แม้ว่า เซินลี่ฮวาจะได้รับพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทให้แต่งกับโม่เหยียนซวี่…ทว่าก็มิใช่ว่านางจะต่ำต้อยหรือไร้ศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ว่ากันตามตรงแล้ว เซินลี่ฮวานับเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้มีฐานะสูงส่งอีกทั้งยังเพียบพร้อมในทุกด้าน
นางหาใช่สตรีสามัญธรรมดาไม่…แต่กลับเป็นคุณหนูแห่งตระกูลสูงศักดิ์โดยแท้ มิหนำซ้ำด้วยสถานะของเซินลี่ฮวา ไม่เพียงแค่เป็นบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก..นางยังเป็นหลานสาวของพระสนมในวังหลวงอีกด้วยยังจะมีผู้ใดกล้าหมิ่นเกียรติได้ง่ายๆ เพียงเพราะโม่เหยียนซวี่หาได้มีใจรักใคร่ต่อนางอย่างลึกล้ำ เขาจึงหันไปคว้าสตรีต่ำต้อยจากหอนางโลมข้ามหน้าข้ามตานางไป ไม่สนใจไยดีและไม่แม้แต่จะเห็นความไม่ยุติธรรมที่นางได้รับ หึ! ยามนี้มารดากลับมาสะสางความแค้นแล้ว หากเขาคิดจะผลักไสนางเช่นนี้…ก็อย่าได้หวังว่านางจะยอมหลีกทางให้อีกต่อไป! “คิดจะทิ้งนางเพื่อไปยกย่องสตรีใดก็เชิญเถิด...แต่อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครองความสงบสุขไปตลอด” ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มอย่างเยือกเย็นแฝงความเจ้าเล่ห์ฉายออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้แต่เถ้าแก่โรงไม้มองเห็นแล้วยังต้องสะดุ้งและกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก เหตุใดเพียงแค่มองแวบเดียว เขาถึงได้รู้สึกถึงขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่างกัน!? เถ้าแก่โรงไม้จับจ้องมองสตรีตรงหน้าไม่ลดละราวกับกำลังสังเกตอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่าภายนอกแม่นางผู้นี้จะดูคล้ายกลับฮูหยินผู้สูงศักดิ์…มีนิสัยอ่อนโยนด้วยวาจาเพียบพร้อม หากแต่ดวงตาคู่งามกลับแข็งกร้าวและลึกล้ำจนน่าหวาดกลัวเสียเหลือเกิน เถ้าแก่โรงไม้รีบโค้งตัว “ขะ...ขอรับฮูหยิน ข้าจะรีบจัดการให้โดยเร็วที่สุด!” “ดีมาก” เซินลี่ฮวาพยักหน้าพร้อมกับระบายยิ้มกว้างอย่างพึงใจ ทว่าแววตายังคงแข็งกร้าว วันนี้นางตื่นแต่รุ่งสาง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันจับขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าเตียงไม้ในห้องรับรองจะถูกปูด้วยผ้านวมนุ่มหลายชั้นอย่างดีทว่าความแข็งกระด้างที่ซ่อนอยู่เบื้องล่างก็ยังทำให้นางนอนหลับได้ไม่เต็มตื่นอยู่ดี ด้วยเหตุนั้น...เช้าวันนี้เซินลี่ฮวาจึงออกมายังตลาดแต่ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่เพื่อเร่งหาช่างทำเตียงคนใหม่ให้เสร็จโดยไว นางยังแวะร้านเครื่องกระเบื้อง แจกันลายครามและของตกแต่งภายในเรือนอย่างตั้งใจ ของชิ้นใดที่นางเคยเลือกไว้เอง หากถูกเปลี่ยนหรือถูกสตรีผู้นั้นยึดครองไปหมดแล้ว เซินลี่ฮวาก็ไม่คิดแย่งกลับมาให้เปลืองศักดิ์ศรีแน่! แค่ให้สาวใช้รวบรวมแล้วนำไปกองไว้ที่หน้าประตูเรือนของโม่เหยียนซวี่ก็พอแล้ว เสมือนกับเป็นการบอกโดยไม่ต้องใช้คำว่า ‘เจ้าจงเก็บของของเจ้ากลับไปเสียให้หมด’ ที่ผ่านนางไม่เปล่งเสียงตวาดดังลั่น ไม่แสดงอาการคลุ้มคลั่งเหมือนหญิงไร้สติ แม้ว่าแต่จริงแล้วในใจนั้นกลับเดือดพล่านยิ่งกว่าน้ำมันร้อนเสียอีก ความอึดอัดและอดทนตลอดสามปีที่ผ่านมา นางพยายามเป็นภรรยาที่ดีคอยปรนนิบัติแม่สามีแม้จะถูกมองอย่างดูแคลนและไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนจากสามีหรือไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจแต่ นางก็ยังอดทน แต่แล้วอย่างไรกันเล่า…!? เขากลับพาสตรีจากหอนางโลมเข้ามาเหยียบเรือนนางอย่างไม่ให้เกียรติใดๆ กลับหัวเราะยิ้มแย้มกับนางผู้นั้น ในขณะที่นางต้องกลั้นน้ำตาไว้ทั้งคืน! ความยุติธรรมในฐานะภรรยาอยู่ที่ใดกัน…ในเมื่อเขากล้าพาสตรีผู้นั้นกล้าข้ามหน้าข้ามตาและไม่เคยคิดจะปกป้องนางตอนถูกรังแกหรือกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม เซินลี่ฮวาก็จะไม่ทนอีกต่อไป! ที่ผ่านมานางสงบเสงี่ยมใจเย็นมามากพอแล้ว ยามนี้ถึงครามารดาเอาคืนเสียที! ปัก! เสียงชนดังลั่นขึ้นฟังดูแล้วรุนแรงและคงเจ็บไม่น้อย จู่ๆ ขณะที่เซินลี่ฮวากำลังจมอยู่ในห้วงความคิด นางพลันเดินชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่างอย่างจัง ราวกับชนกับเสาไม้ที่ตั้งตระหง่านแต่ไม่ใช่!... นี่มิใช่เสาแต่เป็นใครบางคนแทน แรงปะทะพลางทำให้นางเซถอยหลังออกไปสองสามก้าว ร่างบางแทบจะเสียหลักล้มแต่ดีที่หยุดยืนได้ทัน ทว่าหน้าผากกลับกระแทกเข้ากับของแข็งอะไรบางอย่างจนรู้สึกเจ็บแปลบอยู่มาก “เพ่ย!...บัดซบเถอะ!” เซินลี่ฮวาสบถร้องออกมาทั้งเจ็บทั้งตกใจ นางพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากอย่างหัวเสีย เส้นด้านหน้ารุงรังเล็กน้อยจากแรงกระแทกก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กล้าขวางทางนางด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ทันที บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดใจหากแต่แฝงความขบขำเล็กน้อย เขาจ้องมองนางนิ่งๆ ก่อนจะที่น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสุภาพ “แม่นางเป็นอันใดหรือไม่” “เหตุใดจึงไม่หลบข้าเล่า” เซินลี่ฮวาตวาดกลับด้วยความโมโหและเจ็บตัว แถมยังต้องมาโดนถามราวกับเป็นฝ่ายผิดเสียเอง เว่ยอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่กลายเป็นความผิดของเขาไปแล้วอย่างงั้นหรือ…!? มุมปากหนาคลี่ยิ้มเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ “ขออภัยแม่นางด้วย…แต่ข้ายืนอยู่เฉยๆ มิได้เดินเข้ามาชนแม่นางก่อนเสียหน่อย” !!! หากเขาไม่อยู่ตรงนี้มีหรือนางจะชนเข้า! เซินลี่ฮวาสะอึกไปชั่วครู่ ดวงตาคู่งามแฝงด้วยความขัดใจ แม้ว่าจะเป็นนางที่เดินเหม่อชนเขาแต่มีหรือจะยอมรับง่ายๆ นางยกมือขึ้นกอดอก เชิดใบหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว “คุณชายยืนอยู่กลางทางเช่นนี้ไม่เรียกว่ากีดขวางแล้วหรือ…ตลาดมีตั้งกว้าง เหตุใดต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยเล่า” เว่ยอี้หัวเราะในลำคอเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น…ข้าควรย้ายไปยืนในตรอกเพื่อหลบแม่นางกระมัง” นางขมวดคิ้วมุ่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่ลงมองบุรุษตรงหน้า “เหอะ! ไม่รู้ข้าฟังอย่างไร ถึงได้คล้ายกับถูกกล่าวหาว่าเป็นอันธพาลนิสัยเสียผู้หนึ่งนัก” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “หึ!” เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ สายตาคมกริบดูลึกล้ำเกินจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เว่ยอี้พลางขยับเดินเข้าไปอีกก้าว ใบหน้าโน้มเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ใกล้ข้างแก้มนวล น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบา “ที่แท้ก็เป็นอันธพาลน้อยผู้หนึ่งหรอกหรือ…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่มุมปาก เว่ยอี้เอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายกำลังหยอกเย้า “หากข้ามองจากที่ไกลคงเข้าใจผิดไปว่าเถ้าแก่โรงไม้กำลังถูกท่านข่มขู่เสียกระมัง…” ดวงตาคู่งามของเซินลี่ฮวาวาววับขึ้นมาทันควัน นางยกมือขึ้นผลักอกเขาอย่างแรงจนชายหนุ่มผงะถอยเล็กน้อย “บัดซบเถอะ! เจ้าคนถ่อย” เหตุใดสวรรค์จึงไม่เลิกกลั่นแกล้งข้าเสียที! วันก่อนก็เพิ่งมีเรื่องกับสามีผู้ไม่น่าจดจำ วันต่อมายังต้องมาเจอเข้ากับบุรุษต่ำช้าผู้นี้อีก…นางทำอันใดผิดหรือถึงได้ถูกสวรรค์กลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้! “คุณชายระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของผิงอันเอ่ย นางยืนมองอยู่นานเห็นสีหน้าและท่าทางของผู้เป็นนายเริ่มไม่ดีจึงแทรกทันที “ฮูหยินของข้าหาได้ไปมีเรื่องหรือหาเรื่องกลับผู้ใดทั้งสิ้น…เพียงแค่มาสั่งทำเตียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” เว่ยอี้ได้ยินแล้วพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เกรงว่าคงเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปแล้วงั้นหรือ” “เหอะ!” เซินลี่ฮวาหาได้ตอบอันใดเพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดและมองอีกฝ่ายตาขวางเท่านั้น ก่อนจะกระทืบเท้าแรงอย่างหงุดหงิดพร้อมทั้งจะสะบัดชายแขนเสื้อเดินเลี่ยงออกจากบุรุษผู้นั้นทันที น้ำเสียงหวานกล่าวพึมพำเสียงดังลั่นอย่างจงใจ “ข้าคงต้องทำบุญล้างซวยเสียบ้าง…วันดีคืนดีก็ชนคนโง่เข้าทุกที!” ณ จวนสกุลโม่ เหตุการณ์ในเช้าวันนี้ทำเอาโม่เหยียนซวี่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเสียจริง! ใครจะคาดคิดว่าหลังจากออกจากจวนไปได้เพียงแค่สามปี สตรีที่เคยเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้! ยามนั้นดวงอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า โม่เหยียนซวี่ก็ต้องสะดุ้งตื่นนอนเพราะเสียงฝีเท้าขวักไขว่กับเสียงข้าวของกระทบกันดังเอะอะราวกับเกิดการวิวาทในจวน โม่เหยียนซวี่รีบลุกจากเตียงด้วยความหงุดหงิด เดินออกมาดูต้นเสียงแต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาต้องยืนตาค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความโกรธจะปะทุขึ้นคับอกจนแทบกระอักออกมา! ข้าวของทั้งหมดของไป๋หรูอี๋…ไม่ว่าจะเป็นทั้งกล่องเครื่องประทินโฉม ตะกร้าผ้าปักลาย ผ้าคลุมไหล่ไหมบางและแม้แต่ชุดชั้นในลายดอกเหมยล้วนถูกยกออกมากองไว้หน้าจวนอย่างไม่ไยดี! ยิ่งกว่านั้น เมื่อเขารีบตรงไปหาเซินลี่ฮวาเพื่อต่อว่าแต่กลับได้รับคำตอบจากสาวใช้หน้าประตูว่า... ‘ฮูหยินออกไปเดินเล่นที่ตลาดเจ้าค่ะ บอกว่าอากาศเช้าดี เลยไปผ่อนคลายจิตใจ’ โม่เหยียนซวี่ถึงกับยืนนิ่ง…อกกระเพื่อมด้วยความโกรธ ผ่อนคลายจิตใจงั้นหรือ? ก่อเรื่องวุ่นวายเอาไว้ แล้วมีหน้าหนีไปเดินเลือกแจกันกลางตลาดอย่างรื่นรมย์หรือ!? โม่เหยียนซวี่ยืนเงียบๆ รออยู่หน้าประตู สายตาคมกริบแข็งกร้าวจ้องมองที่ยังไม่ปิดด้วยความไม่พอใจ…นี่ก็ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปแล้วเหตุใสตรีผู้นั้นยังไม่โผล่หน้ากลับจวนมาอีก ทว่าในจังหวะนั้นเอง บานถูกประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เซินลี่ฮวาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ใบหน้าคนงามเรียบเฉยทว่ากลับมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่มุมปาก โม่เหยียนซวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยความดูแคลน “หึ! อยากกลับจวนมากมิใช่หรือ…ไม่ถึงวันดันโผล่หน้าไปที่อื่นเสียแล้ว” เซินลี่ฮวาพลางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รอข้าอยู่งั้นหรือ” “เซินลี่ฮวา!” น้ำเสียงทุ้มตวาดดังลั่นจนเสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งจวน ทว่าสตรีตรงหน้ากลับยังยืนแน่นิ่งไร้ความเกรงกลัว โม่เหยียนซวี่กัดฟันกรอด รู้สึกเดือดดาลจนแทบคลั่ง เห็นเขาเดือดดาลเช่นนี้…เซินลี่ฮวายิ่งอารมณ์ดีเกินหลือเ ใบหน้าของนางพลางระบายิ้มมกว้าง “หากอยากจะขอบคุณเรื่องเมื่อเช้า ก็ช่างเถอะ...เก็บส่งคืนก็ดีกว่าเก็บทิ้ง!”ฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครายามบ่ายมีแสงแดดอ่อนส่องละมุนไปทั่วบริเวณ สายลมอุ่นโชยพัดแผ่วเบาราวกับกำลังลบเลือนความขมขื่นในใจให้จางหายไป พร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นอย่างเงียบงันเว่ยอี้จิบชาหอมกรุ่นจากเหม่ยฮวาในลานกลางจวน ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยากจะบรรยายชีวิตในยามนี้…ช่างดีไม่น้อย นับตั้งแต่มีภรรยาเคียงข้าง“เหอะ!”ซ่งเหวินเห็นท่าทีของสหายแล้วก็อดแค่นเสียงเย้ยหยันไม่ได้ เขาหันไปมองเซินลี่ฮวาด้วยแววตาล้อเลียนพลางกล่าวถามสงสัยอย่างแสร้งสงสัย“ฮูหยินให้กินสิ่งใดเข้าไปหรือ...ไฉนเว่ยอี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”เซินลี่ฮวาได้ยินแล้วพลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่งามที่เคยหม่นหมองมานานบัดนี้กลับเปล่งประกายอ่อนโยน ราวกับสามารถวางปล่อยความหลังได้เสียทีใบหน้าของนางระบายยิ้มบางอย่างอ่อนโยน“อาเว่ย…เป็นสามีที่ดีเจ้าค่ะ”เพียงถ้อยคำสั้นๆ เรียบง่าย กลับฟังแล้วตรึงใจซ่งเหวินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่ากลายเป็นตัวขัดจังหวะเวลาพลอดรักของคนสองคน เขาบ่นพึมพำราวกับตัดพ้อ “เหอะ! เกรงว่าข้าคงต้องรีบกลับจวนแล้วกระมัง”เว่ยอี้ยกคิ้วขึ้นอย่างยียวน กล่าวด้วย
ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนในค่ำคืนปลายเหมันต์ ลมหนาวพัดเอื่อยเฉื่อยพลันรู้สึกเย็นเฉียบจนบาดผิว กิ่งไม้เปลือยใบพลิ้วไหว คล้ายกำลังกระซิบกับท้องฟ้ายามราตรีเซินลี่ฮวานั่งเหยียดหลังตรงอยู่ภายในเรือนเงียบ นางรอคอยอย่างใจเย็น...พิธีการเหล่านี้นางเคยผ่านมาหมดแล้วทว่าความรู้สึกในครั้งนี้กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในครานั้น นางแต่งเพราะไม่อาจปฏิเสธได้แต่ยามนี้...นางเลือกเองหาใช่เพราะเหตุผลอันใดกาสุรามงคลตรงหน้าค่อยๆ เย็นเฉียบไปตามอุณหภูมิในห้องหอที่เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูหนาวอันเงียบสงบเอี๊ยดด…ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะปิดลงตามหลัง พร้อมฝีเท้าหนักแน่นที่เดินตรงเข้ามาไม่เร่งรีบทว่าเปี่ยมด้วยความหนักแน่นเขามาแล้ว…!?นางไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา มือทั้งสองข้างเผลอกำเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้เว่ยอี้ก้าวเข้ามาในห้องหอ เขาทอดมองภรรยาหมาดๆ ในชุดแต่งงานอาภรณ์สีแดงสดอย่างพึงพอใจ สายตาคมกริบคู่นั้นไม่อาจซ่อนความตกตะลึงในความงามของนางได้แม้แต่น้อยเขาหยิบคันชั่งไม้ลงก่อนจะเดินตรงเข้ามาเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นด้วยมือที่มั่นคงอย่างแผ่วเบา“รอนานหรือไม่” น้ำเสีย
บรรยากาศภายในจวนสกุลโม่ยังคงปกคลุมด้วยความขุ่นมัวแม้ยามค่ำคืนจะจุดโคมสว่างไสวทั่วทุกมุม ทว่าในใจของผู้อยู่อาศัยกลับมืดมนเสียยิ่งกว่าโม่เหยียนซวี่ยังคงนอนไม่ฟื้นคืนสติร่างของแม่ทัพใหญ่ที่สง่างามเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามทว่าบัดนี้กลับนอนแน่นิ่งไม่ได้สติไร้วี่แววที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา…ดูราวกับไม่มีชีวิตหมอชราต่างพลางกันถอนหายใจถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ “แม้ยื้อชีวิตจากปรโลกกลับคืนมาได้…ชีพจรไม่แตกสลายแต่กระดูกสันหลังช่วงล่างถูกของมีคมเฉือนเข้าอย่างรุนแรง หากโชคดีอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้แต่เกรงว่า…” เขาเว้นคำไว้เพียงเท่านี้ เมื่อเห็นแววตาพร่ามัวของไป๋หรูอี๋เบิกกว้างขึ้นมาไป๋หรูอี๋ตะคอกเสียงดัง นางถลึงตามองหมอชราตรงหน้าก่อนจะละสายตาไปมองร่างของโม่เหยียนซวี่ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ “พูดให้ชัด!...หมายความว่าเขาจะพิการใช่หรือไม่!”หมอชราแทบจะคุกเข่าแนบลงพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเจ็ดส่วน “มิใช่เช่นนั้นขอรับ…”“…”“ทว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสวรรค์ทั้งสิ้น:ไป๋หรูอี๋ได้ยินแล้วเซถอยอย่างหมดเรี่ยวแรง ริมฝีปากที่เคยแต้มชาดเม้มแน่นคล้ายถูกตัดลมหายใจนางไม่อาจรับได้…ขึ้นอยู่กลับสวรรค์งั้นหรือ
ณ จวนสกุลเว่ยเช้าตรู่ขนาดนี้ไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่นายท่านเว่ยกลับมาพร้อมสตรีแปลกหน้า ไม่ว่าใครต่อใครในจวนเห็นแล้วต่างก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันด้วยความอยากรู้อยากเห็นทว่าเพียงแค่สบตานายท่านเพียงแวบเดียวเท่านั้น…ความกล้าพลันหายวับไปราวกับมีสายลมโชยมาพวกนางต่างหุบปากเงียบกริบราวถูกสาปให้เป็นใบ้ทันทีตั้งแต่ออกจากจวนสกุลโม่มา…แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในรถม้า เซินลี่ฮวาก็ไม่เอ่ยคำใดออกมาเลยสักครึ่งคำนางเอาแต่เงียบมาตลอดทั้งทางและดูเหม่อลอยใบหน้าคนงามเฉยชาไร้อารมณ์ใดๆ ฉายออกมาแต่ทว่าดวงตาคู่งามกลับหม่นหมองราวกับซ่อนความรู้สึกมากมายที่กำลังไหลหลั่งอยู่ภายในจนยากจะจัดการเว่ยอี้เหลือบตามองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหนึ่งโอบประคองกอดนางไว้หลวมๆ อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน“แม่นางเซินดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ให้สาวใช้เตรียมเรือนรับรองให้นางพักก่อนดีหรือไม่…”เซินลี่ฮวาไม่ได้ตอบอันใดออกมาทันที นางเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามที่เคยว่างเปล่าเหมือนไร้วิญญาณกลับสะท้อนประกายบางอย่างที่เขามองแล้วไม่อาจจับต้องได้“แล้วแต่ขุนนางเว่ยเถิด” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาราวกับกำลังกระซิบ แ
ไป๋หรูอี๋มั่นใจว่า นางมีที่ยืนมั่นคงในใจของโม่เหยียนซวี่ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ยังคงทอดมองสตรีผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ราวกับไม่อยากปล่อยนางจากไปแล้ว...หัวใจของนางก็พลันเย็นเฉียบลงทันทีตลอดหลายวันมานี้ เซินลี่ฮวาทำให้นางขุ่นเคืองอยู่มากจนแทบระเบิดอยู่ทุกเมื่อ มิหนำซ้ำยังให้คนขับไล่นางออกจากเรือนใหญ่เหมือนเป็นเพียงหัวขโมยไร้ค่าและยิ่งไปกว่านั้น...โม่เหยียนซวี่ที่เคยเชื่อฟังนางนักหนา กลับทำเป็นไม่รับฟังคำใดของนางเสียแล้วเหตุใดทุอย่างจึงไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด!นางแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอ ความรู้สึกน้อยใจเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมจะระเบิดในพริบตา ความคิดบางอย่างพลันแล่นเข้ามาในหัวทันที“อ๊ะ…!” น้ำเสียงหวานร้องแผ่วเบา...แต่กลับดังก้องในจวนที่เงียบงันคล้ายมีเจตนาให้ทุกคนได้ยินไป๋หรูอี๋เอนตัวโอนเอนไปมาคล้ายกับจะเป็นลม ร่างระหงเซจะทรุดฮวบลงกับพื้นในพริบตาแต่ทว่าโม่เหยียนซวี่กลับไม่แม้แต่จะปรายตาชำเลืองมองเลยแม้แต่น้อย!นั่นยิ่งทำให้นางโกรธจนแทบคลั่ง!เซินลี่ฮวาเห็นละครตื้นเขินตรงหน้าแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มไว้แก้ว่าอีกฝ่าจะเก้อเขินเอาได้ นางขบริมฝีปากแน่น มือไม้คันยุบยิบอยากจะฟาดให้สักฉาดแต่สุด
“ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ!...ขุนนางเว่ยมาหาเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงสาวใช้หน้าประตูเอ่ยแจ้งด้วยท่าทางรีบร้อน นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนแทบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไปกับพื้นพอได้ยินประโยคนี้ เซินลี่ฮวาปรายสายตาหันไปมองทันที ดวงตาคู่งามฉายแววงุนงงและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยถามสาวใช้ผู้นั้นเสียงเรียบ “เขามาทำไม”นางส่ายหน้าไปมาพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยหอบ “บ่าว…บ่าวมิอาจทราบเจ้าค่ะ แต่ดูท่าทีเร่งร้อนนัก”ทันใดนั้น หางตาซ้ายของนางกระตุกริกๆ ทันทีราวกับเป็นลางบอกเหตุ เซินลี่ฮวาลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรง ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยท่าทางสงบนิ่งหากเป็นเช่นนี้…เกรงว่าคงเป็นข่าวดีแน่“พาเขาเข้ามาเถอะ…ข้าจะรออยู่ที่นี่”“เจ้าค่ะ!”เซินลี่ฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นจากเบาะนั่ง ก่อนจะขยับมือจัดชายแขนเสื้อให้เรียบร้อย แล้วจึงยกขึ้นลูบไล้เรือนผมเบา ๆ คล้ายกำลังเตรียมตัวรับแขกสำคัญนางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหมาย “ผิงอันไปเตรียมน้ำชาดีๆ มาสักกาหนึ่งพร้อมขนมอีกถาดให้ข้าทีได้หรือไม่”ผิงอันที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองเห็นแล้วถึงกับไม่อยากเชื่อมิใช่ผู้เป็นนายเคยกล่าวเอาไว้ว่าที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเท่า