยงนางเอ่ยเสียงหวาน “วันนี้ข้าเดินทางไกลนัก…ยามนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยรีบจัดเตรียมเรือนนอนให้มารดาพักผ่อนเสีย”โม่เหยียนซวี่แค่นเสียงในลำคออย่างดูแคลน ดวงตาคมกริบเพ่งมองนางตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว “หึ! รีบไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทน…เซินลี่ฮวา”ไฉนเลยเข้าจะรู้…ว่าสตรีผู้นี้กลับมาเพราะเหตุใด แล้วยังมีหน้ามาก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้อีก!“กลับไป…ข้าควรกลับไปที่ใดหรือสามี” นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ ใบหน้าคนงามเรียบเฉยไร้ความเกรงกลัวใดๆ“เซินลี่ฮวา! เจ้ามิสิทธิ์กลับมาเหยียบที่นี่อีก ตั้งแต่วันนั้น…เมื่อสามปีก่อน!” น้ำเสียงทุ้มตะคอกก้องดังลั่นไปทั่วด้วยความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่คะบอกจนยากเกินจะควบคุมเซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลางหัวเราะเบา ๆเหอะ!...บุรุษผู้นี้โง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวหรือ“ข้าเป็นภรรยาที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้…มิอาจหย่าขาดได้ตามใจ” นางกล่
หากเป็นเมื่อสามปีก่อน เซินลี่ฮวาคงมิได้มีความกล้าเท่านี้ เพียงแค่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่...หยาดน้ำตาใสก็พลันไหลรินอาบแก้มทันทีเซินลี่ฮวาเชิดใบหน้าขึ้นอย่างไร้ความเกรงกลัว นางก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่ง พร้อมกับในอกที่รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ทว่าหาใช่เพราะความหวาดกลัว...แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาดต่างหากหลังจากที่โม่เหยียนซวี่ไล่นางออกจากจวนไปแล้ว เขาจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสตรีผู้นั้นอย่างมีความสุข...โดยไม่รู้สึกผิดใดเลยเชียวหรือ!?หึ...นางอยากเห็นนักว่าเขาจะทำหน้าเช่นไร เมื่อภรรยาที่เคยขับไล่ราวกับสิ่งไร้ค่ากลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง!พอนึกแล้ว…เซินลี่ฮวาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์“รีบไปกันเถอะผิงอัน…ข้าคิดถึงสามียิ่งนัก”เดิมทีบรรยากาศยามนี้ก็มืดครึ้มด้วยหมอกเมฆตั้งเค้าราวกับพายุใหญ่กำลังจะกระหน่ำลงมา ทว่าดูเหมือนว่า...จวนสกุลโม่คงเผชิญเข้ากับพายุลูกใหญ่เข้าให้จริงๆ แล้วเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าจวน ต่างจับจ้องแผ่นหลังของฮูหยินใหญ่ที่กำลังย่างเท้าเข้าไปด้านใน…บางคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากด้วยความตึงเครียด แล้วรีบแซงหน้าอีกฝ่ายไปอย่างร้อนรนอย่
วันนี้ตลอดทั้งวันท้องฟ้าแจ่มใสมีแสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณจนร้อนอบอ้าวแต่เพียงชั่วพริบตาเมื่อยามพลบค่ำ เมฆฝนเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้ามืดมิดสนิทราวกับพายุกำลังจะพัดพาฝนห่าใหญ่มาสาดกระหน่ำสายลมแรงพัดกระหน่ำจนทุกสิ่งจนปลิวว่อน เสียงลากล้อรถม้าค่อยๆ ลากตามพื้นมาดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ อย่างน่าหวาดกลัวจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูจวนสกุลโม่สาวใช้พลางเร่งรีบลงจากลงม้าก่อนจะยื่นมือออกไปประคองผู้เป็นนายหญิงอย่างรวดเร็วเซินลี่ฮวาในชุดผ้าไหมสีครามเข้มประดับด้วยลวดลายดอกเหมย นางก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังโดยมีสาวใช้คอยประคองเอาไว้สตรีที่ถูกสามีทอดทิ้ง ไฉนคิดว่าจะได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้อารมณ์ฉายออกมาแต่ดวงตาคู่งามกลับสื่อความรู้สึกลึกซึ้งถึงอดีตที่ปวดร้าวและความโกรธที่รอวันสะสางเอาคืนหึ! สามีที่ดีไหนเลยจะทอดทิ้งภรรยาแล้วยกย่องสตรีอื่นทันทีที่ได้เห็น คนงานชายเฝ้าหน้าประตูพลางเบิกตาโพลงกว้างทันที ท่าทางประหนึ่งว่ากำลังเห็นผีก็ไม่ปาน“นั่นคือฮูหยิน...ภรรยาของแม่ทัพโม่ใช่หรือไม่”เมื่อสาวใช้ของเซินลี่ฮวาได้ฟังแล้ว ผิงอันพลางหันขวับไปมองอีกฝ่ายตาขวางทันที นางส่งเสียงฮึดฮ