เรือนเหม่ยฮว่า
เสียงหายใจกระชั้นยังดังแว่วมาจากห้องข้างใน ทำให้บ่าวที่อยู่ข้างนอกไม่กล้ารบกวน
“พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร ตอนนี้ใช่เวลาจะขอเข้าพบนายท่านหรืออย่างไร”
“แต่ว่าฮูหยิน ฮูหยินอาการหนักมาก” เสียงตอบกระซิบแผ่วเบา
พวกนางคุกเข่าอยู่เป็นเวลาหลายเค่อ ทว่าเสียงรัณจวนก็ยังไม่แผ่วลงทำให้คนข้างนอกล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทั้งร้อนใจและอับอาย หากฮูหยินสิ้นตอนนี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับเพียงใด
สงครามข้างในสงบลงแล้ว ฮูหยินรองอันชิงอีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ
“ท่านพี่ ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเองนะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่แสร้งเป็นคนดี ขอร้องให้ข้าไปดูนางหน่อยหรือ”
แม่ทัพหวงซีซวนเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยัน
“ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเจ้าคะ หากท่านต้องการจะไปท่านพี่ย่อมตัดสินใจเอง”
ฮูหยินรองพูดพร้อมชายตาแลยั่วยวน แม่ทัพหวงซีซวนเก่งกาจสามารถ มารยาเล็กน้อยเขาย่อมมองออก
นางไม่สนใจชิงดีชิงเด่นหรือเอาอกเอาใจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือปรนนิบัติท่านแม่ทัพให้ดีเท่านั้น และนี่ทำให้นางได้ตำแหน่งฮูหยินรองมาครอบครอง
“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ดียิ่ง บุตรของข้าหากมีมารดาเช่นเจ้าย่อมได้รับการอบรมที่ดี”
ฮูหยินรองดวงตาเบิกกว้างยินดี ท่านแม่ทัพอนุญาตให้นางตั้งครรภ์ได้ คำพูดแล้งน้ำใจเมื่อครู่ช่างดีเหลือเกิน หากวันนี้นางตั้งครรภ์ต่อไปฐานะในจวนแม่ทัพนางยิ่งจะมั่นคง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แม่ทัพหวงก็โอบกอดหญิงงามและหลับตาลงนอนรอฟังข่าวเขาไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าคนผู้นั้นจะป่วยเจียนตายได้
เรือนไผ่หยก
แม่นมมู่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง องค์หญิงน้อยของนางไม่ควรที่จะต้องมาสิ้นชีพแบบนี้ เป็นเพราะรักคำเดียวเท่านั้น
ฮูหยินเจินไป๋เจีย เดิมชีพจรทีกำลังแผ่วเบาและจางหายไปแล้วกลับค่อย ๆ มั่นคงขึ้น ทั้งคืน ทุกเรือนในจวนแม่ทัพต่างเฝ้ารอข่าวฮูหยินเสียชีวิต ทว่าจวบจนตะวันเริ่มทอแสก็ไร้ข่าวคราว แต่ละเรือนต่างยิ้มเยาะองค์หญิงช่างอารมณ์ขันชอบปล่อยข่าวว่าตนจะสิ้นชีพ
เรือนตะวัน
“ไม่ใช่ท่านหมอบอกให้เตรียมงานแล้วหรือ” อนุหนิงหลิง เรือนตะวันเอ่ยถามเพราะแม้จะไม่เชื่อภายในใจก็หวังว่าจะเป็นจริง
“กระทั้งชุดคนตายนางก็สวมเรียบร้อยแล้ว” อนุลู่อี้ พูดขึ้น
“แล้วทำไมยังเงียบอยู่เล่า” อนุเหอซินเอ่ยต่อ
…
เรือนจันทรา
“หรือจะยังไม่ตาย” อนุกัวอิงเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรพวกเรารอได้” อนุโจวจือพูดขึ้น
“ข้าก็เตรียมชุดไว้เรียบร้อย” อนุหม่าจินเยว่ พูดพลางก้มจิบกาชาเบา ๆ
..
เรือนไม้งาม
ฮูหยินผู้เฒ่า กำลังนั่งจิบชามือถือลูกประคำขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม
“ยังไม่มีข่าวหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ ไท่ไท่” บ่าวรับใช้คนสนิทเอ่ยตอบ
กลับไปที่ เรือนเหม่ยฮว่า ฮูหยินรองกำลังช่วยท่านแม่ทัพแต่งตัวด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว เมื่อได้รับรางงายจากบ่าวไพร่ แม่ทัพหวงร้องฮึในลำคอเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ตายก็ดี”
ไร้อารมณ์ ไร้ซึ่งไมตรี
สำหรับฮูหยินที่ต้องตบแต่งเข้ามาเพราะราชโองการเย่อหยิงจองหอง เขาไม่แยแสแม้แต่น้อยเพราะตั้งแต่ตบแต่งนางเข้ามาจวนแม่ทัพของเขาก็วุ่นวาย แต่ละวันเกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน แค่คิดถึงผลงานที่ผ่านมาก็ทำให้รู้สึกปวดขมับ
ในขณะที่บุคคลที่ทุกคนกำลังรอฟังการตาย
เจินไป๋เจีย ก็กำลังนั่งทบทวนชีวิตของเจินไป๋เจียผู้นี้
นางว่าแล้วเชียว ยมฑูตหรือสวรรค์ไว้ใจไม่ได้ ตรงไหนกันบอกว่านางจะได้เสวยสุข ไม่ใช่ต้องทุกข์กว่าเดิมหรอกหรือ
สามีไม่รัก
แม่สามีเกลียดชัง
เหล่าอนุอีกเป็นสิบ
สิ่งที่สวรรค์ชดเชยให้ น่าจะไม่ใช่แล้ว แบบนี้เขาเรียกว่า เวรกรรม
ทว่าก็ยังมีบางอย่าง นางเป็นองค์หญิงแม้จะนิสัยเสียไปบ้างก็มีข้อดีเพราะนางเป็นน้องสาวที่ฮ่องเต้รักมากและมีมารดาเป็นไทเฮา มีเงินมีทองมากมายและที่สำคัญนางเป็นเมียเอก หมอหลวงที่กำลังตรวจดูอาการ คิ้วก็ขมวดไปมาหรือจะเป็นเพราะยาวิเศษเม็ดนั้นจริง
“ท่านหมอหลวง ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง” แม่นมมู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“อาการดีขึ้นมา ทานยาตามที่ข้าจัดให้ใหม่ไม่เกิน 1 เดือนก็จะดีขึ้น หายเป็นปกติ”
ในที่สุดหมอหลวงก็ตัดสินใจบอกอาการแม้จะขัดกับสิ่งที่เขาบอกเมื่อคืนก็ตาม
“ขอบคุณท่านหมอหลวง”
“ฮูหยิน องค์หญิงน้อยของหม่อมฉันขวัญเอ่ยขวัญมานะเจ้าคะ” นางรีบเข้าไปปลอบโยน
“ข้าต้องรีบเข้าไปรายงานฮ่องเต้ ข้าน้อยขอลา”
เพราะตอนนี้องค์หญิงเจินไป๋เจียกลายเป็นฮูหยินของจวนแม่ทัพแล้วนางประกาศบอกทุกคนให้เรียกนางว่า
ฮูหยินหวงจวนแม่ทัพเท่านั้น
ตอนที่ 7 ประลองเรื่องหย่าไม่ใช่เจินไป๋เจียไม่ใส่ใจ ทว่าสิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือนางต้องฝึกปรือวิชา การเป็นผู้มีฝีมือวาจาถึงจะมีสิทธิ์ต่อรอง หากใช้ตระกูลอันหรือราชอำนาจจากไทเฮายิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน และด้วยสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งไม่อาจจะทำอะไรได้ดั่งใจ“พรุ่งนี้แล้ว มันจะต้องสำเร็จข้าจะต้องทำให้ได้” เจินไป๋เจียบอกให้กำลังใจตนเองนางแล้วรีบพักผ่อน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับอะไรบ้างนางต้องเก็บแรงไว้ให้มากตะวันยังไม่ทอแสงนภายังคงมืด ทว่าชิงอีก็เข้ามาปลุกหญิงสาวแล้ว“คุณหนูได้เวลาได้ ท่านต้องรีบไปลงทะเบียนและจับสลากอันดับนะเจ้าคะ"เจินไป๋เจียยังพลิกตัวไปมางัวเงีย เมื่อคืนเพราะตื่นเต้นมากเกินไปทำให้นางนอนไม่หลับ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสดชื่นกว่านี้ก็กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ สุดท้ายจึงได้หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อกระตุ้นร่างกาย“คุณหนูนี่คือชาชนิดใดกันเจ้าคะ" ชิงอีถามเจินไป๋เจียด้วยความสงสัย“สิ่งนี้เรียกว่ากาแฟ ขั้นตอนเหล่านี้คือวิธีการดริป รอว่าง ๆ ข้าจะสอนพวกเจ้าเอง” เจินไป๋เจียยืดอกตอบด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยพลังปราณธาตุดินขอแค่นางระลึกถึงก็สามารถปลูกทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องม
ตอนที่ 6 หนทางเป็นเด็กฝึกไม่สนุกอย่างที่คิด เจินไป๋เจียตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้หยุดฟัง แม้จะมีชิงอิงและชิงอี คอยช่วยทว่านางก็ยังยืนและคอยพวกนาง คนที่นอนและกินมาตลอดชีวิต สภาพร่างกายจะรับได้อย่างไรเมื่อพักเที่ยงนางก็แทบจะถอดใจล้มเลิกความตั้งใจหากไม่ใช่ นางชำเลืองเห็นคนรับสมัครเมื่อวานหรี่ตามองเหยียดปากดูแคลนส่งมาให้นางอย่างไม่ปกปิดนางคงกลับจวนไปแล้ว“คุณหนู แม่นมสั่งให้พวกข้าดูท่านให้ดี ท่านนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ พวกข้าจะจัดการเก็บสมุนไพรพวกนี้เอง”หน้าที่ในวันนี้คือเด็กฝึกต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปลูกและเก็บสมุนไพร เมื่อนึกถึงสมุดไม้ไผ่เมื่อวาน สมุนไพรที่มีกว่าพันชนิด เจินไป๋เจียก็คำนวนระยะเวลาในการฝึกเช่นนี้ทันที ปีที่ 1 เรียนรู้สมุนไพรปีที่ 2 เริ่มศึกษาการปรุงยาปีที่ 3 หัดปรุงยาร่วมกับพี่ชั้นปีที่ 4 และปีที่ 4 ปรุงยาด้วยตนเองจบการศึกษา เป็นผู้ปรุงโอสถเริ่มต้น ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีทางลัดนอกจากการฝึกฝนตัวเอง เหล่าคุณหนูและคุณชายล้วนมาฝึกตนเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่อย่างช้าอายุ 15 ปีก็จบการศึกษา อย่างเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยคัดเลือกเมื่อวานก็มีคาด
ตอนที่ 5 เด็กฝึกเจินไป๋เจีย ไม่ได้สนใจว่าใครจะประมวลหรือคิดอะไร นางนั่งเปลขาพาดยกสูง ไร้มารยาทเฉกสตรีทั่วไป ในเมื่อไม่ให้หย่า แต่นางคงออกไปไหนมาไหนได้กระมัง“แม่นมมู่ ข้าจะไปเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านโอสถ ท่านช่วยจัดการให้ด้วย”ไทเฮาเป็นบุตรสาวจากตระกูลอัน หนึ่งในสี่ตระกูลที่มีผู้นำตระกูลเป็นถึงปรมาจารย์โอสถการที่เจินไป๋เจียอยากจะไปเป็นเด็กฝึกย่อมไม่ใช่เรื่องยาก “ฮูหยินท่าน…เอ่อ..เจ้าค่ะ”เป็นเด็กฝึกก็ต้องคอยรับใช้และฟังคำสั่งผู้อื่น เจินไป๋เจียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แม่นมมู่แค่คิดว่าองค์หญิงของนางต้องไปเป็นข้ารับใช้ผู้อื่นก็ปวดใจทันที“ชิงอี ชิงอิง เจ้า 2 คนต้องคอยดูแลไม่ให้ใครมารังแกคุณหนูเด็ดขาดรู้ไหม” แม่นมมู่สั่งกำชับองค์รักษ์ข้างกายของเจินไป๋เจียด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์หญิงทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ “ชิงอี ชิงอิง เจ้าทั้งสองต่อไปเรียกข้าว่าคุณหนูเจียเจีย เข้าใจหรือไม่”เมื่อจะเดินออกมาข้างนอกเจินไป๋เจียก็สั่งบ่าวให้เรียกนางใหม่“เจ้าค่ะคุณหนูเจียเจีย” สามสาวดุรณีแรกแย้มอายุเพียง 16-17 เท่านั้น เมื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าไร้เครื่องประดับหรูหรา เจินไป๋เจีย
ตอนที่ 4 จะหย่าไม่ว่าจะยุคไหน สุดท้ายทุกคนก็ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ต้องเป็นคนมีความสามารถเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ ก่อนหน้าเพราะมีพระมารดา มีพระเชษฐา ที่คอยคุ้มครองปกป้อง พอเกิดเรื่องเช่นนี้แม้ว่าอย่างไรฐานะนางไม่เปลี่ยนแปลงแต่จะให้เป็นเช่นเคยคงเป็นไปไม่ได้นางเป็นคนในราชวงศ์ เชื้อสายของผู้นำดินแดนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั้งรูปโฉมและสายพลัง ตั้งแต่เกิดนางได้รับความรักมากมาย ทำให้กลายเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจเย่อหยิงไร้ความเมตตา ทำให้ทรัพย์ในกายล้วนไร้ค่า “แม่นมมู่ ตอนนี้พวกเรามีคนอยู่จำนวนเท่าไร”นางเป็นองค์หญิงอย่างน้อยก็ควรมีองค์รักษ์ส่วนตัวสิ“องค์รักษ์เงาจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวไพร่ที่ติดตามมาจากในวังก็ 20 คน” แม่นมเอ่ยพลางแปรงผมให้เจินไป๋เจียอย่างเบามือ และมองดูผมยาวสลวยเป็นเงางามนุ่มลื่นดั่งผ้าไหมล้ำค่าอย่างภาคภูมิใจ องค์หญิงของนางล้วนงดงามไร้ที่ติ ในขณะที่เจินไป๋เจียคิดถึงแต่เรื่องเงินทอง นางไม่เคยส่องกระจกเหลืองที่ไม่ชัดเจนอันนั้นจึงไม่รู้ถึงความงามของตนเอง มากมายจริง ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมีคนต้องดูแลมากมายเพียงนี้ หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แ
ตอนที่ 3 เข้าวังไม่ได้สิ่งดีที่กลายเป็นโชคดีสำหรับนางตอนนี้คือ ไม่มีใครมาเยี่ยมนางสักคน นอกจากคนจากในวังก็ไม่มีใครถามข่าวคราวนางอีกเลยเมื่ออาการดีขึ้น พอมีเรี่ยวแรงสิ่งแรกที่เจินไป๋เจีย ตัดสินใจและต้องทำอย่างเร่งด่วนคือ นางต้องหย่า ต้องหย่าเท่านั้น!! เป็นนางที่ขอสมรสพระราชทาน และจะเป็นนางที่ขอหย่านางต้องเข้าวังทว่าหลังจากนอนพักมาหลายวัน สิ่งที่เกิดคำถามในใจ คนในจวนแม่ทัพทำกับนางถึงเพียงนี้แต่ทำไม ฮ่องเต้หรือไทเฮาไม่มีกระแสตำหนิลงมาสักคำ มันเป็นความไม่ปกติเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเป็นเพราะพวกเขาเคยชิน“แม่นมข้าจะเข้าวัง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ แม้กระทั่งตัวเองก็แปลกใจ“ฮูหยินท่านเพิ่งจะหายป่วย บ่าวว่าท่านพักผ่อนอีกระยะดีไหมเจ้าคะ” คำพูดของแม่นมทำให้เจินไป๋เจียขมวดคิ้วชำเลืองมองตาขวางแม่นมมู่หรานรีบคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงสั่น แม้จะหวาดหวั่นแต่ก็ยังเอ่ยห้ามเช่นเดิม“ฮูหยินท่านเชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอร้องท่านอย่าเพิ่งเข้าวังเลย”นั่นปะไร เป็นอย่างที่นางคิดไม่ผิดทุกอย่างล้วนไม่ปกติในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ เมื่ออาการดีขึ้นมากเจินไป๋เจียก็ออกมานั่งรับลมอยู่
ตอนที่ 2 ไม่ตายก็ดี เรือนเหม่ยฮว่าเสียงหายใจกระชั้นยังดังแว่วมาจากห้องข้างใน ทำให้บ่าวที่อยู่ข้างนอกไม่กล้ารบกวน“พวกเจ้าไม่กลัวตายหรืออย่างไร ตอนนี้ใช่เวลาจะขอเข้าพบนายท่านหรืออย่างไร”“แต่ว่าฮูหยิน ฮูหยินอาการหนักมาก” เสียงตอบกระซิบแผ่วเบาพวกนางคุกเข่าอยู่เป็นเวลาหลายเค่อ ทว่าเสียงรัณจวนก็ยังไม่แผ่วลงทำให้คนข้างนอกล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทั้งร้อนใจและอับอาย หากฮูหยินสิ้นตอนนี้ไม่รู้ว่าชื่อเสียงจะย่อยยับเพียงใดสงครามข้างในสงบลงแล้ว ฮูหยินรองอันชิงอีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงออเซาะ“ท่านพี่ ข้าจะปรนนิบัติท่านอาบน้ำเองนะเจ้าคะ” “เจ้าไม่แสร้งเป็นคนดี ขอร้องให้ข้าไปดูนางหน่อยหรือ” แม่ทัพหวงซีซวนเอ่ยถามน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยัน“ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยเจ้าคะ หากท่านต้องการจะไปท่านพี่ย่อมตัดสินใจเอง” ฮูหยินรองพูดพร้อมชายตาแลยั่วยวน แม่ทัพหวงซีซวนเก่งกาจสามารถ มารยาเล็กน้อยเขาย่อมมองออก นางไม่สนใจชิงดีชิงเด่นหรือเอาอกเอาใจใคร สิ่งเดียวที่ต้องทำคือปรนนิบัติท่านแม่ทัพให้ดีเท่านั้น และนี่ทำให้นางได้ตำแหน่งฮูหยินรองมาครอบครอง“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ดียิ่ง บุตรของข้