ตอนที่ 5
“ข้าคิดว่า การที่นางได้รับบาดเจ็บหนักในครั้งนี้ ทำให้เลือดลมในร่างกายเปลี่ยนไป มันอาจเป็นความโชคดีของนาง” หมอหูพูดถึงการคาดเดาของเขาให้อีกฝ่ายได้ฟัง แม้เขาจะไม่แน่ใจ แต่นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พอจะเป็นไปได้
โจวซื่อที่ได้ยินเช่นนั้น กลับไม่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอย่าพึ่งเป็นกังวลไปเลย ระหว่างนี้ก็คอยดูอาการของนางไปก่อน ข้าจะจัดยาบำรุงร่างกายให้นางหนึ่งชุด”
“ขอบคุณหมอหูมากเจ้าค่ะ” โจวซื่อกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งใจ
“เจ้าอย่าได้เกรงใจเกินไปเลย แม้ข้าจะไม่ได้อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากมารดาของนางมาบ้างเช่นกัน” หมอหูกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ
หากจะว่าไปแล้ว สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวอย่างซูอวี้หนิงสามารถมีชีวิตอยู่อย่างตัวคนเดียวได้ถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะมารดาของนาง
ก่อนที่มารดาของนางจะสิ้นลมไป เคยช่วยเหลือชาวบ้านเอาไว้มากมาย รวมถึงคนหมู่บ้านใกล้เคียงอีกด้วย ครอบครัวของเขาเองก็เคยได้รับการช่วยเหลือจากมารดาของนางเช่นกัน
หมอหูถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนา เขาเองก็ไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้มากนัก ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำได้เพียงมาตรวจชีพจรให้นางทุก ๆ สิบวันเท่านั้น มีเพียงการทำเช่นนี้เพื่อตอบแทนมารดาของนางที่สิ้นลมไป
ก่อนกลับหมอหูได้เขียนรายการเทียบยาให้กับโจวจื่อเฉียง เพื่อให้เขาเข้าเมือง ไปซื้อที่ร้านขายยา
ซูอวี้หนิงที่อยู่ภายในห้องไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ด้านนอกนั้น ทุกคนกำลังกังวลกับอาการป่วยของนางมากเพียงไร เพราะตอนนี้นางกำลังมองไปที่รอบ ๆ ห้องด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ รวมถึงประเมินสถานการณ์ที่นางกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
ร่างบางค่อย ๆ เลิกผ้าห่มที่คลุมร่างกายท่อนร่างของนางออก แต่ทันทีที่เท้าของนางสัมผัสพื้น ทำให้ซูอวี้หนิงรับรู้ได้ทันทีถึงอาการเจ็บปวดบริเวณข้อเท้า และสะโพก
แต่ที่เจ็บหนักมากที่สุดน่าจะเป็นอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของตนเองเสียมากกว่า
นางเป็นหมอ ย่อมประเมินสภาพร่างกายของตนเองในตอนนี้คร่าว ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางหยุดความคิดที่จะเดินออกไปด้านนอกทันที
นางกวาดตาไปมองรอบ ๆ อย่างพิจารณา เตียงนอนไม้ที่นางกำลังนอนอยู่ แม้จะดูเก่ามากแล้ว แต่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า มันถูกทำมาอย่างปราณีต เครื่องใช้ภายในห้องเช่นกัน ทุกอย่างเป็นของใช้ที่ดูล้าสมัยคล้ายกับยุคโบราณที่นางเคยเห็นในหนังผ่าน ๆ มา
ขณะที่นางกำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนที่อยู่ด้านหน้าประตู ก่อนใครบางคนนั้นจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับชามใบหนึ่ง
“เสี่ยวซู ท่านแม่ให้ข้านำน้ำแกงมาให้เจ้า” โจวจวงจื่อเดินถือชามน้ำแกงเข้ามา พร้อมกับมองมาที่หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาคล้ายประหม่าเล็กน้อย
ในตอนนั้นเอง ความทรงจำเลือนรางของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของนางอย่างรวดเร็ว ทำให้ซูอวี้หนิงรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างนี้กับหญิงสาวตรงหน้า
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนไม่พูดและมักถูกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านรังแก มีเพียงเด็กสาวตรงหน้าและพี่ชายของนางเท่านั้น ที่คอยปกป้องและคอยดูแลนางตลอดเวลา
อาจเป็นเพราะความรู้สึกของซูอวี้หนิงคนก่อนยังหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจของร่างนี้ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายกับอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว
“ขอบคุณ” น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้น
แม้มันจะแผ่วเบาและแหบพร่าอยู่บ้าง แต่โจวจวงจื่อกลับได้ยินมันชัดเจน
ทันใดนั้นเอง ซูอวี้หนิงกลับเป็นฝ่ายที่ต้องตกใจเอง เพราะโจวจวงจื่อที่อยู่ตรงหน้าของนางกลับร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย ทำเอานางทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
“ฮือ เสี่ยวซู ในที่สุดเจ้าก็ยอมพูดแล้ว ฮือ ๆ” โจวจวงจื่อกล่าวไปพร้อมกับร้องไห้ไป นางพูดอีกหลายคำ แต่เพราะอีกฝ่ายร้องไห้มากกว่า ทำให้ซูอวี้หนิงฟังไม่ถนัดหูว่านางพูดว่าอะไร
รอจนผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็หยุดร้องไห้เอง
การกระทำของนางทำเอาซูอวี้หนิงถึงกับหัวเราะออกมา หญิงสาวตรงหน้ามองดูก็รู้ว่าน่าจะอายุราว ๆ สิบหก สิบเจ็ดแล้ว แต่ยังร้องไห้ราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง
เมื่อซูอวี้หนิงดื่มน้ำแกงจนหมดชามแล้ว โจวจวงจื่อก็กลับออกไป แต่ออกไปเพียงไม่นาน นางก็กลับมาด้านในอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางไม่ได้พูดอะไรกับซูอวี้หนิงอีก นางเพียงเข้ามานำผ้าห่มและผ้าปูเตียงของนางออกไป และนำอีกชุดมาเปลี่ยนให้
ในตอนนั้นเองซูอวี้หนิงก็สังเกตบางอย่างได้ ดูจากชุดที่โจวจื่อจวงสวมใส่ เป็นชุดผ้าป่านของชาวนาทั่วไป ส่วนตัวของนางเองนั้นเป็นเสื้อผ้าที่ดูก็รู้ว่ามันดีกว่าของอีกฝ่ายเล็กน้อย
นั่นหมายความว่า ฐานะทางบ้านของนางตอนนี้ไม่ได้แย่มากนัก
“เสี่ยวซู เจ้าอยากออกไปนั่งเล่นที่ด้านนอกไหม? ท่านหมอหูบอกว่าอาการของเจ้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว สามารถออกไปรับลมด้านนอกบ้าง จะช่วยให้อาการของเจ้าดีขึ้น”
ซูอวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าให้นางเล็กน้อย
ตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หากเคลื่อนไหวโดยไม่มีรถเข็น อาจทำให้อาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่ตอนนี้แย่ลงได้ แม้ในใจของนางอยากออกไปดูด้านนอกมากแค่ไหน ก็ทำได้เพียงหักห้ามใจของตนเองไว้
ที่ลานบ้านด้านข้างกับบ้านของซูอวี้หนิง หญิงชรากำลังนั่งอยู่ภายในลานพร้อมกับลูกชายของตนเองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“แม่ อย่ากังวลไปเลย หมอหูก็บอกอยู่มิใช่หรือ ว่าอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นมากแล้ว” โจวจื่อเฉียงกล่าวกับมารดาที่นั่งเป็นกังวลอยู่
“เฮ้อ จะไม่ให้ข้าเป็นกังวลได้อย่างไร นางได้รับบาดเจ็บในเวลาที่พ่อของเจ้าไม่อยู่ หากพ่อเจ้ากลับมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องตำหนิแม่และเจ้าแน่ที่ไม่ดูแลนางให้ดี”
หญิงชราถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ สามีของนางนั้นรักใคร่เสี่ยวซูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน สามีของนางและชาวบ้านที่เป็นผู้ชายบางส่วนจะต้องนำข้าวเปลือกไปส่งที่เมืองข้างเคียง ก่อนจะเดินทางออกไป เขาได้กำชับกับนางและลูก ๆ ว่าให้ดูแลเสี่ยวซูให้ดี
“ท่านพ่อเดินทางไปเมืองอี้โจวเกือบครึ่งเดือนแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันคงกลับมาถึง”
โจวจื่อเฉียงที่เคยไปเมืองอี้โจวกับบิดามาหลายครั้ง ย่อมรู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันในการเดินทางไปและกลับ
“อืม ส่วนเจ้าซานโก่ว…”
“รอให้ท่านพ่อกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” โจวจื่อเฉียงรู้ว่ามารดาของเขากำลังจะพูดอะไร
หลายครั้งที่เสี่ยวซูมักถูกคนในหมู่บ้านกลั่นแกล้ง แต่นั่นก็มีการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เขาก็ได้ทำการสั่งสอนพวกคนเหล่านั้นไป แต่ครั้งนี้ เสี่ยวซูได้รับบาดเจ็บจนเกือบถึงชีวิต เรื่องนี้จำต้องให้บิดาของเขาจัดการเอง
หลังจากที่ซูอวี้หนิงได้ตื่นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในร่างของซูอวี้หนิง เด็กสาวที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับนาง จนกระทั่งล่วงเลยมาหลายวันจนแน่ชัดแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน
ซูอวี้หนิงรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ได้เล็กน้อย จากคำบอกเล่าของโจวจวงจื่อ เด็กสาวที่เข้ามาดูแลนางทุกวัน อาจเป็นเพราะซูอวี้หนิงคนก่อนไม่ใช่คนช่างพูด โจวจวงจื่อจึงคุ้นชินกันการพูดอยู่ฝ่ายเดียวเสมอ ไม่ว่าใครจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ซูอวี้หนิงก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่างจากนาง โดยที่ไม่ต้องถามสักคำ
และวันนี้เป็นวันที่รู้สึกว่าตนเองสามารถออกไปรับอากาศด้านนอกได้บ้างแล้ว เมื่อโจวจวงจื่อเข้ามาด้านใน ก็พบว่าซูอวี้หนิงกำลังใช้มือของตนเองค้ำยันที่พื้นเตียงเพื่อพยุงตนเองให้ลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวซู เจ้าทำอะไร!!” โจวจวงจื่อรีบวางของในมือพร้อมเข้ามาประคองตัวซูอวี้หนิงทันที
“ข้าอยากออกไปด้านนอก” ซูอวี้หนิงบอกกับอีกฝ่าย
แม้โจวจวงจื่อจะยังรู้สึกไม่คุ้นชินกับอีกฝ่ายที่พูดคุยกับนางเหมือนเป็นคนปกติเช่นนี้ แต่ตลอดหลายวันที่ดูแลอีกฝ่าย จะมีบางครั้งที่อีกฝ่ายพูดคุยกับนางบางคำ หากนางต้องการบางอย่าง
“เจ้าจะออกไปด้านนอกก็เพียงบอกข้า เจ้าทำเช่นนี้หากเกิดล้มลงอีกครั้ง จะบาดเจ็บซ้ำได้” โจวจวงจื่อพูดพร้อมตำหนิซูอวี้หนิงเล็กน้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจากปากของหญิงสาวอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี นางจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย
โจวจวงจื่อประคองร่างผอมบางของซูอวี้หนิงออกมาด้านนอก แม้ทั้งสองจะอายุห่างกันเพียงแค่สองเดือน แต่โจวจวงจื่อก็ยังสูงและดูมีเนื้อมีหนังมากกว่าซูอวี้หนิงอยู่มาก
ซูอวี้หนิงพยายามเดินไม่ให้ลงน้ำหนักเท้าที่บาดเจ็บมากนัก แต่เมื่อออกมาที่ลานด้านนอก ความเจ็บปวดที่มีก็พลันหายไปชั่วครู่
แสงแดดอ่อน ๆ ทอดลงมายังหมู่บ้านที่ซูอวี้หนิงอาศัยอยู่ ทุกอย่างดูเงียบสงบแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
หมอกบาง ๆ ลอยคลอเคลียอยู่เหนือยอดเขาที่โอบล้อมหมู่บ้านไว้ทั้งสี่ด้าน แสงอาทิตย์แรกของวันค่อย ๆ ส่องลอดผ่านหมู่ไม้ลงมากระทบหลังคาหญ้าแห้งสีหม่นที่เรียงรายเป็นแถว
จากลานบ้านของนาง สามารถมองเห็นควันไฟสีขาวลอยขึ้นมาจากปล่องไฟของแต่ละเรือน บ่งบอกว่าผู้คนกำลังเริ่มหุงหาอาหารเช้า
ถนนดินสายเล็กทอดยาวผ่านกลางหมู่บ้าน เด็กเล็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ไกล ๆ ชวนให้ความรู้สึกอบอุ่น
ไม่ไกลนักคือทุ่งนา ขอบทุ่งมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเริ่มลงแขกถอนหญ้า แสงแดดอุ่นอ่อนส่องกระทบหยดน้ำค้างบนใบข้าวเป็นประกายราวกับเม็ดแก้ว ขณะที่ลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ส่งเสียงน้ำกระทบหินดังซู่ซ่า เสริมความสงบสุขของเช้าวันใหม่
ซูอวี้หนิงที่ถูกประคองออกมานั่งพักที่เก้าอี้ไม้ใต้ร่มต้นหม่อน รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดพาเอากลิ่นดอกหญ้าและกลิ่นดินชื้นหลังหมอกลงมาตีจมูก ภาพตรงหน้าช่างแตกต่างจากชีวิตในเมืองที่นางคุ้นเคยนัก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความอบอุ่นของวิถีชีวิตผู้คนที่พึ่งพาอาศัยกัน
โจวจวงจื่อที่อยู่ข้างกายยิ้มกว้าง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส
“เสี่ยวซู หากเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเดินที่ลำธาร ที่นั่นมีดอกไม้ป่าเบ่งบานสวยยิ่งนัก”
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้หัวใจของซูอวี้หนิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
…………………..