" ไหนขอพี่ดูหน่อย " จ้าวฟางลู่ ยื่นมือให้พี่รองของนาง จับดูชีพจร
" ชีพจรปกติดี และดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ถ้าท่านพ่อกับพี่ใหญ่รู้ต้องดีใจมากแน่ " " ดังนั้นข้าก็ฝึกวรยุทธได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ " นางถามพี่รองด้วยความดีใจ เค้าพยักหน้ารับน้อย ๆ ท่านแม่ทัพบังเอิญมองเห็นแววตาเป็นประกายซุกซนของนางเข้า ' มิน่าละ หลายวันมานี้เจ้าดูเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหายป่วยแล้วนั่น เอง แต่เป็นแบบนี้ก็ดี แล้ว น่ารักดี ' เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตุดี ๆ ก็จะมองไม่เห็น แต่มีหรือจะรอดพ้นสายตาของกุนซือหน้าหยกไปได้ " ดังนั้นท่านแม่ทัพ รบกวนท่านช่วยสอน วรยุทธนางด้วยแล้วกัน " " ทำไมเจ้าไม่สอนเองละ " เค้าไม่ตอบท่านแม่ทัพแต่หันกลับไปพูดกับน้องสาวแทน " ไม่ใช่พี่ไม่อยากสอนเจ้า แต่พี่ต้องไปช่วยท่านราชครูคัดเลือกบัณฑิตใหม่ต่างหากเล้า " " นายน้อยขอรับ รองแม่ทัพมู่ มาขอพบขอรับ " ห้าวชวน เดินเข้ามารายงาน ทำให้การสนทนาต้องหยุดชะงักลง " พาเขาไปรอที่ห้องตำรา " " ขอรับนายน้อย " ห้าวชวน รับคำแล้วเดินออกไป " มู่เฉิน ก็มาที่นี่บ่อย เขากับเจ้าก็เคยเจอกันแล้วหลายครั้ง ถ้าให้เขาสอนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก หากท่านแม่ทัพอนุญาต ข้าจะคุยกับเขาเอง " พี่รองพูดพลางมองหน้าท่านแม่ทัพ ดูเหมือนจะขอความคิดเห็น ข้าจึงหันมาจองท่านแม่ทัพอย่างรอคำตอบเหมือนกัน ' ยังไงก็ต้องมีคนมาสอนเพื่อบังหน้าหากอยู่ ๆ เก่งวรยุทธ ขึ้นมาเองคงไม่มีใครเชื่อเป็นแน่ ' " ไม่ต้อง.. ..เดี๋ยวข้าสอนเอง นางเป็นถึง ฮูหยินแม่ทัพ จะให้รองแม่ทัพมาสอนวรยุทธ ผู้คนทั่วแผ่นดินนี้คงคิดว่าข้าไม่มีปัญญาสอนแม้กระทั่ง ฮูหยินของตัวเอง " พูดจบท่านแม่ทัพก็ทำหน้าบึ้ง แล้วเดินจากไป " พี่รอง ท่านแม่ทัพเขาเป็นอะไรหรือเจ้า " จ้าวฟางลู่มองตามหลังท่านแม่ทัพอย่างไม่เข้าใจ ' ก็แค่ถามความเห็นไม่ใช่หรอ ทำไมต้องโกรธด้วย เข้าใจยากเสียจริง ' " ไม่มีอะไรเขาแค่ทำไหน้ำส้มหกเฉย ๆ " " หา! " ' นี่แค่หก แล้วถ้าแตกละจะขนาดไหนนะไม่อยากจะคิดเลย ' " ลู่เอ๋อ เจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ " " หือ .. เปลี่ยนยังไงหรือเข้าคะ " " เจ้าดูสดใสร่าเริง ไม่ยึดถือกฎระเบียบมากไปเหมือนเมื่อก่อน " " ข้าผ่านความเป็นความตายมาก็หลายครั้งแล้ว ในขณะนั้นข้ามีเรื่องมากมายที่อยากทำแต่กับไม่สามารกระทำได้ตามใจตน ครั้งนี้เมื่อได้รับโอกาส ข้าก็แค่อยากทำในสิ่งที่ใจปรารถนา เมื่อถึงเวลานั้น จะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้เสียใจในภายหลังเจ้าค่ะ " " เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว พี่ ๆ และท่านพ่ออยากเห็นเจ้ามีความสุข " " เจ้าค่ะพี่รอง เอ่อ ท่านพ่อและพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ " " ท่านพ่อสบายดี ส่วนท่านพี่ของเจ้าก็มัวยุ่งอยู่กับงานใน กรมยุติธรรม ไม่ค่อยได้กลับจวนสักเท่าไหร่ " " ฝากบอกพวกท่านด้วยนะเจ้าคะ ว่าข้าคิดถึงพวกท่านมากเลย และฝากพี่รองและพี่ใหญ่ดูแลท่านพ่อแทนข้าด้วยนะ " " ได้ ๆ พี่ต้องไปแล้ว ส่วนเจ้าก็จงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการเถอะ " " ทราบแล้วเจ้าค่ะ โลกใบนี้มีพี่ใหญ่ กับท่านแม่ทัพอยู่ มีพวกเค้าช่วยกันแบกไว้คงไม่มีทางถล่มลงมาได้ง่าย ๆ หลอกเจ้าค่ะ ถ้าจะถล่มลงมาจริงก็ยังมีพี่รองกับท่านพ่ออยู่พวกท่านคงไม่ปล่อยให้ข้าเป็นอะไรหรอกใช่ไหมเจ้าคะ " พี่รองมองนางด้วยรอยยิ้ม แววตาอบอุ่นและอ่อนโยน พร้อมเอามือมาลูบผมของนางเบา ๆ ' ครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ ข้าจะรักษาไว้ให้ดี ' ห้องตำรา ท่านแม่ทัพมองแผนที่ ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใช้ความคิด ในแผนที่นี้ รองแม่ทัพ มู่เฉิน ได้ ทำเครื่องหมายจุดที่เป็นค่ายโจรเอาไว้แล้ว มีทางเข้าหลายทาง นั่นก็แปลว่าพวกมันก็มีทางหนีหลายทางเช่นกัน " พวกมันมีพรรคพวกเท่าไหร่ " " ประมาณร้อยห้าสิบ ขอรับท่านพี่ แต่ทั้งหมดเป็นชายฉกรรจ์ พวกมันมีฝีมือพอตัวเลยขอรับ " " ดูจากแผ่นที่ ที่เจ้าวาดแล้ว การเผชิญหน้ากันโดยตรงอาจทำให้เกิดความสูญเสียมากแน่ คงต้องใช้กลอุบายเข้าช่วย " รองแม่ทัพมู่เฉิน พยักหน้าแล้วคิดตาม ตั้งแต่เล็กจนโตญาติผู้พี่ของเขาคนนี้ คิดอ่านรอบคอบและยึดถือเอาความปลอดภัยเป็นหลัก เขาจึงเต็มใจที่จะติดตามพี่ชายคนนี้ตลอดไป " ถ้าอย่างนั้น ให้ข้านำทหารส่วนหนึ่งปลอมตัวเข้าไปป่วน ภายในค่ายของพวกมันก่อนดีหรือไม่ขอรับ " " ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เจ้าเข้าไปป่วนในค่าย ส่วนข้าจะนำทหารแบ่งออกเป็นสี่ส่วน บุกเข้าพร้อมกันทั้งสี่ทิศ คืนพรุ่งนี้เป็นคืนเดือนมืดง่ายต่อการพรางตัวเราจะลงมือในคืนพรุ่งนี้แล้วกัน " " ข้าจะไปเตรียมการให้พร้อม " " นายน้อยขอรับ ฮูหยินน้อยให้นำขนมมาให้ขอรับ " ห้าวชวนเดินมาพร้อมกับถือถาดขนมในมือเข้ามาวางลงบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกของบุคคลทั้งสอง ท่านแม่ทัพพยักหน้ารับพร้อมยิ้มนิด ๆ รองแม่ทัพ มู่เฉิน หยิบขนมถั่วเขียวเข้าปากแล้วทำหน้าแปลกใจ " ขนมมีปัญญาหรอ " ท่านแม่ทัพถามพลางหยิบขนมเข้าปากบ้าง ' ก็อร่อยกว่าทุกวัน แถมหอมด้วย ' " เปล่าขอรับท่านพี่ แค่รสชาดของขนมค้อนข้างคุ้นเคยเหมือนกับเคยกินที่ไหนมาก่อน " " อ๋อ..เมื่อเช้านี้ข้าเห็นฮูหยินน้อยกับเจียวซินเป็นคนทำขอรับ " ห้าวชวน รีบบอกสิ่งที่ตนรู้ " ถึงว่า ..เป็นคุณหนูจ้าว..เอ่อฮูหยินน้อยนี่เอง ถึงว่าเคยกินที่ไหน เป็นจวนสกุลจ้าวนี่เอง " มู่เฉิน ยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี แต่งจากท่านแม่ทัพที่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับท่าทีสนิทสนมของฮูหยินและญาติผู้น้อง ' ต้องสนิทแค่ไหนกัน เจ้ากุนซือนั่นถึงกับกล้าเอ่ยปากขอให้ มู่เฉินสอนวรยุทธนาง นี่ข้าพลาดอะไรไปหรือเปล่า '" เจ้าดูจะสนิทกับ ลู่เอ๋อ มากข้าอยากรู้ว่าปกตินางชอบทำอะไรบ้าง " ท่านแม่ทัพทำทีเป็นถามถึงสิ่งที่นางชอบกับ มู่เฉิน ดูว่าเค้าสนิทกับนางมากน้อยแค่ไหน " ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก ยามไปที่จวนสกุลจ้าวถ้านางไม่ไปเรียนดนตรี ก็จะทำขนมมาให้ พี่เฟยเทียนกับเฟยหลิง กิน ข้าก็พลอยได้ชิมอยู่หลายหน แต่นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้ขอรับ " มูเฉิน อธิบายเสียยืดยาว พร้อมทั้งหยิบขนมเข้าปากไปด้วย ท่าทางสบาย ๆ ' หึ ที่แท้ก็เป็นเจ้ากุนซือบ้านั่น ที่คิดจะปั่นหัวข้า อย่าให้ถึงคราวเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะเอาคือให้สาสมเลยทีเดียว ' ร่างสูงสง่าสวมชุดสีดำ ในมือถือดาบคู่กายก้าวเดินอย่างมั่นคงสง่างามและน่าเกรงขาม ตามหลังด้วยลูกน้องคนสนิท จ้าวฟางลู่ รู้ดีว่า การออกปฏิบัติภารกิจในแต่ละครั้งนั้น จะประสบความสำเร็จได้ จำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นนางก็ควรจะไปส่งเขา " ท่านแม่ทัพเจ้าคะ รอก่อนเจ้าค่ะ " เมื่อเสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้ร่างสูงหยุดเดินในทันทีแล้วหันกลับมามองนางอย่างแปลกใจ " เจ้ามีธุระอันใด หรือเปล่าฮูหยิน " " เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากเดินไปส่งท่านก็แค่นั้นเอง " เขาพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินออกไปพร้อมกับน
ท่านแม่ทัพมองซ้ายมองขวาเขาตามเงาดำนั่นมาติ ๆ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว ' ข้าว่าจะตามมาขอบคุณเสียหน่อยหายไปไหนแล้ว ' อยู่ ๆ ก็เกิดกระแสความเย็นที่คอ ท่านแม่ทัพยืนนึ่งไม่ได้ปัดป้องหรือขยับหนีไปไหน มีดที่จี้คอเขาอยู่ครายแรงกดออกเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้ลดมีดลงเขารับรู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ไดคิดจะเอาชีวิตเขาหรอกและถ้าคิดจะฆ่าเขาก็คงทำไปแล้ว เขารับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีวรยุทธสูงแค่ไหนที่สามารถเข้าประชิดตัวเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว " ท่านตามข้ามาทำไม " เสียงที่เอ่ยถามเขานั้นช่างแข็งกร้าวและเยือกเย็น แต่ยังไงก็ยังเป็นเสียงของสตรีอยู่ดี ' คนที่ช่วยข้าเป็นสตรี ' " ข้าแค่อยากมาขอบคุณเจ้า " เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางจึงลดมีดลงแล้วถอยหลังไปสามสี่ก้าว ท่านแม่ทัพหันกลับมาเพื่อที่จะดูหน้าของนางแต่นางกับใช้ผ้าสีดำปิดหน้าไว้มองเห็นแค่คิ้วเรียวสวยและดวงตากลมโตฉายแววเด็จเดี่ยว ช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ที่หลังของนางสะพายกระบอกใส่ลูกธนูในมือของนางก็ถือคันธนูไว้ ร่างบางในชุดสีดำเข้ารูป ดูคล่องแคล่ว เหมือนจอมยุทธหญิง " ไม่เป็น ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณ ข้าก็แค่ผ่านมาก็เท่านั้น " " ยังไงข้าก็ขอบ
เจียวซินยืนมองนายหญิงของนางกำลังปีนต้นไม้ด้วยความเป็นห่วง " ฮูหยิน ระวังตกนะเจ้าค่ะ ฮูหยินข้าว่าเรียกบ่าวรับใช้ผู้ชายมาช่วยดีกว่านะเจ้าคะ ฮูหยินท่านลงมาเถอะนะเจ้าคะ " " ซินเอ๋อ เจ้าช่วยเบาเสียงหน่อย ข้าไม่ตกหรอ แค่นี้สบาย ๆ " จ้าวฟางลู่มองลูกนกในมือยิ้ม ๆ " เจ้านกน้อยข้ามาส่งเจ้ากลับบ้านแล้วนะ " นางพูดกับเจ้านกน้องพร้อมวางเจ้านกน้อยไว้ในรัง " ฮูหยินท่านลงมาได้แล้วเจ้าค่ะ " " ก็ได้ ๆ ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้และ " แก๊ก.... " ว๊ายยยย " นางร้องอย่างตกใจ 'กิ่งไม้ดี ๆ มีมากมายทำไมไม่จับ ดันไปจับโดนกิ่งไม้แห้งซะได้ คราวนี้ได้เจ็บตัวจริง ๆ แน่ ' นางหลับตาลงพร้อมยอมรับแรงกระแทกจากพื้นดิน พืบ.…. ' หือไม่เจ็บแฮะ ' นางคิดแล้วลืมตาขึ้นสบเข้ากับสายตาคมที่มองนางอยู่ก่อนแล้ว พบว่าตัวเองตกลงมาในอ้อมแขนแข็งแกร่งของท่านแม่ทัพ ทำให้หัวใจดวงน้อยของนางเต้นแรง ' ป่านนี้หน้าข้าคงแดงมากแน่เลย ' ที่แท้เป็นท่านแม่ทัพนี่เองที่มารับนางไว้ได้ทัน เขามองหน้านางอย่างหมั่นเขี้ยว พร้อมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายสาว เมื่อสูดดมเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด " หึ เป็
ค่ายทหาร หลังจากคุยเรื่องการฝึกทหารใหม่กับรองแม่ทัพ มู่เฉิน เสร็จ ท่านแม่ทัพก็ถูกฮ้องเต้เรียกตัวเข้าวังหลวง พบปะหารือเป็นการส่วนตัว เรื่องคุ้มกันเสบียงไปส่งยังเมื่องหัวโจที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองหลวงที่กำลังประสบภัยแล้งอย่างหนักเสบียงที่ส่งไปตั้งแต่เดือนก่อนก็ถูกดักปล้นเสียก่อนที่จะถึงประตูเมือง มีกำหนดการเดินทางในอีกหนึ่งอาทิตย์ ข้างหน้า เขาจำต้องเร่งสะสางงานทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะส่งต่อให้ มู่เฉิน ดูแลแทนในช่วงที่เขาไม่อยู่ ทั้งหมดนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านแม่ทัพต้องมานอนค้างที่ค่ายทหาร เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน " นายน้อยขอรับ นอนพักสักหน่อยเถอะนะขอรับ " ห้าวชวนทนดูสภาพของผู้เป็นนายที่ทำงานอดหลับอดนอนมาหลายวันแล้ว จึงได้เอ่ยปากอีกครั้งหลังทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ " อืม..จะเสร็จแล้ว " เขาตอบเหมือนเคย ห้าวชวน รอบถอนหายใจ ' นี่มันกี่ครั้งแล้วนายน้อย ที่ท่านพูดคำนี้ ' รอเพียงไม่นานรายงานที่กองอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเจ้านายของเขาก็ถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ เขายืนขึ้นบิดตัวไปมา คลายความเมื่อยล้
จ้าวฟางลู่หลังจากใช้วิชาตัวเบาผสมตีนแมวก็แอบออกมาจากจวนแม่ทัพได้อย่างราบรื่น โดยจงใจทิ้งเบาะแสไว้ให้พวกเขาตามหา ถ้าจะออกมาโดยที่ไม่ให้ใครรู้ก็ย่อมได้ แต่มันจะไปสนุกอะไรล่ะ นางแค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น อีกไม่นานอาเต๋อคงหานางเจอเองแหละ ถ้าจะให้ชวนเขาตรง ๆ เขาคงไม่ยอมแน่ นางหันซ้ายแลขวาเดินจนเหนื่อยแล้วเห็นร้านบะหมี่เปิดอยู่จึงเดินเข้าไปนั่ง สั่งบะหมี่มาสองชามกลิ่นน้ำซุปลอยขึ้นมาแตะจมูก ' หอมมากกก จะแอบอยู่อีกนานไหมน้อง ' ความจริงนางเห็นเขาตั้งแต่ก่อนที่จะสั่งบะหมี่แล้ว " อาเต๋อ ออกมาเถอะ บะหมี่ต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย " พอนางเอ่ยจบ ร่างสูงก็ขยับก้าวเดินออกจากมุม มืดเดินตรงมาหานางทันที " ฮูหยินน้อย ท่านรู้ว่าข้าตามท่านมา " " ใช่ ถ้าข้าบอกเจ้าตรง ๆ เจ้าจะพาข้าออกมาไหมล่ะ " เขานั่งถอนหายใจอย่างจนปัญญาเมื่อได้ฟังคำตอบของนาง " ฮูหยินน้อยนี่ก็ดึกแล้วกลับกันเถอะขอรับ " " รู้แล้ว ๆ ข้าแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง อีกอย่างท่านแม่ทัพก็ไม่อยู่ มีอะไรให้กลัวกันล่ะ เจ้าเองก็กินก่อนเถอะ " นางพูดเสียงใส เขาอยากจะบอกนางเหลือเกินว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาวันนี้ ป่านนี้คงถึงจวนแล้ว
ร่างบางขยับเข้าหาความอบอุ่นมือเรียวลูบไล้แผงอกแข็งแกร่งไปมา ' วันนี้เจ้าหมีของนางดูตัวโต และกอดอุ่นกว่าทุกวัน ' พลันนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้อยู่ที่โลกเดิมแล้ว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ มือของนางวางอยู่บนแผงอกของท่านแม่ทัพที่กำลังหลับสนิทอยู่ นางมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างพินิจมีรอยคล้ำใต้ดวงตาเล็กน้อยสีหน้าอ่อนล้า ที่เขาบอกว่ากลับเรือนไม่ไหวนั้นคงเป็นเรื่องจริง นางกำลังจะเอามือออกจากอกของเขา แต่ยังไม่ทันได้ขยับ มือหนาก็ยกขึ้นมากุมมือของนางเอาไว้ก่อน " จะไปไหน มองต่ออีกหน่อยก็ได้ ข้าไม่รีบ " " นี่ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ " เขาหันหน้ามาหานางทำให้ตอนนี้เราสองคนนอนหันหน้าเข้าหากัน " ก็...ตั้งแต่มีคนเอามือมาลูบไล้ข้านะสิใครจะไปหลับลง " เขาตอบแบบหน้าตายอีกแล้ว นางมองเขาอย่างเอาเรื่อง ' ข้าอยากจะบีบคอท่านนัก ' นางได้แต่ร่ำร้องในใจ " ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าค่ะ " เขาก็ยังทำเป็นไม่ได้ยินแถมยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก " ขอข้านอนต่ออีกหน่อยนะลู่เอ๋อ ข้ายังไม่ได
รถม้าจวนแม่ทัพเคลื่อนมาหยุดที่หน้าจวนสกุลจ้าว หนึ่งบุรุษชุดดำผู้องอาจเดินเคียงคู่กันกับสตรีชุดสีน้ำเงินผู้สง่างาม บุรุษผู้ที่เขาได้ตั้งให้เป็น เสาหินแห่งกองทัพทมิฬนั้นมองสตรีข้างกายด้วยสายตาอ่อนโยนช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง จ้าวเฟยเทียน มองดูสหายตนที่ไม่เคยชายตามองสตรีใด ปฏิบัติกับน้องสาวของเขาอย่าง ทนุถนอมแล้วมองแค่เพียงแวบเดียวก็รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การแสดงละครเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นไปตามคำบอกเล่าของของ เฟยหลิง ที่มาเล่าให้เขาฟังว่าเจ้าเสาหินนี่เริ่มสั่นคลอนแล้ว ในโลกใบนี้คงมีแค่เจ้าเสาหินนี่ที่เขาพอจะวางใจ' ให้ดูแลน้องสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของบุรุษทั้งสามของสกุลจ้าวแห่งนี้ได้ " คาราวะพี่ใหญ่เจ้าค่ะ " เสียงหวานเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม " น้องเล็ก " เขาตอบรับนางด้วยรอยยิ้มเอ็นดูและแสนอบอุ่น " ทำไมวันนี้พี่ใหญ่ถึงได้ว่างล่ะเจ้าคะ " นางเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย ในความทรงจำของร่างนี้ พี่ชายคนนี้รักและใจดีกับนางมากแต่เขามักจะงานยุ่งอยู
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวนสกุลจ้าวใน ยามโหย่ว ภายในรถท่านแม่ทัพนั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากจวนสกุลจ้าวแล้ว จ้าวฟางลู่ นางมองหน้าเขาจากด้านข้างเหมือนเขามีเรื่องอะไรในใจ " ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ " เขามองหน้านางนิดนึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ' เป็นอะไรของเขานะ เมื่อเช้ายังดี ๆ อยู่เลย หรือว่าจะไม่สบาย ' นางเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเขา ' ก็ไม่ร้อนนี้ แต่หน้าเขาแดงมากเลยนะ ' นางขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น " เจ้าอย่าทำอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องนึกเสียใจทีหลังเลย เพราะเจ้ากำลังจะทำให้ข้าหมดความอดทน " เขาพูดด้วยน้ำเสียงสกัดกั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ " ท่านเป็นอะไรกันแน่เจ้าคะ มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ ได้เจ้าค่ะ ว่าข้าทำอะไรผิดกันแน่ ต่อไปข้าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่านอีกแล้ว..อื้อออ ...." นางพูดยังไม่จบเขาก็จัดการปิดปากนางด้วยปากซะก่อนจากการปิดปากเฉย ๆ เขาเริ่มเรียกร้องหาความหอมหวานจากนาง แม้เขากับนางจะเจอกันแทบทุกวัน แต่ต้องทนมองดูนางเฉย ๆ มันช่างทรมานใจยิ่งนัก เขาอยากกอด อยากสัมผัสนาง แต่ถ้าลุกมากไป ก็กล้วว่านางจะกวาดกลัวเขาเสียก่อน เขามอบจูบที่แสนหวานให้นาง และค่อย ๆ เริ่
วังหลวง แม่ทัพตงเฟยหลงเข้าพบฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว ร่างสูงยืนมองบุรุษที่นั่งอ่านฎีกาอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาอยู่ในชุดสีดำปักลายมังกรขาว ปั้ง " บังอาจยิ่งนัก....พวกมันช่างไม่กลัวตายเสียจริง " เสียงเข้มเอ่ยออกมาอย่างดุดันและเสียงฎีกากระทบกับโต๊ะตัวใหญ่...... เมื่ออ่านจบเขามองมาที่สหายอย่างต้องการความเห็น " เจ้ามีแผนว่าอย่างไร " " หากคิดจะจับคนที่อยู่เบื้องหลังให้ได้เราก็ควรเราควรใช้เล่ห์กลสักเล็กน้อย เพื่อล่อตัวการใหญ่ออกมา " คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงเมื่อได้ฟังคำของสหาย " เราว่าเจ้าลงมือเองคงมิมีผู้ใดสงสัย หากอ้างว่าไปเยี่ยมเยียนท่านลุงที่มิได้พบหน้ากันนานจะง่ายต่อการรอบเข้าไปสืบหาที่ตั้งของเหมืองแร่ " หลี่หมิงหลงมองหน้าสหายที่ยืนเงียบอยู่นาน " เจ้ามีอะไรหรือเปล่า " เขาถามตงเฟยหลงอีกครั้ง " ข้าไปได้ เพียงแต่ที่จวนเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย " หลี่หมิงหลง ฟังสหายพูดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ " เราก็นึกว่าเรื่องอ
ดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษที่นอนกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย เขาหลับตาพริ้มขนตางอนยาวราวกับผู้หญิง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ นั่นบ่งบอกได้ว่าคนตัวโตกำลังหลับอยู่ มือเรียวยกขึ้นมาลูบไล้แก้มสากอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวว่าเขาจะตื่น " สามีเจ้าหล่อเหลามาเลยใช้หรือไม่ " " อืม " อยู่ ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนนางเพลอตอบรับไป " หึ หึ ถึงว่าเจ้าถึงได้หลอกกินเต้าหู้พี่กลางดึกเช่นนี้ " นางมองดูคนที่ยังหลับตาพูดด้วยความมั่นใจ ไม่รู้ว่าสามีของนางไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน " คนหลงตัวเอง... ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว" เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา พร้อมซุกหน้าลงกับอกกว้าง เพียงไม่นานภรรยาตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็หลับไป มือหนาโอบกอดนางไว้แนน คงต้องยอมรับว่าเขาตกหลุมรักนางเข้าแล้วจริง ๆ จนอยากจะเก็บนางไว้เพียงคนเดียว ไม่อยากให้นางออกไปพบเจอผู้ใดเลยก็ว่าได้ กลับไปถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ เขาคงต้องไปจัดการเรื่องในค่ายทหารอย่างเร่งด่วน
จ้าวฟางลู่ นางเดินผ่านรถขังนักโทษ มาหยุดอยู่ข้างรถคันที่มีหลิ่วติงลู่นั่งอยู่ข้างใน โดยมีเหวินเยี่ยน และคนของกองปราบเป็นผู้คุมขบวนรถ นางเอียงคอมองคนในกรงขังอย่างสงสัย " เหวินเยี่ยน...ข้าจำได้ว่าข้าใช้มีดปักมือ ตาเฒ่านี่ .. เพียงข้างเดียวไม่ใช้หรือ แล้วมืออีกข้างไปโดนอะไรมา " นางเอ่ยถามสหายอย่างสงสัย เมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของตาเฒ่าหัวงูนั้นเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เขามองหน้านางแวบเดียวแล้วชี้มือไปยังบุรุษร่างสูงที่กำลังเดินมาทางนี้ " สามีเจ้าเป็นคนทำ " " หา ... ท่านแม่ทัพ น่ะนะ " " อืม...." เหวินเยี่ยนพยักหน้า นางมองไปที่คนตัวโต ที่กำลังเดิมตรงเข้ามาหานาง ปกติแล้วเขาเป็นคนที่มีเหตุมีผลที่สุดในการตัดสินปัญหา แล้วทำไมครั้งนี้ถึงได้ใช้อารมณ์ได้ล่ะ " มีอะไรหรือ " ตงเฟยหลงถามอย่างสงสัยที่เห็นท่าท่างประหลาดใจของภรรยาตัวน้อยของเขา " ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ..... เราไปกันเถอะ " นางใช้มือเกาะแขนแข็งแกร่งแล้วอ
จ้าวฟางลู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มองข้างกายเห็นคนตัวโตหลับตาพริ้มดูมีความสุขนักจนน่าหมั่นไส้ แต่ตัวนางกลับระบมไปทั้งตัวเลย ร่างบางขยับตัวเล็กน้อย มือหนาก็รั้งเอวบางเข้าไปกอดไว้แนบอก เมื่อคืนนี้กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปยามโฉ่วแล้ว เขาเคี่ยวกรำนางทั้งคือจนไม่รู้จักเหน็บเหนื่อยนางเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนตั้งมากมาย มือหนาเริ่มลูบไล้ไปมาบนหน้าท้องแบนราบจนนางต้องยกมือขึ้นมาตีมือใหญ่เบา ๆ " โอ๊ยยยย .... พี่เจ็บนะ...เมื่อคืนเจ้าทำให้พี่ช้ำไปทั้งตัวแล้วยังจะมาทำร้ายร่างกายพี่อีก....ช่างใจร้ายยิ่งนัก " ใครกันที่ล่ำลือว่าท่านแม่ทัพนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าพญามัจจุราชแต่สำหรับนางแล้ว เขาไม่ต่างจากลูกแมวตัวโตที่ขี้อ้อนเลยสักนิด " คนที่ช้ำคือข้าต่างหากล่ะเจ้าค่ะ ท่านนี่ช่างหน้าหนาเสียจริง แล้วท่านไม่ต้องไปดูแลความเรียบร้อยของขบวนเดินทางกลับเมืองหลวงหรอกหรือเจ้าคะ " " ไม่เอา.....พี่ยังง่วงอยู่เลย " ไม่พูดเปล่า ยังซ
ตงเฟยหลง กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าภรรยาตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา นางได้เผลอหลับไปแล้ว และบังคับม้าให้วิ่งช้าลง มองใบหน้าหวานจากด้านข้าง ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ว่านางหลับแล้วจริง ๆ กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสาง มือหนาวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือ แต่มือน้อย ๆ ของนางกลับยกขึ้นมาโอบรอบคอของเขาอย่างรวดเร็ว จนร่างสูงตั้งตัวแทบไม่ทัน ทำให้เขาล้มลงมาทับบนตัวของนางใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยสายหวาน ปนขบขัน " นี่เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ " นางยิ้มและหัวเราะเบา ๆ " ก็...มีคนอุ้มมาส่ง...สบายดีออกเจ้าค่ะ " ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ " แล้วใครบอกเจ้าล่ะ ว่าพี่จะแค่อุ้มมาส่ง " เสียงแหบกระซิบข้างหู ลมหายใจร้อน ทำให้ร่างบางหน้าแดงและรู้สึกร้อนรุ่มไปหมดทั้งตัว " ท่าน...พี่ ท่านไม่ต้องไปจัดการเรื่องของนายอำเภอหลิ่ว ก
ตงเฟยหลง จ้องมองไปยังร่างบางที่ นั่งทำหน้าตาเบื่อหน่าย อยู่ถ้ามกลางวงล้อมของศัตรู เขาเห็นชายผู้หนึ่งมีท่าทีคุกคาม และจะยืนมือไปสัมผัสนาง มือหนากำคันศรไว้แน่น ง้างธนูยิงไปที่คนผู้นั้นทันทีโดยไม่มีความลังเลซักนิด ลูกธนูปักเข้าที่มือของลูกสมุนคนนั้นพอดี ' อย่าได้บังอาจคิดที่จะแตะต้องผู้หญิงของข้า ' เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ทำให้ลูกสมุนทุกคนแตกตื่นวิ่งมารวมตัวกัน ส่วนคนของสำนักม่านเมฆาเองก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทุกคนหันมามองตามทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา ก็เห็นเหล่าทหารจำนวนมากปรากฏอยู่ตรงหน้า พวกมันมีท่าทีที่ตกใจมาก แต่เขามิได้สนใจคนพวกนี้เลยที่สนใจมีเพียงนางเท่านั้น ดวงตากลมโตมองมาที่เขาแล้วยิ้มหวานให้ สายตาคมมองสำรวจนางจนแน่ใจว่าร่างบางมิได้บาดเจ็บที่ใดก็รู้สึกเบาใจ ตลอดทางที่มาเขาเป็นห่วงนางแทบแย่ ตงเฟยหลง หยุดม้าและกระโดดลงเดินเข้าไปใกล้ พวกของหลิ่วหยางอี้ โดยมีเหล่าทหารตามหลังมา " มาเร็วดีนี่..แม่ทัพตง " หลิ่วหยางอี้เอ่ย
จ้าวฟางลู่ นั่งทำหน้าเซ็ง ๆ อยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ คนชุดดำแซ่เฉิน เมื่อกี้เขาพกดาบจันท์เซี้ยวมาด้วยแสดงว่าเขาเป็นคนของสำนักม่านเมฆาอย่างแน่นอน และดูท่าทางเขาจะเก่งพอตัวเลย แต่นางเคยได้ยินท่านแม่ทัพบอกว่าคนของสำนักม่านเมฆาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ส่วนคุณชายหลิ่วนั้น ก็คงจะเป็นลูกชายของนายอำเภออย่างไม่ต้องสงสัย นางถอนหายใจเบา ๆ ' ข้าคิดจะวางมืออยู่แล้วเชียว จับข้ามาทำไมตอนนี้เนี่ย เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์กันกับท่านแม่ทัพเลย มาสร้างเรื่องใหม่ให้ข้าอีกแล้ว ' ตงเฟยหลง ขบกรามแน่น กำกระดาษในมือไว้แน่นและขย้ำจนมันกรายเป็นผุยผง พวกมันส่งจดหมายมาให้เขานำตัวนายอำเภอหลิ่ว ไปแรกกับตัวฮูหยินน้อย ที่จวนร้างนอกเมืองก่อนรุ่งสาง ' พวกเจ้าคิดจะใช้นางมาต่อรองกับข้างั้นหรือ แค่นายอำเภอคนเดียวมีค่าเสียที่ไหนกัน ' " ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทหารทุกหน่วยมารวมตัวกันกันที่หน้าประตูเมือง และส่วนเจ้า อาเต๋อ ไปที่กรองปราบนำตัวนายอำเภอมา " " ขอรับท่านแม่ทัพ " ทุกคนรับคำส
ท่านแม่ทัพสั่งการให้ทหารแต่ละหน่วยกระจายกำลังกันออกค้นหาตัวลูกชายของนายอำเภอหลิ่ว หลิ่วหยางอี้กับลูกสมุนให้เจอโดยเร็ว แม่ทัพตงเฟยหลง สังหรณ์ใจแปลก ๆ จึงได้ย้อนกลับไปที่จวนรับรอง เห็นอาเต๋อ กำลังจับลูกสมุนของหยางอี้ อยู่ " ฮูหยินน้อยล่ะ " เขาถามอาเต๋อ ด้วยความกังวลใจ ที่ไม่เห็นนางออกมาข้างนอก เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้นางไม่มีทางทนดูอยู่เฉย ๆ ได้แน่ " ฮูหยินน้อยนางเข้านอนแล้วขอรับ หรือว่า " อาเต๋อ หันไปมองลูกสมุนทั้งสามของหลิ่วหยางอี้ " พวกเจ้าล่อข้าออกมา " " ฮา ฮา ฮา พวกหน้าโง่ กว่าจะนึกได้ก็สายไปแล้วล่ะ " ลูกสมุนคนหนึ่งพูดขึ้น " นายน้อยข้าว่า... .......อ้าวหายไปไหนแล้วเนี่ย..ไม่รอกันบ้างเลย ..พวกเจ้านำตัวพวกมันไปขังไว้ เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปได้ " อาเต๋อสั่งทหารยาม และรีบวิ่งตามเจ้านายของตนไปโดยเร็ว ตงเฟยหลง วิ่งมายังห้องนอนด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ นางจะเป็นอะไรหรือเปล่า ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย มือหนาเอื้อมไปเปิดประตูห้องอย
ท่านแม่ทัพสั่งให้ทหารล้อมรอบจวนของนายอำเภอไว้ ห้ามผู้ใดเข้าออกเป็นอันขาด " ท่านนายอำเภอ หาข้าอยู่หรือ " เขาถามเสียงเหี้ยม จนนายอำเภอหน้าซีด " ท่านแม่ทัพ...เป็นไปไม่ได้ .." " ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ข้าก็แค่ช่วยให้คนรักกัน...ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็เท่านั้นเอง ..... แต่ท่านนายอำเภอคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไป " เขากล่าวเสียงเรียบ แล้วส่งยิ้มให้คุณหนูหลิ่วและคนรักที่อยู่ภายในห้อง " ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร ข้าน้อยมิเข้าใจ " นายอำเภอรู้ว่าแม่ทัพตงสงสัยตนเองแต่คงจะยังไม่มีหลักฐานเป็นแน่ " ข้าเองก็ขี้เกียดอธิบาย เชิญนายอำเภอหลิ่ว ถามหัวหน้าเหวินเองเถอะ " เขาเอ่ยพรางพยักหน้าให้ เหวินเยี่ยน จัดการต่อ " นี่คือคำสารภาพของ หลิ่วติงลู่ น้องชายของท่านนายอำเภอเขาได้ยอมรับสารภาพหมดแล้วว่า การปล้นเสบียง ที่ทางวังหลวงส่งมาครั้งแรกเป็นท่านที่สั่งการ และการรอบสังหารที่ภูเขาหมาป่าก็เป็นท่านนายอำเภอที่สั่งการเช่นกัน และก็ยังมีสัญญาการซื้อขายและสมุดบัญชีที่พวกท่าน