หยวนจือหลินปิดประตูห้องนอนลงก่อนจะหันมองไปรอบๆ บ้าน นางเดินสำรวจบ้านหลังนี้แทบจะทุกซอกทุกมุมโดยมีเด็กน้อยทั้งสองเดินตามหลังไปติดๆ จนไปสุดที่ห้องสุดท้ายดูแล้วน่าจะเป็นห้องครัวตั้งอยู่บริเวณหลังบ้านเลยก็ว่าได้
ภายในห้องครัวนั้นมีเตาถ่านตั้งเรียงรายอยู่สองสามอันเครื่องครัวที่ทำจากทองเหลืองเก่าๆ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่เป็นระเบียบนัก ผนังห้องครัวมีชั้นวางที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องเทศต่างๆ นับไม่ถ้วนที่ถูกวางอย่างระเกะระกะบางขวดก็ถูกเปิดออกแต่ไม่ยอมปิดฝาไว้ดังเดิมจนเครื่องเทศที่บรรจุไว้ภายในนั้นเริ่มเน่าและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง
หยวนจือหลินปิดจมูกเอาไว้แน่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วสำรวจทั่วทั้งห้องอีกครั้งกลับพบว่าแทบจะไม่มีวัตถุดิบอะไรหลงเหลืออยู่เลย หยวนจือหลินรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากนางเดินไปหยิบเอาขวดเหล่านั้นทิ้งลงในตระกร้าก่อนจะเอาออกไปวางไว้นอกห้องครัว แล้วจึงเก็บเอาท่อนฟืนที่ถูกตัดวางเรียงรายอยู่ข้างๆ กันนำไปก่อกองไฟเพื่อปรุงอาหารง่ายๆ ประทังชีวิตของทั้งสามคนสำหรับเช้านี้ไปก่อน
“ท่านแม่”
หยวนจือหลินไม่ได้หันไปมองยังต้นเสียงเล็กๆ ที่เรียกนางอยู่ นางกำลังหันหลังจัดระเบียบข้าวของในครัวอย่างขะมักเขม้น
“ท่านแม่ขอรับ”
“มีอะไรหรืออาเฟย”
“คือว่า”
จ๊อกกก…
“อะ เอ่อ” เมื่อได้ยินเสียงท้องน้อยๆ ของเขาร้องขึ้นมาหยวนจือหลินก็อยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก นางมองไปที่ใบหน้ามอมแมมของเด็กๆ ทั้งสองคนที่ยืนเอามือกุมท้องของตนเองเอาไว้ด้วยกลัวว่ามันจะส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
“หิวงั้นหรือ”
‘ให้ตายสิตั้งแต่ตื่นมาก็เอาแต่พร่ำเพ้อไม่หยุด จนลืมไปเลยว่าต้องทำอาหารให้เด็กๆ กินก่อน’
“อย่าโกรธข้าเลยนะเจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวข้าทำอาหารง่ายๆ ให้พวกเจ้ากินกันก่อน”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
ขณะที่หยวนจือหลินหันหลังกลับไปเพื่อจะจุดไฟอีกครั้งก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ตื่นมาก็ยังไม่เห็นผู้เป็นสามีของเจ้าของร่างนี้เลย จึงได้เอ่ยถามกับเด็กๆ ไปพร้อมๆ กับพยายามจุดไฟในกองฟืนนี้ไปด้วย
“ว่าแต่ท่านพ่อของพวกเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ”
“ท่านพ่อขึ้นเขาไปล่าสัตว์ขอรับวันนี้ก็คงจะกลับมาแล้ว”
“อย่างนั้นเองหรือ”
หยวนจือหลินหันไปตรวจสอบข้าวของเครื่องใช้ในตะกร้าบนชั้นวางอีกครั้ง นางแทบอยากจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วเพราะของสดของแห้งในครัวแทบจะไม่เหลืออยู่แล้วน่ะสิ
“อาเฟยอาชิงพวกเจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะทำข้าวต้มให้กินก่อนใช้เวลาไม่นานนักหรอก”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
หลี่หงเฟยแฝดผู้พี่รีบจูงมือหลี่หงชิงแฝดผู้น้องออกไปรอข้างนอกทันที หากไม่ใช่ว่าหน้าตาที่มอมแมมผมเผ้าที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แล้วล่ะก็เด็กๆ ทั้งสองคงจะน่ารักสดใสไม่น้อยไปกว่าเด็กๆ คนอื่นเสียด้วยซ้ำ
หยวนจือหลินได้แต่คิดแล้วก็รีบหันไปก่อไฟในเตาเผาเพื่อต้มข้าวให้เด็กๆ กินแต่เมื่อมองหาที่จุดไฟกลับไม่รู้ว่าจะใช้สิ่งใดจุดเลย
‘ปัดโธ่เอ้ย! ข้ามมิติมาก็งานเข้าข้าเลยไหมเล่า ชีวิตจะลำบากไปถึงไหนกันนะถ้าหากที่นี่มีไม้ขีดไฟด้วยก็คงจะดีสิ’
นางยืนท้าวเอวมองซ้ายขวาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอาเฟยโผล่หน้ามามองนางและใช้มือน้อยๆ เกาะขอบประตูเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นมารดาของเขา
“ท่านแม่ ท่านหาอะไรอยู่หรือขอรับ”
“คือว่า”
“หรือว่าท่านแม่จุดไฟไม่ได้ ให้ข้าช่วยนะขอรับ”
“เจ้าทำเป็นงั้นหรือ”
“ท่านพ่อเคยสอนไว้ขอรับ”
‘สอนเด็กเล็กๆ จุดไฟเนี่ยนะเขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ’
ขณะที่หยวนจือหลินยืนคิดอะไรเงียบๆ เพียงไม่นานก็ได้กลิ่นควันไฟลอยมาเตะจมูกแล้ว
“เจ้าทำเป็นจริงๆ ด้วย อาเฟยเก่งจังเลย”
“ขอบคุณขอรับท่านแม่”
อาเฟยลูกชายฝาแฝดของนางเมื่อได้รับคำชมเชยจากผู้เป็นมารดาก็ถึงกับดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ท่าทางเขินอายของเขานั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจริงแต่เสื้อผ้าหน้าตาที่มอมแมมนั้นกลับทำเอาหยวนจือหลินนึกเวทนาอยู่ไม่น้อย
‘แม่ของพวกเจ้าไม่ดูแลพวกเจ้าเลยจริงๆ หรือนี่แย่เสียจริง’
“เอาล่ะๆ ก่อนอื่นเจ้าพาอาชิงไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนหากว่าข้าทำอาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวจะยกออกไปให้เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับท่านแม่ / เข้าใจเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะอาชิง”
“เจ้าค่ะท่านพี่”
หยวนจือหลินส่งยิ้มหวานให้เด็กน้อยทั้งสองที่หันหลังแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องครัวเพื่อตรงไปยังลานที่ใช้อาบน้ำ จากนั้นนางได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของพวกเขาลอยละลิ่วออกมาจากห้องอาบน้ำเป็นระยะๆ
‘วันนี้น่าจะเป็นวันแรกเลยกระมังที่เด็กๆ มีความสุขได้ถึงเพียงนี้’
หยวนจือหลินหันกลับมาทำอาหารต่อนางนำข้าวสารที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนำไปต้มในน้ำเปล่า หากเป็นยุคที่นางจากมาเพียงแค่ใช้รสดีก็อร่อยเหาะไปแล้ว ‘เฮ้อ...น่าเสียดายเสียจริง’
ขณะที่นางกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงดัง 'ติ๊ดๆ' อยู่บริเวณอกเสื้อด้านในของนางเมื่อใช้มือค้นหาก็พบว่าเป็นเพียงกระจกธรรมดาๆ เพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น นางถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายแต่เมื่อส่องดูใบหน้าในกระจกกับรู้สึกว่ามันส่องแสงแวววับผิดปกติ
หยวนจือหลินยื่นมือไปลูบๆ คลำๆ ที่หน้ากระจกและแล้วก็มีแสงสว่างจ้าทอประกายออกมาแล้วดูดตัวนางเข้าไปในนั้นทันที
‘เฮือก!! อะไรอีกล่ะเนี่ย?’
สถานที่ที่ใหญ่โตกว้างขวางแห่งนี้แน่นอนว่าไม่น่าใช่ส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านหลังเล็กๆ นั้นอย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้นางได้เดินสำรวจไปจนทั่วทุกห้องแล้ว
'ช่างดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่นะ'
เมื่อหันมองออกไปด้านนอกก็พบว่าเป็นห้องครัวที่นางยืนอยู่เมื่อครู่นี้
‘เกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย’
หมวกควันสีแดงลอยปกคลุมไปทั่วพื้นที่ดูเหมือนเลือดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่ง วิญญาณของผู้เสียชีวิตจากฝีมือของนางค่อยๆ ปรากฎตัวขึ้นในหมอกนั้น“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป”‘ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ’“น่ะ…นั่นใคร เสียงใครกันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”‘น้องหญิงเจ้าลืมพี่สาวเช่นข้าไปแล้วหรือ’“จะ เจ้า หยวนจือหลิน!”‘ใช่แล้ว ข้าเอง’“เจ้ามาทำไม เจ้าจะทำอะไรข้า”‘ข้าก็มาเอาชีวิตของเจ้าอย่างไรเล่า’“กรี๊ดดดด! ออกไปนะออกไป!”‘เจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ข้าก็จะลากเจ้าไปลงนรกพร้อมกันกับข้า!’“กรี๊ดดดดด! ม่ายยย!”‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’หน้าผาที่ถูกเชื่อว่าเป็นที่สาปแช่งของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังจากความรักนั้น เมื่อมีใครมายืนอยู่ที่หน้าผาเงาดำของหญิงสาวจะปรากฎและดึงพวกเขาให้ตกลงไปตายเหมือนพวกนางนางก็เช่นกัน
“พ่อบ้านซือท่านออกมาข้างนอกเร็วเข้า!”“อะไรของพวกเจ้าเนี่ยเรียกอยู่ได้ ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรืออย่างไร”“ฮูหยินมาแล้ว ท่านแม่ทัพพาฮูหยินกลับมาแล้ว”“อะ อะไรนะ! แล้วพวกเจ้าจะยืนรออะไรอยู่เล่ารีบออกไปรับพวกท่านเร็วเข้าสิ”พ่อบ้านซือตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งจวนก่อนจะรนรานรีบวิ่งออกไปหน้าประตูจวนด้วยความรวดเร็วจนเกือบจะสะดุดขาตนเองไปเสียแล้ว ภายใต้สายตางุนงงของแม่นมจางและลี่เหมยหัวหน้าบ่าวรับใช้ผู้ดูแลจวนแม่ทัพหลี่“อ้าวเป็นงั้นไปเมื่อครู่ยังดุพวกเราอยู่เลยนะเจ้าคะแม่นม”“ช่างเถอะน่าไปรับนายท่านกันลี่เหมย”“เจ้าค่ะแม่นมจาง”บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนต่างก็ออกมายืนรอรับแม่ทัพหลี่และฮูหยินกันจนเต็มหน้าประตูจวน เด็กๆ เองเมื่อเห็นจวนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่“โอ้โหท่านพ่อนี่พวกข้าจะได้อยู่ที่นี่กันจริงๆ หรือขอรับ”“ใช่แล้วล่ะต่อจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของพวกเรานะ”“ว้าวใหญ่โตมากเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ
การเดินทางจากเมืองลั่วอันที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแคว้นต้าฮั่นมายังเมืองหลวงนั้นใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน เดิมทีหลี่หงอี้คิดว่าเด็กๆ จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางไกลกันแต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงพวกเขาดูสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นสีสันของเมืองหลวงยิ่งนักหยวนจือหลินนั่งมองทิวทัศน์ในรถม้าเพียงลำพังปล่อยให้อาเฟยออกมานั่งม้ากับหย่งฉีส่วนอาชิงก็ออกมานั่งม้าตัวเดียวกันกับบิดาของนาง พวกเด็กๆ ดูจะชื่นชอบที่ได้ขี่ม้ากันเป็นอย่างมาก“หย่งฉีข้าอยากขี่ม้าเองบ้าง”“นายน้อยรอท่านโตอีกหน่อยข้าจะสอนท่านเองนะขอรับ แต่ตอนนี้ท่านยังเด็กนักเกรงว่าจะยังควบคุมม้าเองไม่ได้”“ข้าไม่เด็กแล้วนะ”อาเฟยพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนถูกขัดใจทั้งยังกอดอกแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจคนสนิทของผู้เป็นบิดาอย่างมาก“อะ เอ่อ”หย่งฉีหันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพหลี่หงอี้เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายพยักหน้าให้ เขาจึงยอมให้อาเฟยมาควบม้าต่อจากตนเองทันทีหย่งฉีปล่อยมือจากบังเหียนแล้วให้นายน้อยของเขาบังคับม้าต่อแรกเริ่มเขาก็กลัวว่
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับเล่าเจ้าคะ”“เจ้าว่าอะไรนะ”
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใต้เท้าหยวนบิดาของหยวนจือหลินก็ยังคงปักหลักที่เมืองลั่วอันแห่งนี้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงไปเสียทีจนนางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวของนางในเวลานี้นั้นมีความสุขก็เพียงพอแล้ว“อร่อยมากเลยขอรับฮูหยิน” หย่งฉีบอกนางทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปากทั้งอย่างนั้น”
“อาเฟย อาชิงมานี่สิ”“เจ้าค่า/ขอรับ”“มาไหว้ท่านตาสิลูก”เด็กน้อยทั้งสองที่ได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นมารดาบอกแม้จะงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้ามาหานางอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด“พวกข้ามีท่านตาด้วยหรือขอรับท่านแม่”“มีสิ แล้วก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้วมาให้ตากอดหน่อยสิหลานรัก”เด็กน้อยทั้งสองหันไปมองหยวนจือหลินเมื่อเห็นว่านางพยักหน้าให้ก็ส่งยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาชายชราผู้นั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะยินดีของเขา“นี่ตามีของเล่นมาให้พวกเจ้าด้วยนะ อาเฉินเอาของเล่นมาให้หลานของข้าเร็วเข้า”“ขอรับใต้เท้า”‘มาที่นี่เพื่อมาหาหลานจริงๆ ด้วย’หยวนจือหลินยืนกอดอกมองดูสามตาหลานที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานโดยมีหลี่หงอี้ยืนอยู่ข้างๆ นาง สองแขนของเขาโอบกอดนางเบาๆ“เป็นอะไรไปเหตุใดถึงหน้างอเช่นนั้นกัน”“ไหนท่านบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อปรับความเข้าใจกับข้าอย่างไรล่ะ”“ก็ถูกแล้วนี่นา&r