สิบเจ็ดปีผ่านไป
เมืองเทียนสิน แคว้นเทียนฝู่
“หนี่เอ๋อร์..หนี่เอ๋อร์ ออกมาหาแม่หน่อย.. จูอ้ายเหม่ย แม่บอกให้ออกมาหาแม่หน่อยได้ยินไหม” เสียงของมารดาดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อลูกสาวสุดที่รักยังไม่ยอมออกมา
“ท่านแม่”
ใบหน้ายิ้มแย้มตึงขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนที่เดินออกมา
“ออกมาทำไม ใครเรียกเจ้า” น้ำเสียงที่กังวานหวานเปลี่ยนเป็นกระด้างด้วยความไม่พอใจ
คำพูดไร้เยื่อใยของมารดา ทำให้หญิงสาววัยย่างสิบแปดรู้สึกชอกช้ำ แต่ก็แสดงออกเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“อ้ายเหม่ยให้ข้ามาถามท่านแม่ว่ามีธุระอันใดกับนาง”
“ไปบอกให้นางออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋ซินซินหายไปไม่นาน หญิงสาวนางหนึ่งก็เดินหน้าบึ้งออกมา
“ท่านแม่เรียกข้าทำไม”
“ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นเล่าหนี่เอ๋อร์ ดูไม่งามเลย” จูอินรีบเช็ดมือจนสะอาด กุมใบหน้างดงามจับจิตในสายตาของนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ยิ้มไว้ลูกรัก ใบหน้างดงามปานล่มเมืองของเจ้าเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า”
“ก็ข้าหงุดหงิดที่ท่านเรียกข้านี่”
“ที่แม่ต้องเรียกเจ้าก็เพราะจำเป็น ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช้เจ้าเด็ดขาด”
“ท่านแม่จะใช้ข้าทำอะไร ข้าไม่ทำงานบ้านหรอกนะ ไปใช้นางสิ” นางหมายถึงไป๋ซินซิน
“แม่จะให้เจ้าไปส่งซาลาเปากับเกี๊ยวให้ท่านเติ้งต่างหากเล่า”
“ข้าไม่ไป” ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยท่าทางโอหัง
“เจ้าก็รู้ว่าท่านเติ้งกำชับมาเองว่าทุกครั้งที่ไปส่งของ ต้องให้ลูกสาวเจ้าของร้านไปส่งเท่านั้น ถ้าเป็นลูกจ้างจะไม่รับของเด็ดขาด”
ใบหน้างามบูดบึ้ง “ตลอดสองปีที่ข้ากับอาซินสลับกันไปส่งของที่บ้านท่านเติ้ง พวกเรายังไม่เคยได้เห็นเขาเลยสักครั้ง ข้าจึงไม่เข้าใจว่าเขาจะกำชับมาแบบนี้เพื่ออะไร”
“ท่านเติ้งเป็นคหบดีที่มั่งคั่งและมีบารมีที่สุดในแคว้นนี้ ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาหรอก ว่ากันว่าท่านย้ายมาจากเมืองหลวง มีเส้นสายใหญ่โตอยู่ในวังหลวงด้วยนะ บางทีท่านเติ้งอาจจะกำลังสนใจเจ้า”
“สนใจอย่างไร มองหาสตรีเข้าวังหลวงหรือ”
“เจ้าคิดไกลเกินไปแล้ว เพื่อตัวท่านเองต่างหากเล่า”
“ความคิดของท่านแม่ก็ช่างตื้นเขินเกินไปแล้ว”
“ทำไมเจ้าถึงว่าแม่แบบนั้นเล่า”
“ก็จริงนี่ ข้าเคยได้ยินพวกสตรีในร้านขนมเขา คุยกัน บอกว่าท่านเติ้งกำลังจะแต่งภรรยาคนที่สี่..ส่วนภรรยาทั้งสามก่อนหน้าล้วนได้รับใบหย่า ต้องแบกความอัปยศออกไปจากคฤหาสน์สกุลเติ้ง เพราะพวกนางไม่สามารถมีลูกให้ท่านเติ้งได้”
“จริงหรือลูกรัก ทำไมแม่ถึงไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดถึงเลยเล่า แค่เคยได้ยินว่าเขาอาจจะมีฮูหยินอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่เปิดเผยตัว”
“ข้ายังรู้อีกว่าทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของภรรยาเขาเลย แต่ล้วนผิดที่ตัวเขาเอง จริง ๆ แล้วท่านเติ้งเป็นบุรุษตายด้าน ไร้ความรู้สึก ให้ความสุขกับพวกนางไม่ได้ ซ้ำยังเป็นชายพิการขากระเผลก ต้องนั่งรถเข็นมากกว่าเดิน จึงเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ไปไหนเพราะอายตัวเอง”
“จริงหรือ!”
“ก็ข้าได้ยินมาแบบนี้ ท่านแม่ไม่เชื่อข้าหรือ”
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่มันไม่น่าเชื่อต่างหากเล่า”
“ท่านแม่เคยเห็นท่านเติ้งหรือ”
จูอินรีบส่ายหน้า นางมองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถึงแม้อยู่ห่างกันเป็นลี้ แต่ความใหญ่โตของมันก็ทำให้เหมือนอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่จั้ง
“แม่มาอยู่ที่นี่นานเท่า ๆ กับอายุของซินซิน หลังจากนั้นไม่นานคฤหาสน์ของท่านเติ้งก็ถูกสร้างขึ้น ใช้เวลาสร้างนานนับปีสองปีกว่าจะเสร็จ ประมาณหนึ่งปีต่อมาก็เริ่มขนของเข้ามา แต่แม่ก็ไม่เคยเห็นท่านเติ้งเลยสักครั้ง..” นางทำตาโต “หรือจริง ๆ แล้วพ่อบ้านโปก็คือท่านเติ้ง”
หญิงสาวชักสีหน้าเอือมระอากับความคิดของมารดา
“ท่านแม่ ทำไมความคิดท่านถึงตื้นเขินเพียงนี้”
“ทำไมว่าแม่อีกแล้วหนี่เอ๋อร์”
“ท่านคิดว่าคหบดีอย่างท่านเติ้งจะอ่อนน้อมกับคนที่ด้อยกว่าเขาหรือ ท่านแม่รู้ใช่ไหมว่าป้าโปคือเมียของท่านพ่อบ้านโป” นางพูดถึงแม่ครัวที่มักจะพาสาวใช้มาซื้อของในตลาดอยู่ประจำ “นางไม่ใช่ฮูหยินสกุลเติ้งแน่ ๆ”
“เอาเถอะ ๆ รีบเอาของพวกนี้ไปส่งที่บ้านท่านเติ้งได้แล้ว” นางจูตัดบท
“ข้าไม่ไป ให้ซินซินไปแทนก็แล้วกัน” พูดจบสตรีวัยสิบหกก็หมุนตัวเดินเข้าบ้านทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของมารดาสักนิด
คฤหาสน์สกุลเติ้ง
ไป๋ซินซินนั่งเกร็งอยู่ภายในโถงรับแขก หายใจไม่ทั่วท้องเพราะความใหญ่โตโอ่อ่า และวิจิตรบรรจงของสถานที่ เกิดมาอายุเกือบจะสิบแปดปี เพิ่งจะเคยเข้ามานั่งในบ้านผู้มั่งคั่งเป็นครั้งแรก ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
นางรีบลุกขึ้นเมื่อเห็นพ่อบ้านเดินนำหน้าสาวใช้ที่คนหนึ่งยกถาดน้ำชา อีกคนยกถาดขนมหลายจานเดินเข้ามา
“ลุงโป”
“คุณหนูใหญ่เชิญนั่งเถิด ดื่มน้ำชา ชิมขนมสักหน่อย ไม่รู้ว่าถูกปากหรือไม่”
“เรียกข้าว่าอาซินหรือเสี่ยวซินเถิดลุงโป อย่าเรียกคุณหนูใหญ่เลย” หญิงสาวกล่าวอย่างละอาย ไม่อาจยอมรับตำแหน่งคุณหนูใหญ่ไว้ได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองนั้นเป็นแค่ลูกติดมารดา และมารดาก็ไม่ได้รักและดีต่อนางสักนิด
เมื่อก่อนนางก็เข้าใจว่าตัวเองชื่อไป๋ซินซินมีสกุลว่าจู แต่พอนางอายุสิบห้าถึงวัยปักปิ่น เปลี่ยนจากเด็กสาวมาเป็นหญิงสาว มารดาก็บอกว่านางคือลูกของคนแซ่ไป๋ที่ตายไปแล้ว เป็นสามีคนแรกที่นางไม่เคยรัก นางไม่ใช่คนของสกุลจู
ที่ท่านยอมบอกเพราะท่านไม่อยากปิดบัง ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้อีกแล้ว
ดังนั้นอย่าได้รู้สึกเสียใจที่ถูกหมางเมินจากคนสกุลจู เพราะนางก็เป็นแค่กาฝากเท่านั้น
ตอนนั้นนางอยากจะถามมารดากลับไปนักว่านางไม่ใช่ลูกของท่านหรือ ทำไมนางถึงกลายเป็นคนอื่นแม้กระทั่งกับมารดา แต่ด้วยสิ่งที่ถูกปฏิบัติมาจากท่านตั้งแต่จำความได้ จึงปิดปากไม่เอ่ยถาม ยอมก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบ ๆ
อย่างน้อยพวกเขาก็ยังให้นางมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน ดีกว่าต้องไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอก
คำตอบที่ได้ยินทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโมโหในการกระทำของภรรยา โมโหจนจุกอกจนต้องใช้มือช่วยขยี้“หรือเจ้าไม่รู้เรื่องนี้”“นางเคยพูดถึงผู้เฒ่าเสิ่นหลังจากที่ข้าบอกเรื่องที่ท่านจะแต่งอาซินเข้าบ้าน เราสองคนมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องนี้ นางอยากให้อาซินแต่งเข้าสกุลเสิ่น แต่ข้าก็ปฏิเสธชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะให้อาซินแต่งงานกับท่าน นางก็รับปากข้าดิบดี ขอมาคุยเรื่องนี้กับพ่อบ้านโปเอง ดังนั้นที่ข้าเห็นอาซินร้องไห้วันนี้ ข้าจึงเข้าใจว่านางไม่อยากแต่งงานกับท่าน”“เหตุใดฮูหยินจูถึงอยากให้นางแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่นมากกว่าข้า” แม้จะรู้เหตุผลแต่ก็อยากจะถามลองเชิงให้แน่ชัด เพราะอยากรู้ว่าคนผู้นี้มีความหวังดีและจริงใจ ให้หญิงสาวที่เป็นเพียงลูกเลี้ยงเพียงใด“ตามที่เราคุยกัน นางอยากให้อาซินได้แต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เพราะเขารับปากนางว่าจะแต่งอาซินเป็นเมียเอก ทำให้นางมั่นใจว่าอาซินจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าแต่งกับท่าน”“แล้วแต่งกับข้าไม่มั่นคงอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ามั่งคั่งเพียงใด”“.....”“พูดมาเถิด ผิดพลาดตรงไหนข้าจะได้แก้ต่างกับท่านวันนี้เลย ข้าสู้ผู้เฒ่าเสิ่นไม่ได้ตรงไหน”“ไม่ใช่เรื่อ
ทันทีที่พ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์สกุลเติ้ง ไป๋ซินซินก็รีบจับแขนของมารดา แต่ก็ถูกสะบัดออกอย่างแรง จึงได้แต่จับมือตัวเองอย่างหวาดหวั่นกระวนกระวาย“ท่านแม่ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นจริงหรือ”จูอินคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “ดีใจจนร้องไห้เลยหรืออาซิน”“ข้าไม่ได้ดีใจนะท่านแม่”“ไม่ต้องห่วง แม่คนนี้จะรีบไปเจรจาให้เจ้าเดี๋ยวนี้แหละ เจ้ากับน้องกลับบ้านไปก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากแม่ได้เลย”หญิงสาวรีบคุกเข่ากับพื้นถนน “ท่านแม่ได้โปรด อย่าให้ข้าแต่งงานกับท่านผู้เฒ่าเลยนะ”“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” จูอินรีบหันซ้ายแลขวาแล้วกระชากร่างเล็กขึ้นมา “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!”“เจ้าทำให้แม่โกรธอีกแล้วนะอาซิน!” จูอ้ายเหม่ยตะคอกเสียงเบา แล้วบิดเนื้อตรงต้นแขนของนางด้วยความเกลียดชังเป็นทุน “แต่งงานกับท่านผู้เฒ่าไม่ดีตรงไหน ฐานะท่านก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาช่วยท่านพ่อทำงานอีก”“ใช่ พอเจ้าแต่งงานไปแล้วข้าก็ต้องมาเหนื่อยแทนเจ้าอีก ข้าเสียสละเพื่อเจ้าแค่ไหนคิดบ้างสิ”“ข้ายอมเหนื่อย ยอมตื่นเช้านอนดึกกว่าเดิมก็ได้ ท่านแม่อย่าให้ข้าแต่งงานกับผู้เฒ่าเสิ่นเลยนะ”“ไม่ได้ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว อ้ายเหม่ยพานางกลับบ้านไปเดี๋ย
อี้เทียนมองหญิงสาวเล็กน้อย “ข้าต้องกินข้าวตรงเวลาเพราะต้องกินยา กินข้าวด้วยกันนะ”ซินซินยังไม่ทันตอบอะไร อ้ายเหม่ยก็รีบเดินไปยืนใกล้รถเข็นของเขา“ให้อ้ายเหม่ยช่วยนะเจ้าคะ”“ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวดีกว่าคุณหนู” ซูฮวาพูดอย่างนอบน้อม แล้วเบียดอีกฝ่ายให้หลุดไปจากตำแหน่งคนเข็นรถ“เชิญ” เติ้งอี้เทียนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความไม่พอใจของแม่ลูกกับสาวใช้ แต่แอบสนใจความสงบเสงี่ยมเจียมตัวของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาที่โต๊ะอาหารจูอ้ายเหม่ยตื่นเต้นกับอาหารหลากชนิดที่วางอยู่บนโต๊ะขนาดใหญ่ หลายอย่างล้วนเป็นอาหารที่ไม่เคยกิน ส่วนที่เคยกินก็ดูพิถีพิถันกว่ามาก“ท่านแม่ โต๊ะนี่หมุนได้ด้วย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”“สำรวมกิริยาหน่อยอ้ายเหม่ย” จูอินรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มอ่อนหวานมองไปทางเจ้าของคฤหาสน์ “ท่านเติ้งอย่าถือสานางเลยนะ ต้องโทษข้าที่เลี้ยงดูนางอย่างเคร่งครัดเกินไป แทบไม่เคยให้ออกจากบ้านไปไหน พอเจออะไรแปลกตาจึงมักจะตื่นเต้นเกินงาม”“กินข้าวกันเถิด ถ้าไม่ถูกปากหรืออยากได้อะไรเพิ่มก็บอกได้นะ ข้าจะให้ห้องครัวทำมาให้” พูดเสร็จเขาก็หมุนฐานไม้บนโต๊ะอาหาร “ตรงหน้าเจ้าคือเนื้อตุ๋นลิ้นจี่ ลองตักกินส
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”“พูดมา”“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”“ข้าไม่เคยได้ยิน”“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว”
บ้านสกุลจูไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินแต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว“มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ”“ท่านพ่อ!”“หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตาอ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้“ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า“เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะจูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร“ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก“แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง”“ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง”“แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”“อีกประมาณครึ่งเดื
ความโอหังของจูอ้ายเหม่ยหายไปเกินครึ่งเมื่อถูกเอ่ยถึงบิดา ใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างท้าทายไม่เกรงกลัวใคร เริ่มมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“ข้านึกออกแล้ว” เฟิงเมี่ยนชี้หน้าอ้ายเหม่ยพร้อมทำตาโต “เจ้าคือลูกสาวคนรองของร้านซาลาเปาสกุลจู” เขาปรบมือรัว ๆ ทำท่าภูมิใจกับความฉลาดของตัวเอง “ในเมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขอทานแล้ว ข้าไปเล่าให้เขาฟังว่าโดนอะไรบ้าง แล้วขอค่ายาจากเขาสักหน่อยดีกว่า”จูอ้ายเหม่ยหน้าซีดด้วยความกลัว รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อนึกถึงบิดา.. แม้ท่านจะดูใจดี แต่เมื่อใดที่ท่านโกรธขึ้นมา มารดาก็ยังไม่กล้าต่อกร แล้วนางเป็นแค่ลูกจะรอดได้อย่างไร“จะไปไหน” เฟิงเมี่ยนสะใจเมื่อเห็นนางสะดุ้งสุดตัว “จะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ เจ้ายังไม่ได้ขอโทษพวกเราเลย”“ทำไมข้าต้องขอโทษ” แม้จะขัดขืนแต่เสียงก็อ่อนลงเกินครึ่ง ความมั่นอกมั่นใจลดเหลือแค่หนึ่งส่วนจากสามส่วน“เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถิด ข้าไปคุยกับเถ้าแก่จู พ่อของเจ้าง่ายกว่า”“ข้าขอโทษ! ขอโทษ ๆ ๆ ข้าขอโทษ!” ตะคอกใส่หน้าบุรุษทั้งสอง ถลึงตาใส่เฟิงเมี่ยนอย่างอาฆาตแค้น “พอใจหรือยัง”“ถ้าขอโทษไม่เต็มใจแบบนี้ก็จ่ายเจ็บหน้าข้ามาด้วยก็แล้วกัน”“ข้าไม่มี”“ไม่เ