'ทำอย่างไรดี ไม่เอาแบบนี้สิข้าอยากกลับบ้าน!'
“ตื่นมาก็นานมากแล้วเหตุใดความทรงจำของร่างนี้ถึงไม่มาด้วยกันเล่า แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้ข้าเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ เฮ้อออ…”
หยวนจือหลินเอนหลังนอนลงบนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากตนเองแล้วหลับตาลง นางพยายามที่จะคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเจ้าของร่างนี้อยู่นานสองนานแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในหัวของนางเลยสักเพียงนิด
“โว๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สวรรค์จะส่งฉันมาอยู่ที่นี่ทำไมกันฉันอยากกลับบ้าน!”
หยวนจือหลินทึ้งผมตนเองอย่างแรงก่อนที่ในหัวของนางจะมีภาพๆ หนึ่งฉายชัดขึ้นมาและเริ่มไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อนปรากฎให้เห็นเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งที่เอาแต่ทุบตีลูกน้อยทั้งสองของนางอยู่ไม่เว้นวัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็นั่งร้องไห้น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสาย
‘ท่านแม่อย่าตีน้องเลยนะขอรับ ท่านตีข้าเพียงคนเดียวเถอะ’
‘ฮือฮือ’
เด็กน้อยสองคนนั่งกอดกันแน่นร้องไห้อยู่บนพื้นนอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บลมพายุที่พัดผ่านมายิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เด็กชายคนนั้นเอาแต่ร้องขอให้มารดาของเขาหยุดทุบตีผู้เป็นน้องสาวและอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน
ผู้เป็นสามีที่เพิ่งกลับมาจากหุบเขาเมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของลูกน้อยทั้งสองก็ทำได้เพียงแค่จ้องมองและตัดพ้อในความใจร้ายของภรรยารัก และแล้วประตูบ้านก็ถูกลงกลอนปิดอย่างแน่นหนา ค่ำคืนนั้นเขาและเด็กๆ ทั้งสองคนต้องไปนอนที่ห้องเก็บฟืนที่หนาวเหน็บและเย็นชืดแทน
หลังจากภาพต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทของนางทุกภาพมลายหายไป หยวนจือหลินที่เวลานี้น้ำตานองอยู่เต็มดวงตาก็มองไปยังเงาร่างเล็กๆ ของคนสองคนที่ยืนอยู่นอกประตูห้องนอน
ตอนนี้นางรู้แค่ว่าคนที่อยู่หน้าห้องนั้นคือบุตรสาวและบุตรชายฝาแฝดทั้งสองของเจ้าของร่างนี้ เด็กสองคนนี้อายุได้เพียงห้าหนาวเท่านั้นส่วนเรื่องในอดีตก่อนหน้านั้นนางพยายามนึกอย่างไรก็ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดี
หยวนจือหลินค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูแล้วแง้มออกไปทีละนิดปรากฎให้เห็นเป็นดวงตาเล็กๆ ทั้งสองคู่กำลังจ้องมองมาที่ผู้เป็นมารดาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและหวาดกลัวปะปนกัน
เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นมารดาทีละก้าวก่อนจะใช้มือเล็กๆ ของนางแตะเข้าที่มือของหยวนจือหลินด้วยอาการสั่นเทิ้มเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่ามารดาไม่ว่าอะไรนางจึงใช้มือเล็กนั้นกระชับจับเข้าที่มือของหยวนจือหลินแน่นพร้อมเอ่ยถามนางออกมาว่า
“ท่านแม่ ท่านหายดีแล้วหรือเจ้าคะ”
“คือว่า”
หยวนจือหลินยังคงรู้สึกเวทนาในสิ่งที่เด็กทั้งสองคนเคยได้รับจึงทำให้นางพูดไม่ออก นางพยายามคิดทบทวนว่าเหตุใดหยวนจือหลินคนก่อนถึงได้เกลียดชังลูกในไส้และสามีของนางได้ถึงเพียงนี้และถึงแม้ว่านางจะร้ายกาจมากเพียงใดแต่เหตุใดกันนะเด็กทั้งสองคนนี้ถึงยังคงรักและเป็นห่วงนางมาก หรือจะเป็นเพราะความรักที่มีต่อมารดาเช่นนั้นหรือ?
หยวนจือหลินยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนางจึงสะบัดมือของเด็กหญิงออกก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อจะกุมหัวที่ปวดหนึบของตัวเอง แต่มือของนางที่ยกขึ้นยังไม่ถึงศรีษะก็เห็นว่าร่างเล็กของเด็กหญิงตัวน้อยรีบถดถอยกายออกห่างจากตัวของมารดาด้วยความรวดเร็วด้วยกลัวว่าจะถูกดุด่าทุบตีเหมือนเช่นเคย
เมื่อเห็นบุตรสาวเริ่มสะอื้นไห้เพราะกลัวว่าจะถูกผู้เป็นมารดาทำโทษเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ หยวนจือหลินก็ยื่นมือบางออกไปหมายจะเช็ดน้ำตาให้ทว่าเด็กน้อยกลับรีบถอยกายออกห่างแล้วไปหลบอยู่ที่แผ่นหลังของผู้เป็นพี่ชายแทน
"อาชิงเจ้าไม่ต้องร้องแล้วอย่ากลัวข้าเลยนะ"
อาชิงที่หลบอยู่ด้านหลังพี่ชายของนางอยู่ๆ ก็โผล่หน้าออกมามองผู้เป็นมารดาอีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า มานี่สิ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่ามารดาไม่ได้จะทุบตีนางแต่อย่างใดเด็กหญิงจึงก้าวเท้าออกมายืนอยู่ตรงหน้านาง
“เด็กดี ต่อไปนี้อย่าร้องไห้ต่อหน้าข้าอีกนะเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่”
“อืม ดีมาก”
หยวนจือหลินเงยหน้าขึ้นจากลูกสาวตัวน้อยก่อนจะมองไปยังลูกชายของนางอีกคนก็เห็นว่าเขาเองก็มีน้ำตาคลออยู่ไม่น้อย
“ต่อไปนี้อาชิงขอดูแลท่านแม่เองนะเจ้าคะ อาชิงจะทำงานบ้านเองทุกอย่างท่านแม่จะได้ไม่เหนื่อยอีก”
“ข้าก็เหมือนกันขอรับ”
“พวกเจ้าตัวเล็กแค่นี้จะทำงานบ้านเองได้อย่างไรกัน”
ทำไมนางถึงคิดว่าเด็กน้อยสองคนนี้ช่างน่ารักเหลือเกินนะหยวนจือหลินคนก่อนเหตุใดถึงได้ใจร้ายทำกับเด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ได้ลงคอกัน
“เอาล่ะพวกเจ้าสองคนไปรอข้าอยู่ข้างนอกก่อนเถอะนะ ข้าจะเก็บห้องครู่เดียวเดี๋ยวตามออกไป”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
เด็กทั้งสองทำตามคำสั่งของผู้เป็นมารดาอย่างว่าง่าย ค่อยๆ จูงมือกันเดินออกไปรอนางที่นอกบ้านปล่อยให้นางได้มีเวลาจัดการกับตนเองต่อไป
"ทั้งน่ารักและน่าสงสารเสียจริง"
'แล้วข้าต้องอยู่ที่นี่ในฐานะแม่ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือแล้วจะได้กลับบ้านตอนไหนกัน เฮ้อ....อยู่ดีๆ ก็ได้ลูกแฝดตั้งสองคนเลย'
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r