บทที่7: หักหลัง /ตอนปลาย
  บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางฉุนเฉียว บุรุษหน้าบากกล่าวว่าเชิญเขามา แต่การกระทำช่างหยาบคายยิ่งนัก และคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่นั่งบนเก้าที่สูงกว่า คือสตรีที่ได้ทำการค้าด้วยกันเมื่อวานก่อน สายตาที่เย็นชามองมาทางเขาพร้อมยกยิ้มมุมปาก มันดูน่าหวาดหวั่นมากกว่าจะงดงามตามใบหน้าของนาง
  “ต้องขอโทษนายท่านเหลียวที่หนานกงไม่สุภาพ” ร่างบางเอ่ยขึ้นยิ้มมุมปาก ดูงดงามแต่ทว่ามันน่าขนลุกเสียมากกว่าในสายตาบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ฝั่งตรงกันข้าม
  “เจ้าทำแบบนี้ทำไม ช่างไม่ให้เกียรติข้ายิ่งนัก”
 นายท่านเหลียวจะลุกขึ้นด้วยความโกรษที่ถูกหมิ่นเกียรติเยี่ยงนี้แต่ถูกหนานกงจับบ่าหนากดลงให้นั่งไปตามเดิมด้วยน้ำหนักมือที่กดลงบนบ่าทำให้รับรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายเช่นที่คาดไว้เสียแล้ว
 “ท่านจะโมโหไปใยข้าเพียงมีเรื่องจะสอบถามสักเล็กน้อย”
 เอ่ยน้ำเสียงเรียบแต่ทว่านัยตาเริ่มดุดันใบหน้าที่มีรอยยิ้มเริ่มราบเรียบ จับจ้องไปที่บุรษวัยกลางคนที่โดนเชิญกึ่งบังคับมา
 “เจ้ามีอะไรทำไมไม่ไปหาข้าและพูดจาดีๆ ทำแบบนี้จะไม่ต้องการทำการค้ากันอีกแล้วใช่รึไม่”
 ชายวัยกลางคนเริ่มมีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว และที่ไม่คาดคิดว่าสตรีรูปร่างอรชรใบหน้างดงามจะสามารถต่อกรกับเขาได้ถึงเพียงนี้ ความจริงลูกน้องของเขานับร้อยใช่ว่าจะถึงตัวได้ง่ายๆ แต่ชายหน้าบากผู้นั้นนำคนเพียงแค่หยิบมือบุกไปนำเขามาด้วยการเชิญที่ดูแล้วเป็นการบังคับเสียมากกว่ามาจนได้นับว่ามีฝีมือไม่น้อย
  ร่างบางถอนหายใจกับคำพูดชายวัยกลางคนตรงหน้า ความจริงก็ต้องการทำการค้ากับท่านเหลียวต่อ แต่นางเกลียดการที่ไม่ซื่อตรงที่สุด ยิ่งไม่ชอบการระแวงเพราะฉะนั้นชายวัยกลางคนผู้นี้ก็จะไม่สามารถเก็บไว้ได้เช่นกัน แต่ถ้าให้มาอยู่ใต้อาณัติความคิดนี้ก็ไม่เลวการควบคุมคนเจ้าเล่ห์ก็ไม่เกินความสามารถเช่นกัน
  “หนานกงนำคนออกมาดูว่านายท่านเหลียวรู้จักหรือไม่?”
 โจวฟางหลินคิดว่าไม่ต้องการพูดไร้สาระไปมากกว่านี้ สู้ปิดจบความหักหลังครั้งนี้เสียดีกว่า
 “นายท่านเหลียวช่วยข้าด้วย”
 หัวขโมยรูปร่างไม่สูงไม่ต่ำเรียกร้องให้นายใหญ่ช่วย ด้วยสภาพตอนนี้เขาถูกทารุณจนแทบรับไม่ไหวแล้ว
 “ข้าไม่รู้จักเจ้า อย่ามาเอ่ยพล่อยๆ”
 นายท่านเหลียวเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นคนที่ส่งมาสืบข่าว อยู่ในสภาพที่ดูแล้วอาจจะอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้เสียด้วยซ้ำ เนื้อตัวเขียวช้ำเลือดออกไปทั่วร่างกาย มือที่โดนตัดนิ้วทั้งสองข้างสั้นกุดจนดูสยดสยอง ขนาดเขาผู้ผ่านการแข่งขันมีต่อสู้แย่งชิงจะมีการสังหารกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะไม่มาทรมานถึงเพียงนี้ ชายวัยกลางคนเบือนหน้าหนี ไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะโหดเหี้ยมถึงขนาดไปได้
  โจวฟางหลิน นั่งท่าเอนกายคล้ายเกียจคร้าน มือเรียวสวยจับแหวนในมือซ้ายหมุนเล่นเหมือนใช้ความคิด เพียงแต่มันเป็นภาพที่ดูน่าหวาดหวั่นจนเหงื่อซึมตามแนวไรผม ด้วยความกดดันไม่รู้ว่าสตรีผู้นี้จะทำเช่นไรอีก
 ชายวัยกลางคนเริ่มหวั่นวิตกถ้าจะถูกทรมานเช่นชายตรงหน้าย่อมรับไม่ไหวเป็นแน่
 “ข้าไม่รู้จักเจ้าหัวขโมยผู้นี้ ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อและการค้านับจากนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”
 นายท่านเหลียวคิดว่า เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด จึงเอ่ยพูดแสร้งโมโหจะได้กลับออกไปโดยง่าย แแต่มันหาใช่ง่ายอย่างที่คิดไม่
 “ข้ายังไม่ได้เอ่ยถึงสักนิดว่าชายตรงหน้าเป็นขโมยใยจึงรู้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เล่า” ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
 ท่าทางที่ยกยิ้มน้อยๆขัดกับสายตาที่เย็นชาทำให้นายท่านเหลียวเหน็บหนาวไปทั้งร่างกาย พลางคิดว่าคงต้องเอาชีวิตแก่ๆมาทิ้งไว้ตรงนี้เสียกระมัง
 “เอาตราการค้าออกมาให้ข้า”
 ร่างบางเอ่ยเนิบๆ ตราการค้าที่อยู่กับชายวัยกลางคนผู้นี้ คือตราสมาคมการค้าที่สามารถควบคุมการค้าอาวุธในเครือข่ายทั้งหมด ถ้ามีตราอันนี้เท่ากับสามารถควบคุมการส่งอาวุธออกขายได้โดยง่าย ไม่ต้องไปหาโครงข่ายให้ยุ่งยากอีกต่อไป
 จริงๆแค่เพียงต้องการสร้างเครือข่ายของตัวเอง แต่เมื่อคิดทรยศก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องตาย นางไม่ชอบหอกข้างแคร่ จัดการให้จบไปเลยเสียดีกว่า
 “ตราอะไร ข้าไม่รู้”
  นายท่านเหลียวใบหน้าซีดเผือด ตราการค้ากว่าเขาจะเป็นผู้ครอบครองต้องลงแรงไปมากเพียงใด จะต้องมาให้กับสตรีตัวเล็กๆตรงหน้าเห็นจะไม่ได้
 “ตัดเอ็นข้อเท้าเสียจะได้ไม่ไปหักหลังผู้ใดได้อีก”
 โจวฟางหลินสั่งสั้นๆ หนานกงก็จัดการตามคำสั่งทันที
 “อ๊าก”
 เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชายวัยกลางคนที่ลงไปนอนบนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาวราวกับไม่มีสีเลือด
 “ถ้าเจ้าฆ่าข้าจะไม่มีทางได้ป้ายสมาคมการค้าไปแน่นอน”
 นายท่านเหลียวเอ่ยขึ้นมาอย่างเครียดแค้น สายตาจับจ้องไปที่สตรีร่างบางใส่ชุดสีแดงเข้มจัดหรูหรายิ่งดูให้น่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก เขาไม่เข้าใจสตรีที่อายุยังน้อยทำไมถึงมีความโหดเหี้ยมเช่นนี้ สายตาดูไม่ใช่สตรีที่ยังอ่อนเยาว์ ทว่าเหมือนคนกร้านโลกมานับไม่ถ้วนเสียมากกว่า
 นายท่านเหลียวเวลานี้คิดแต่ว่าทางรอดของเขาช่างมืดมน ลูกน้องที่พยายามตามมาก็ถูกปลิดชีวิตจนหมด สู้เขายอมลงให้ยังมีทางรอดถ้ายังดื้อดึงเข่นนี้มีแต่จะเสียชีวิตไปเปล่าๆ
  “งั้นรึ” ร่างบางอมยิ้มบางๆ
  “ถ้าข้าออกหน้านำอาวุธมาส่งให้ และจะอยู่ภายใต้อานัติของท่านเพียงปล่อยข้าไปจะไม่ทรยศท่านอีกแน่นอน”
 ชายวัยกลางคนที่บัดนี้ยอมเก็บชีวิตตัวเองไว้ สรรพนามที่เรียกสตรีตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนไปด้วย เอ่ยด้วยท่าทางให้เกียรติอย่างร้อนรนกลัวว่าจะถูกทำร้ายไปมากกว่านี้
 ท่าทางโจวฟางหลินตรงหน้าทำให้นายท่านเหลียวใจเต้นลุ้นระทึกว่านางจะเลือกที่จะใช้งานเขาหรือจะสังหารเขาทิ้งเสีย เขาประมาทเกินไปไม่คิดว่าชีวิตที่ผ่านเรื่องราวมาโชกโชนจะจบลงเยี่ยงนี้
 “ท่านนำตราการค้ามาให้ข้า แล้วท่านก็กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม รอฟังคำสั่งข้าอีกที และหวังว่าคำพูดที่ท่านเอ่ยมาจะเป็นตามคำพูด จงจำไว้ให้ดี โอกาสมีเพียงครั้งเดียว”
  ร่างบางโบกมือให้หนานกงส่งนายท่านเหลียวกลับคฤหาสน์ที่มีทั้งเมียเอก เมียรองและอนุอีกเป็นสิบคน
  ตราประทับของสมาคมการค้ามาอยู่ในมือโจวฟางหลินเรียบร้อยจากนี้เรื่องหาอาวุธไม่ใช่เรื่องที่จะยุ่งยากอีกต่อไป
 “แล้วสายสืบคนนี้เล่าขอรับ”
 หนานกงเอ่ยถามเพราะชายผู้นี้ก็เป็นคนของนายท่านเหลียว
 “ฆ่าทิ้งเสีย ข้าเกลียดพวกชนเผ่านอกด่าน”
  โจวฟางหลินยังจำได้ ชนเผ่านอกด่านได้ตลบหลังท่านพ่อของนางโดยร่วมมือกับแคว้นเหลียว ทั้งๆที่เจรจาสงบศึกกับท่านพ่อแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเจอคนเหล่านี้มาทำผิดที่ไหนก็จะปลิดชีวิตให้หมดเสียทุกคน
  น้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อยของสตรีร่างบางตรงหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว ทำให้ลูกน้องที่อยู่รายรอบต้องรีบเข้ามานำหัวขโมยชาวเผ่านอกด่านออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ทั้งหมด รู้แค่ว่าถ้าไม่ทรยศหักหลังนายหญิง ชีวิตจะมีแต่ความสุขสบาย อาหารการกินมีครบทุกมื้อ เสื้อผ้าก็มีให้ครบ เงินทองก็มีให้ ชีวิตของพวกเขาได้แค่นี้ก็เกินกว่าความฝันแล้ว และสาบานว่าจะจงรักภักดีกับนายหญิงไปตลอดชีวิตไม่คิดอันใดที่แปลกแยกเป็นอันขาด
 หลังจากถูกส่งกลับมา ก็ได้สั่งพ่อบ้านให้ไปตามหมอมารักษาเส้นเอ็นที่ถูกตัดขาด ถ้ารักษาไม่ได้คงได้นั่งรถเข็นตลอดชีวิต แต่ยังดีที่ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ พ่อบ้านที่มาเห็นสภาพของนายท่านใหญ่ถึงกับตกตะลึง
  “นายท่านทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้”
 เอ่ยพูดด้วยความตกใจ นายท่านของเขามีอำนาจและอิทธิพลทำไมถึงถูกทำร้ายขนาดนี้ไปได้
  นายท่านเหลียวใบหน้ายังซีดขาวด้วยความเจ็บปวด โบกมือไล่ไม่ต้องการกล่าวถึงเรื่องนี้อีก เรื่องนี้หาใช่พูดจาส่งเดชได้ ดูเหมือนสตรีผู้นี้มีหูตายังกับสับประรด ถ้ามีการเอ่ยถึงไปเข้าหูนาง ขีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้ เป็นความประมาทฝั่งตรงข้ามมากเกินไป ส่งอาวุธไปเพียงวันเดียวก็คิดว่าจะยึดกลับคืนได้ทั้งเงินทั้งอาวุธที่ส่งไป แต่แทนที่จะได้กลับทุ่มหินทับเท้าตัวเองเสียได้
 การทรมานคนเช่นนี้นอกจากในคุกหลวงที่เคยได้ยินมา ด้านนอกถ้าจะเข่นฆ่ากันก็ปลิดชีวิตหรือวางยาพิษให้ตายตกไป โจวฟางหลินผู้นี้นางโหดเหี้ยมเด็ดขาดไม่ต่างจากบุรุษสักนิด และเขาก็นึกหวาดกลัวสตรีผู้นี้ไม่น้อย
 หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย โจวฟางหลินก็ได้นั่งรถม้ากลับจวน เมื่อลงเดินมาถึงด้านในเพื่อที่จะเดินไปเรือนของนางที่อยู่หลังป่าไผ่ เสียงหวานแหลมก็เอ่ยขึ้น
 “เจ้าออกนอกจวนทุกวัน หวังว่าคงไม่สวมหมวกเขียวให้กับบุตรชายข้าหรอกนะ”
  ฮูหยินใหญ่ที่เดินผ่อนคลายยามเห็นลูกสะใภ้ที่ไม่ค่อยเห็นหัวผู้ใหญ่เช่นนาง จึงอดไม่ได้ที่จะสอดปากเหน็บแนมไปบ้าง
 ร่างบางชะงักฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าแม่สามีที่มีสีหน้าเหยียดหยาม นางถอนหายใจแม่สามีผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปจากชาติก่อนแม้แต่น้อย ยังหาเรื่องนางทุกครั้งที่มีโอกาส พยายามจะหาภรรยารองเข้ามาให้ท่านแม่ทัพอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งส่งจดหมายไปให้ หยูไฉ่หยู ที่อยู่ถึงเมืองหลวงให้มาพักอาศัยในจวนเพื่อที่จะให้สานสัมพันธ์กับท่านแม่ทัพให้ได้ แต่ช่วงเวลานั้นก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเฉินโม่เหยียนถึงไม่รับนางเป็นภรรยารอง
 นางอยู่ในกองทัพเป็นกุนซือและไม่ค่อยได้กลับมาที่จวน ด้วยรู้ว่าก็ไม่ได้ต้องการให้นางกลับมาเช่นกัน
 “ข้ามีร้านค้าที่ต้องดูแลและเรื่องผิดประเวณีเช่นนี้ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ”
 ร่างบางเอ่ยเสียงเรียบด้วยความเบื่อหน่าย
 “หึ สตรีที่ขาดสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้เยี่ยงไร”
 ฮูหยินใหญ่ที่ยังมีใบหน้างดงามด้วยการดูแลรักษาไว้อย่างดี ได้ส่งเสียงในลำคอด้วยความประชดประชันและะเอ่ยตำหนิร่างบางตรงหน้า
  “ถ้าท่านไม่ใช่มารดาของท่านแม่ทัพท่านคิดว่าจะยังมีโอกาสมายืนเหน็บแนมข้าเช่นนี้ได้รึไม่” โจวฟางหลินเอ่ยอย่างลำคาญใจ
  “เจ้า.เจ้า.ช่างไร้ความมารยาทไม่มีความเคราพผู้ใหญ่สักนิด”
 ฮูหยินเฉาเต้นเร่าด้วยความโกรษ สะใภ้ที่นางแสนจะไม่ชอบใจช่างไร้มารยาทไม่เคารพผู้ใหญ่แม้แต่น้อยต่อปากต่อคำและยังขู่ทำร้ายนางอีกด้วย
  “ข้าจะให้โม่เหยียนหย่าขาดจากเจ้าโดยเร็วที่สุด”
  ฮูหยินเฉาพูดขู่และคิดว่าถ้าบุตรชายกลับมาคราวนี้จะต้องให้หย่าขาดจากสะใภ้ที่ไร้มารยาทผู้นี้ให้ได้
  “เจ้าค่ะ ข้าจะรอขอตัวนะเจ้าคะ”
 ร่างบางเอ่ยจบก็เดินออกไปด้วยไม่สนใจว่าแม่สามีจะมีอาการเช่นไรต่อไป
  ฮูหยินใหญ่อ้าปากค้างที่ลูกสะใภ้ที่น่ารังเกียจผู้นี้ได้เดินออกไปเสียเฉยๆ ไม่เห็นหัวนางสักนิด หยิ่งผยองไปเถอะตระกูลหนุนหลังก็ไม่มีถ้าถูกหย่าขาดออกไปด้วยกฏเจ็ดขับ นางยังจะหยิ่งยโสเช่นนี้ได้อีกหรือไม่
  โจวฟางหลินหลังจากกลับออกมาจากแม่สามี ก็ไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าจะถูกหย่าร้างรึไม่
 ระหว่างที่หย่อนร่างอรชรงดงามเข้าไปในถังไม้ที่เติมน้ำอุ่นไว้จนเกินครึ่ง พลันรู้สึกผ่อนคลายและได้คิดว่า วันพรุ่งคงจะได้เปิดการค้าจริงจังเสียที
  ซุนหงเข้ามาเพื่อปรนนิบัตินายหญิงได้สังเกตุถึงผิวพรรณนายหญิงที่มีความเนียนละเอียด ดวงตาหลับพริ้มด้วยความผ่อนคลาย ใบหน้างดงามถึงจะไม่ได้งดงามเป็นหนึ่งแต่ก็นับเป็นสาวงามที่หายากผู้หนึ่ง
 ตั้งแต่นายหญิงมีนิสัยที่เปลี่ยนไปนี่เป็นครั้งแรกที่อนุญาติให้นางเข้ามาปรนนิบัติ เวลาเช่นนี้ดูนายหญิงเหมือนกับสตรีทั่วไปที่มีความอ่อนโยนแต่ยามอื่นที่นิสัยเปลี่ยนไปแล้ว นับว่าดูมีความน่าเกรงขามผิดกับเมื่อก่อน ยามยิ้มก็ไม่ได้สดใสเช่นเคย ซุนหงอยากให้นายหญิงของนางกลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ใช่เย็นชาไม่แยแสต่อโลกเช่นนี้
                      ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ️️️❤❤
                      อย่าลืมเก็บเข้าชั้นกันด้วยนะคะ🥰