ข้าแต่งเข้ามาที่จวนของท่านแม่ทัพได้ร่วมสองเดือนแล้ว มีภาระหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบภาย ในจวนมากมาย รวมถึงการตรวจบัญชีรายรับ รายจ่ายของจวนทั้งหมด
เพราะที่จวนแห่งนี้มีเพียงข้ากับท่านแม่ทัพเพียงสองคน ส่วนท่านโหวกับฮูหยินจะอยู่ที่อีกจวนและจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับจวนท่านแม่ทัพมากนัก นาน ๆ ทีถึงจะมาเยี่ยมเยียน วันนี้ข้าจึงอยากออกไปเดินเล่นที่ตลาด สักหน่อย " เจียวซิน มาช่วยข้าเปลี่ยนชุดหน่อย ข้าจะออกไปข้างนอก " " ได้เจ้าค่ะฮูหยิน " เหมือนเจียวซินจะดูแปลกใจและทำหน้างง ๆ แต่ก็เดินมาช่วยข้าเปลี่ยนชุดอยู่ดี ' ไม่ต้อง งงไปยังมีอีกเยอะ ' " ฮูหยินท่านจะสวมชุดไหนเจ้าคะ " " เออ เดี๋ยวข้าเลือกเองดีกว่านะ " ก็ชุดที่นางถือมามีแต่ สีขาว สีชมพู สีครีม ลายดอกโบตั๋น ' โอ๊ย ..ถ้าขืนใส่นะคงมีผีเสื้อบินมาเกาะเต็มตัวแน่เลย ขอผ่านค่ะ ' เจียวซินเห็นข้าค้นตู้อยู่นานก็เริ่มสงสัย " ฮูหยิน ท่านหาอะไรเจ้าค่ะ ชุดที่ข้าเลือกมาคือชุดโปรดของท่านทั้งนั้นเลยนะเจ้าค่ะ ฮูหยิน '' " เจอแล้ว " ข้าพูดพร้อมชูชุดสีดำคาดแดงในมือให้เจียวซินดู " นั้นมันชุดที่คุณชายใหญ่สั่งตัดให้ท่านเมื่อเทศการล่าสัตว์เมื่อปีที่แล้วนี้เจ้าค่ะ " " นี้เป็นชุดที่ข้าอยากใส่มาตลอด แต่เมื่อที่ข้าไม่กล้าใส่เพราะแม้ใส่แล้วก็ไม่อาจเข้าร่วมในการแข่งขันได้นะสิ " " คุณหนู เออ..ฮูหยินเจ้าค่ะ " " ไม่เป็นไร ซินเอ๋อ " " คุณหนู ฮื ฮื " " ไม่เอาไม่ร้องนะคนดี " เจียวซิน ติดตาม ท่านยายของนางมาทำงานที่จวนท่านเจ้ากรมตั้งแต่ยังเด็กเมื่อนางอายุ 8 หนาว ท่านยายของนางก็จากไปอย่างกระทันหัน มีเพียง จ้าวฟางลู่ ที่คอยให้กำลังใจไม่เคยห่างและให้นางมาอยู่ด้วย จ้าวฟางลู่ชอบแอบไปดู พี่ใหญ่กับพี่รอง ฝึกวรยุทธ อยู่บ่อย ๆ เจียวซิน รู้ดีว่าใจคุณหนูของนางนั้งคิดยังไง พวกนางทั้งสองคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่เคยทิ้งกันอยู่รวมกันฉันพี่น้อง ไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่นายบ่าว จ้าวฟางลู่ เดินเข้ามากอดปลอบน้องสาวตัวน้อยแล้วลูบหัวเบา " ต่อไปนี้พี่สาวคนนี้จะปกป้องเจ้าเอง " " มา ๆ ช่วยเปลี่ยนชุดได้แล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา " " เจ้าคะ " เมื่อได้ยินว่าจะพาไปเที่ยว นางก็รับคำทันที เข้ามาช่วยแต่ง ตัวอย่างกระตือรือร้น แล้วเกล้าผมให้ นำปิ่นปักผมมากมายมาปักบนหัวข้า " เป็นอย่างไรเจ้าค่ะฮูหยิน " " หนัก คอข้าจะหักอยู่แล้ว ซินเอ๋อนี่เจ้าจะฆ่า ข้าหรอ " 'ชุดผ่าน แต่ทรงผมและเครื่องประดับยังไม่ผ่าน เยอะเกินนน เหมือนตู้เพชร เคลื่อนที่เลย ' " เปล่า นะเจ้าค่ะฮูหยิน ท่านก็แต่งอย่างนี้ทุกวันอยู่แล้วนะเจ้าค่ะ " " ไม่เป็นไร ๆ ไม่โทษเจ้า เดี๋ยวข้าทำเอง " เจียวซินมองดู คุณหนูของนางที่วุ่นวายอยู่กับการถอดเครื่องประดับออกและเกล้าผมขึ้นอย่างเรียบ ๆ และใช้เครื่องประดับเพียงแค่ สองชิ้น นางมองการกระทำต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม นานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้เห็นคุณหนูของนางสดใสร่าเริงแบบนี้ ทั้งพูดหยอกล้อกับเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เจียวซินชอบที่คุณหนูเป็นแอบนี้มากกว่า ไม่เคร่งครัดกฎระเบียบ เหมือนเมื่อก่อนจ้าวฟางลู่ ยืนหมุนตัวไปมาเพื่อที่หน้ากระจก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ได้เลวาเริ่มปฏิบัติการ " ไปกันเถอะซินเอ๋อ " นางมองมาที่ข้าอย่างกับคนแปลกหน้า ' ตะลึงในความสวยของพี่หรอค่ะน้อง ' ถึงชาติที่แล้วจะปฏิบัติภารกิจบ่อย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าสังคมเธอก็จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม งดงามไม่แพ้ลูกคุณหนูในเมือง หรืออาจจะสวยกว่าพวกนางซะด้วยซ้ำ คนที่ไม่จะรู้จักคงคิดว่าเธอเป็นลูกสาวของนายพลสักคนมากกว่า ที่จะเป็นทหาร ไม่ต้องรอให้ ซินเอ๋อขานตอบ ฟางลู่จึงเดินออกจากห้องมาก่อน ตามองตรงไปข้างหน้าเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย หลังตั้งตรง ก้าวเท้าอย่างมั่นคงสง่างาม ' ต้องไปขออนุญาติคุณสามีก่อนสินะถึงจะไปได้ ' " รอด้วยเจ้าคะฮูหยิน " ดูเหมือนซินเอ๋อจะพึ่งไดสติ วิ่งตามหลังนายสาวอย่างไม่รักษากิริยา ห้องตำรา ท่านแม่ทัพใหญ่ ' ตงเฟยหลง ' กำลังนั่งอ่านรายงานของกองทัพทมิฬ มีเรื่องเกี่ยวกับการซ่องสุมกำลังของ โจรภูเขา เขาคงต้องนำเรื่องนี้เข้าประชุมในราชสำนักโดยด่วน " อาเต๋อ เตรียมรถม้าเข้าวังหลวง " "....." ห้าวชวน เห็น อาเต๋อ ที่มัวแต่เหม่อมอง ฮูหยินน้อยนางสวมชุดสีเข้มต่างจากทุกวัน ผมที่เกล้าขึ้นอ
เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าใกล้ตลาด เสียงพ่อค้าแม่ค้าที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้าน มีเสียงของบุรุษและสตรีวัยใสกำลังคุยหยอกเย้ากัน และมีเสียงของเด็ก ๆ ดังเจี๊ยวจ๊าวผ่านเข้ามาในรถม้า จ้าวหาลู่ เปิดผ้าม่านขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูบรรยากาศข้างทาง มีร้านค้า ขายของเกลือบ ทุกประเภทมากมายตั้งเรียงรายเต็มทั่วทั้งสองฝั่งของถนนสายนี้ บรรยากาศคึกคักสมกับเป็นเมืองที่เจริญแล้ว ลมสายหนึ่งพัดมาแผ่วเบาพัดพาเอากลิ่นอาหารอันหอมหวนน่าลิ้มลองชวนให้น้ำลายสอ นางเผลอสูดอากาศเข้าเต็มปอด และเผลอกลืน น้ำลายลงคอ สายตาสอดส่องถึงต้นตอของกลิ่น ไม่นานก็พบเป็นเหลาอาหารขนาดใหญ่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งบุรุษ และสตรี รวมถึงขุนนางน้อยใหญ่มากมาย ที่พาครอบครัวมาทานอาหาร ข้าง ๆ มีร้านน้ำชาขนาดปานกลางที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าสวย ' คงต้องขอชิมอาหารเลิศรสของที่นี่ซักหน่อยแล้วละ ' การกระทำต่าง ๆ ของนางอยู่ในสายตาของใครอีกคนตลอดเวลา เขากลัวว่าน้ำลายนางจะย้วยลงมาซะก่อนจึงสั่งให้หยุดรถ " หยุดรถ " เป็นท่านแม่ทัพที่สั่งหยุดรถม้า ' นี่ท่านแอบอ่านใจข้างั้นหรอถึง ได้รู้ว่าข้าอยากลงตรงนี้ ' " อะ.
อาหารขึ้นชื่อสามสี่อย่างถูกยกเข้ามาวางบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมเป็นอย่างมากแถมการจัดจานก็สวยงาม ตามด้วยน้ำชาและขนมขึ้นชื่อ ของเหลาอาหาร ' เทียนฝู ' เป็นเหลาอารที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นเหลียงเลยก็ว่าได้ จ้าวฟางลู่ กวาดตามองอาหารตรงหน้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม จึงเรียก เจียวซิน และอาเต๋อ ให้มานั้ง กินด้วยกัน " ซินเอ๋อ อาเต๋อ มานั่งสิ " " เอ่อ " เจียวซิน " แต่ว่า " อาเต๋อ " ถ้าพวกเจ้าไม่กิน ข้าก็จะไม่กิน งั้นก็ไปกันเถอะ " พูดจบนางทำท่าทางเหมือจะลุกขึ้นยืน " นั่งแล้วเจ้าค่ะ/ขอรับ " พวกเขาตอบรับแล้วรีบนั่งลงเกือบจะทันที นางจึงยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ ' ก็ถ้าจะข้ากินคนเดียวข้าคงกินไม่ลงหรอก ' พวกนางนั่งทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเเละพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจคนรอบข้างว่าจะมองพวกนางเช่นไร คนส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมนาง มองภายนอกนางนั้นรูปโฉมงดงามกิริยามารยาท เหมือนฮูหยินน้อยของจวนสกุลใหญ่ซักจวน แต่นางกับเอ่ยปากชักชวนสาวใช้แล้วผู้ติดตามให้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย น้อยคนนักที่งามทั้งกายทั้งใจแบบนี้ เมื่อออกจากเหลาอาหารแล้วพวกนางก็ตรงไปร้านขายผ้า ' ฝ่านอิ่น ' เป็นร้านที่มีผ้าเนื้อดีมากมายราคาก็
ณ วังหลวง ในท้องพระโรง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นดั่งลูกรักของพระเจ้ารูปงามราวเทพบุตร ยามออกสึกสงครามก็ทรงทรงองค์อาจ นาม 'หลี่หมิงหลง ' พระองค์ทรงตัดสินปัญหาต่าง ๆ อย่างมีเหตุมีผล ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่ราษฎร ถึง พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ทรงเป็นที่รักของราษฎร และเป็นที่เคารพ ของขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนัก พวกขุนนางผู้มิภัคดีถูกกำจัดไปทีละคน จนเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งปัญหาใหญ่ในตอนนี้คือพวกขุนนางน้อยใหญ่ต่างอยากให้เขาทรงแต่งตั้งฮองเฮา เสียที ซึ่งเขาเองก็ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายคราแล้ว เมื่อการถกปัญหาต่าง ๆ จบลงขุนนางน้อยใหญ่ก็ทยอยเดินออกไปจากท้องพระโรงจนเกือบหมด " แม่ทัพตง เชิญเจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนเจิ่นก่อนซักหน่อย " ห้องเต้ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ " พะย่ะค่ะผ่าบาท " ตงเฟยหลง ยืนรอขุนนางออกไปหมดก่อนเดินเข้าไปยืนตรงหน้าผ่าบาท " เรื่องโจรภูเขา เป็นอย่างไรบ้าง " " กระหม่อมให้รองแม่ทัพ มู่เฉิน ไปสืบแล้วพะย่ะค่ะ " ฮ่องเต้ทรงได้ฟังคำพูดอันห่างเหินของสหายรัก ก็ทำหน้าขัดใจเล็กน้อย ' นี่เจ้าแม่ทัพหน้าตาย เจ้าจะไม่เหลือ ความเป็นเพื่อนให้ข้าเลยหรืออย่างไรกัน ' " พ
' ในที่สุดข้าก็ออกแบบอาวุธลับสำเร็จแล้ว ' จ้าวฟางลู่ มองแผ่นกระดาษในมือด้วยรอยยิ้ม แล้วพับเก็บในชองจดหมาย หลายวันมานี้นางมัวยุ่งอยู่กับการออกแบบอาวุธลับและจัดการบันชีต่าง ๆ ของจวน " ซินเอ๋อ " " มีอะไรหรือเจ้าคะฮูหยิน " เจียวซินเดินเข้ามาหานายหญิงที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง " เจ้านำจดหมายนี้แอบไปส่งที่ร้านตีเหล็ก ' เมิ่งฉี ' ให้ข้าที ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี" " เจ้าค่ะ " เจียวซิน ทำท่าทางแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รับคำแล้วจากไปทันที " ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ท่านแม่ทัพให้มาเชิญไปชิมชาที่ศาลา สระบัวเจ้าค่ะ " นางพยักหน้ารับ " ได้....เจ้ารอเดี๋ยว " ว่าแล้วนางก็จัดเก็บสมุดบัญชีต่าง ๆ ให้เรียบร้อย " ไปกันเถอะ " พูดจบก็เดินนำสาวใช้ออกไป ศาลาสระบัว บุรุษคนแรกสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะ ใบหน้างดงามยิมแย้มอย่างอารมณ์ดี รูปร่างสูงผิวขาวเนียนในมือถือพัดสีขาวสลักลายนกยูงสีดำโบกไปมาเบา ๆ คือ กุนซือหน้าหยกแห่งกองทัพทมิฬ บุรุษคนที่สองสวมอาภรณ์สีดำ ใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ เหมือนรูปปั้นที่มีลมหายใจ จ้าวฟางลู่เดินเข้ามาใกล้บุคคลทั้งสองแล้วกล่าวทักทาย
" ไหนขอพี่ดูหน่อย " จ้าวฟางลู่ ยื่นมือให้พี่รองของนาง จับดูชีพจร " ชีพจรปกติดี และดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ถ้าท่านพ่อกับพี่ใหญ่รู้ต้องดีใจมากแน่ " " ดังนั้นข้าก็ฝึกวรยุทธได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ " นางถามพี่รองด้วยความดีใจ เค้าพยักหน้ารับน้อย ๆ ท่านแม่ทัพบังเอิญมองเห็นแววตาเป็นประกายซุกซนของนางเข้า ' มิน่าละ หลายวันมานี้เจ้าดูเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหายป่วยแล้วนั่น เอง แต่เป็นแบบนี้ก็ดี แล้ว น่ารักดี ' เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตุดี ๆ ก็จะมองไม่เห็น แต่มีหรือจะรอดพ้นสายตาของกุนซือหน้าหยกไปได้ " ดังนั้นท่านแม่ทัพ รบกวนท่านช่วยสอน วรยุทธนางด้วยแล้วกัน " " ทำไมเจ้าไม่สอนเองละ " เค้าไม่ตอบท่านแม่ทัพแต่หันกลับไปพูดกับน้องสาวแทน " ไม่ใช่พี่ไม่อยากสอนเจ้า แต่พี่ต้องไปช่วยท่านราชครูคัดเลือกบัณฑิตใหม่ต่างหากเล้า " " นายน้อยขอรับ รองแม่ทัพมู่ มาขอพบขอรับ " ห้าวชวน เดินเข้ามารายงาน ทำให้การสนทนาต้องหยุดชะงักลง " พาเขาไปรอที่ห้องตำรา " " ขอรับนายน้อย " ห้าวชวน รับคำแล้วเดินออกไป " มู่เฉิน ก็มาที่นี่บ่อย เขากับเจ้าก็เคยเจอกันแล้วหลายครั้ง ถ้าให้เขาสอนก็คงไม่ใช่เรื่
" เจ้าดูจะสนิทกับ ลู่เอ๋อ มากข้าอยากรู้ว่าปกตินางชอบทำอะไรบ้าง " ท่านแม่ทัพทำทีเป็นถามถึงสิ่งที่นางชอบกับ มู่เฉิน ดูว่าเค้าสนิทกับนางมากน้อยแค่ไหน " ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากนัก ยามไปที่จวนสกุลจ้าวถ้านางไม่ไปเรียนดนตรี ก็จะทำขนมมาให้ พี่เฟยเทียนกับเฟยหลิง กิน ข้าก็พลอยได้ชิมอยู่หลายหน แต่นอกจากนั้นข้าก็ไม่รู้ขอรับ " มูเฉิน อธิบายเสียยืดยาว พร้อมทั้งหยิบขนมเข้าปากไปด้วย ท่าทางสบาย ๆ ' หึ ที่แท้ก็เป็นเจ้ากุนซือบ้านั่น ที่คิดจะปั่นหัวข้า อย่าให้ถึงคราวเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะเอาคือให้สาสมเลยทีเดียว ' ร่างสูงสง่าสวมชุดสีดำ ในมือถือดาบคู่กายก้าวเดินอย่างมั่นคงสง่างามและน่าเกรงขาม ตามหลังด้วยลูกน้องคนสนิท จ้าวฟางลู่ รู้ดีว่า การออกปฏิบัติภารกิจในแต่ละครั้งนั้น จะประสบความสำเร็จได้ จำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหน ดังนั้นนางก็ควรจะไปส่งเขา " ท่านแม่ทัพเจ้าคะ รอก่อนเจ้าค่ะ " เมื่อเสียงหวานเอ่ยขึ้นทำให้ร่างสูงหยุดเดินในทันทีแล้วหันกลับมามองนางอย่างแปลกใจ " เจ้ามีธุระอันใด หรือเปล่าฮูหยิน " " เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากเดินไปส่งท่านก็แค่นั้นเอง " เขาพยักหน้ารับแล้วก้าวเดินออกไปพร้อมกับน
ท่านแม่ทัพมองซ้ายมองขวาเขาตามเงาดำนั่นมาติ ๆ แต่ตอนนี้หายไปแล้ว ' ข้าว่าจะตามมาขอบคุณเสียหน่อยหายไปไหนแล้ว ' อยู่ ๆ ก็เกิดกระแสความเย็นที่คอ ท่านแม่ทัพยืนนึ่งไม่ได้ปัดป้องหรือขยับหนีไปไหน มีดที่จี้คอเขาอยู่ครายแรงกดออกเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้ลดมีดลงเขารับรู้ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ไดคิดจะเอาชีวิตเขาหรอกและถ้าคิดจะฆ่าเขาก็คงทำไปแล้ว เขารับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีวรยุทธสูงแค่ไหนที่สามารถเข้าประชิดตัวเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว " ท่านตามข้ามาทำไม " เสียงที่เอ่ยถามเขานั้นช่างแข็งกร้าวและเยือกเย็น แต่ยังไงก็ยังเป็นเสียงของสตรีอยู่ดี ' คนที่ช่วยข้าเป็นสตรี ' " ข้าแค่อยากมาขอบคุณเจ้า " เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางจึงลดมีดลงแล้วถอยหลังไปสามสี่ก้าว ท่านแม่ทัพหันกลับมาเพื่อที่จะดูหน้าของนางแต่นางกับใช้ผ้าสีดำปิดหน้าไว้มองเห็นแค่คิ้วเรียวสวยและดวงตากลมโตฉายแววเด็จเดี่ยว ช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ที่หลังของนางสะพายกระบอกใส่ลูกธนูในมือของนางก็ถือคันธนูไว้ ร่างบางในชุดสีดำเข้ารูป ดูคล่องแคล่ว เหมือนจอมยุทธหญิง " ไม่เป็น ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณ ข้าก็แค่ผ่านมาก็เท่านั้น " " ยังไงข้าก็ขอบ
ดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษที่นอนกอดนางไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย เขาหลับตาพริ้มขนตางอนยาวราวกับผู้หญิง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ นั่นบ่งบอกได้ว่าคนตัวโตกำลังหลับอยู่ มือเรียวยกขึ้นมาลูบไล้แก้มสากอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวว่าเขาจะตื่น " สามีเจ้าหล่อเหลามาเลยใช้หรือไม่ " " อืม " อยู่ ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนนางเพลอตอบรับไป " หึ หึ ถึงว่าเจ้าถึงได้หลอกกินเต้าหู้พี่กลางดึกเช่นนี้ " นางมองดูคนที่ยังหลับตาพูดด้วยความมั่นใจ ไม่รู้ว่าสามีของนางไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน " คนหลงตัวเอง... ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว" เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา พร้อมซุกหน้าลงกับอกกว้าง เพียงไม่นานภรรยาตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็หลับไป มือหนาโอบกอดนางไว้แนน คงต้องยอมรับว่าเขาตกหลุมรักนางเข้าแล้วจริง ๆ จนอยากจะเก็บนางไว้เพียงคนเดียว ไม่อยากให้นางออกไปพบเจอผู้ใดเลยก็ว่าได้ กลับไปถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ เขาคงต้องไปจัดการเรื่องในค่ายทหารอย่างเร่งด่วน
จ้าวฟางลู่ นางเดินผ่านรถขังนักโทษ มาหยุดอยู่ข้างรถคันที่มีหลิ่วติงลู่นั่งอยู่ข้างใน โดยมีเหวินเยี่ยน และคนของกองปราบเป็นผู้คุมขบวนรถ นางเอียงคอมองคนในกรงขังอย่างสงสัย " เหวินเยี่ยน...ข้าจำได้ว่าข้าใช้มีดปักมือ ตาเฒ่านี่ .. เพียงข้างเดียวไม่ใช้หรือ แล้วมืออีกข้างไปโดนอะไรมา " นางเอ่ยถามสหายอย่างสงสัย เมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของตาเฒ่าหัวงูนั้นเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เขามองหน้านางแวบเดียวแล้วชี้มือไปยังบุรุษร่างสูงที่กำลังเดินมาทางนี้ " สามีเจ้าเป็นคนทำ " " หา ... ท่านแม่ทัพ น่ะนะ " " อืม...." เหวินเยี่ยนพยักหน้า นางมองไปที่คนตัวโต ที่กำลังเดิมตรงเข้ามาหานาง ปกติแล้วเขาเป็นคนที่มีเหตุมีผลที่สุดในการตัดสินปัญหา แล้วทำไมครั้งนี้ถึงได้ใช้อารมณ์ได้ล่ะ " มีอะไรหรือ " ตงเฟยหลงถามอย่างสงสัยที่เห็นท่าท่างประหลาดใจของภรรยาตัวน้อยของเขา " ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ..... เราไปกันเถอะ " นางใช้มือเกาะแขนแข็งแกร่งแล้วอ
จ้าวฟางลู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มองข้างกายเห็นคนตัวโตหลับตาพริ้มดูมีความสุขนักจนน่าหมั่นไส้ แต่ตัวนางกลับระบมไปทั้งตัวเลย ร่างบางขยับตัวเล็กน้อย มือหนาก็รั้งเอวบางเข้าไปกอดไว้แนบอก เมื่อคืนนี้กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปยามโฉ่วแล้ว เขาเคี่ยวกรำนางทั้งคือจนไม่รู้จักเหน็บเหนื่อยนางเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนตั้งมากมาย มือหนาเริ่มลูบไล้ไปมาบนหน้าท้องแบนราบจนนางต้องยกมือขึ้นมาตีมือใหญ่เบา ๆ " โอ๊ยยยย .... พี่เจ็บนะ...เมื่อคืนเจ้าทำให้พี่ช้ำไปทั้งตัวแล้วยังจะมาทำร้ายร่างกายพี่อีก....ช่างใจร้ายยิ่งนัก " ใครกันที่ล่ำลือว่าท่านแม่ทัพนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าพญามัจจุราชแต่สำหรับนางแล้ว เขาไม่ต่างจากลูกแมวตัวโตที่ขี้อ้อนเลยสักนิด " คนที่ช้ำคือข้าต่างหากล่ะเจ้าค่ะ ท่านนี่ช่างหน้าหนาเสียจริง แล้วท่านไม่ต้องไปดูแลความเรียบร้อยของขบวนเดินทางกลับเมืองหลวงหรอกหรือเจ้าคะ " " ไม่เอา.....พี่ยังง่วงอยู่เลย " ไม่พูดเปล่า ยังซ
ตงเฟยหลง กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าภรรยาตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา นางได้เผลอหลับไปแล้ว และบังคับม้าให้วิ่งช้าลง มองใบหน้าหวานจากด้านข้าง ลมหายใจของนางสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ว่านางหลับแล้วจริง ๆ กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสาง มือหนาวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือ แต่มือน้อย ๆ ของนางกลับยกขึ้นมาโอบรอบคอของเขาอย่างรวดเร็ว จนร่างสูงตั้งตัวแทบไม่ทัน ทำให้เขาล้มลงมาทับบนตัวของนางใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยสายหวาน ปนขบขัน " นี่เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ " นางยิ้มและหัวเราะเบา ๆ " ก็...มีคนอุ้มมาส่ง...สบายดีออกเจ้าค่ะ " ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ " แล้วใครบอกเจ้าล่ะ ว่าพี่จะแค่อุ้มมาส่ง " เสียงแหบกระซิบข้างหู ลมหายใจร้อน ทำให้ร่างบางหน้าแดงและรู้สึกร้อนรุ่มไปหมดทั้งตัว " ท่าน...พี่ ท่านไม่ต้องไปจัดการเรื่องของนายอำเภอหลิ่ว ก
ตงเฟยหลง จ้องมองไปยังร่างบางที่ นั่งทำหน้าตาเบื่อหน่าย อยู่ถ้ามกลางวงล้อมของศัตรู เขาเห็นชายผู้หนึ่งมีท่าทีคุกคาม และจะยืนมือไปสัมผัสนาง มือหนากำคันศรไว้แน่น ง้างธนูยิงไปที่คนผู้นั้นทันทีโดยไม่มีความลังเลซักนิด ลูกธนูปักเข้าที่มือของลูกสมุนคนนั้นพอดี ' อย่าได้บังอาจคิดที่จะแตะต้องผู้หญิงของข้า ' เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ทำให้ลูกสมุนทุกคนแตกตื่นวิ่งมารวมตัวกัน ส่วนคนของสำนักม่านเมฆาเองก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ทุกคนหันมามองตามทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา ก็เห็นเหล่าทหารจำนวนมากปรากฏอยู่ตรงหน้า พวกมันมีท่าทีที่ตกใจมาก แต่เขามิได้สนใจคนพวกนี้เลยที่สนใจมีเพียงนางเท่านั้น ดวงตากลมโตมองมาที่เขาแล้วยิ้มหวานให้ สายตาคมมองสำรวจนางจนแน่ใจว่าร่างบางมิได้บาดเจ็บที่ใดก็รู้สึกเบาใจ ตลอดทางที่มาเขาเป็นห่วงนางแทบแย่ ตงเฟยหลง หยุดม้าและกระโดดลงเดินเข้าไปใกล้ พวกของหลิ่วหยางอี้ โดยมีเหล่าทหารตามหลังมา " มาเร็วดีนี่..แม่ทัพตง " หลิ่วหยางอี้เอ่ย
จ้าวฟางลู่ นั่งทำหน้าเซ็ง ๆ อยู่บนเตียงไม้เก่า ๆ คนชุดดำแซ่เฉิน เมื่อกี้เขาพกดาบจันท์เซี้ยวมาด้วยแสดงว่าเขาเป็นคนของสำนักม่านเมฆาอย่างแน่นอน และดูท่าทางเขาจะเก่งพอตัวเลย แต่นางเคยได้ยินท่านแม่ทัพบอกว่าคนของสำนักม่านเมฆาจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ส่วนคุณชายหลิ่วนั้น ก็คงจะเป็นลูกชายของนายอำเภออย่างไม่ต้องสงสัย นางถอนหายใจเบา ๆ ' ข้าคิดจะวางมืออยู่แล้วเชียว จับข้ามาทำไมตอนนี้เนี่ย เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์กันกับท่านแม่ทัพเลย มาสร้างเรื่องใหม่ให้ข้าอีกแล้ว ' ตงเฟยหลง ขบกรามแน่น กำกระดาษในมือไว้แน่นและขย้ำจนมันกรายเป็นผุยผง พวกมันส่งจดหมายมาให้เขานำตัวนายอำเภอหลิ่ว ไปแรกกับตัวฮูหยินน้อย ที่จวนร้างนอกเมืองก่อนรุ่งสาง ' พวกเจ้าคิดจะใช้นางมาต่อรองกับข้างั้นหรือ แค่นายอำเภอคนเดียวมีค่าเสียที่ไหนกัน ' " ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทหารทุกหน่วยมารวมตัวกันกันที่หน้าประตูเมือง และส่วนเจ้า อาเต๋อ ไปที่กรองปราบนำตัวนายอำเภอมา " " ขอรับท่านแม่ทัพ " ทุกคนรับคำส
ท่านแม่ทัพสั่งการให้ทหารแต่ละหน่วยกระจายกำลังกันออกค้นหาตัวลูกชายของนายอำเภอหลิ่ว หลิ่วหยางอี้กับลูกสมุนให้เจอโดยเร็ว แม่ทัพตงเฟยหลง สังหรณ์ใจแปลก ๆ จึงได้ย้อนกลับไปที่จวนรับรอง เห็นอาเต๋อ กำลังจับลูกสมุนของหยางอี้ อยู่ " ฮูหยินน้อยล่ะ " เขาถามอาเต๋อ ด้วยความกังวลใจ ที่ไม่เห็นนางออกมาข้างนอก เกิดเรื่องขึ้นขนาดนี้นางไม่มีทางทนดูอยู่เฉย ๆ ได้แน่ " ฮูหยินน้อยนางเข้านอนแล้วขอรับ หรือว่า " อาเต๋อ หันไปมองลูกสมุนทั้งสามของหลิ่วหยางอี้ " พวกเจ้าล่อข้าออกมา " " ฮา ฮา ฮา พวกหน้าโง่ กว่าจะนึกได้ก็สายไปแล้วล่ะ " ลูกสมุนคนหนึ่งพูดขึ้น " นายน้อยข้าว่า... .......อ้าวหายไปไหนแล้วเนี่ย..ไม่รอกันบ้างเลย ..พวกเจ้านำตัวพวกมันไปขังไว้ เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปได้ " อาเต๋อสั่งทหารยาม และรีบวิ่งตามเจ้านายของตนไปโดยเร็ว ตงเฟยหลง วิ่งมายังห้องนอนด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ นางจะเป็นอะไรหรือเปล่า ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย มือหนาเอื้อมไปเปิดประตูห้องอย
ท่านแม่ทัพสั่งให้ทหารล้อมรอบจวนของนายอำเภอไว้ ห้ามผู้ใดเข้าออกเป็นอันขาด " ท่านนายอำเภอ หาข้าอยู่หรือ " เขาถามเสียงเหี้ยม จนนายอำเภอหน้าซีด " ท่านแม่ทัพ...เป็นไปไม่ได้ .." " ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ข้าก็แค่ช่วยให้คนรักกัน...ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ก็เท่านั้นเอง ..... แต่ท่านนายอำเภอคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีกต่อไป " เขากล่าวเสียงเรียบ แล้วส่งยิ้มให้คุณหนูหลิ่วและคนรักที่อยู่ภายในห้อง " ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร ข้าน้อยมิเข้าใจ " นายอำเภอรู้ว่าแม่ทัพตงสงสัยตนเองแต่คงจะยังไม่มีหลักฐานเป็นแน่ " ข้าเองก็ขี้เกียดอธิบาย เชิญนายอำเภอหลิ่ว ถามหัวหน้าเหวินเองเถอะ " เขาเอ่ยพรางพยักหน้าให้ เหวินเยี่ยน จัดการต่อ " นี่คือคำสารภาพของ หลิ่วติงลู่ น้องชายของท่านนายอำเภอเขาได้ยอมรับสารภาพหมดแล้วว่า การปล้นเสบียง ที่ทางวังหลวงส่งมาครั้งแรกเป็นท่านที่สั่งการ และการรอบสังหารที่ภูเขาหมาป่าก็เป็นท่านนายอำเภอที่สั่งการเช่นกัน และก็ยังมีสัญญาการซื้อขายและสมุดบัญชีที่พวกท่าน
นายอำเภอหลิ่ว ได้เชิญท่านแม่ทัพมารับประทานอาหารที่จวนเพื่อเป็นการขอบคุณ ซึ่งเขาก็ตอบรับคำเชิญเป็นอย่างดี " ท่านแม่ทัพข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จักบุตรีของข้า หลิ่วอี้ฮัว " " อี้ฮัวคาราวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ " เสียงหวานเอ่ยขึ้น นางมีใบหน้างดงามส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ในแววตาหม่นหมอง เขาพยักหน้ารับและยิ้มให้นาง นายอำเภอหลิ่วสบตากับฮูหยินของตนของตนและยิ้มมุมปากที่ท่านแม่ทัพดูจะสนใจบุตรสาวของตน " และนี่บุตรชายคนรองของข้า หลิ่วหยางอี้ ตอนนี้เขาพึ่งได้รับตำแหน่งเล็ก ๆ ในกองปราบ " " คาราวะท่านแม่ทัพขอรับ " ตงเฟยหลงพยักหน้ารับเบา ๆ และหันไปสนทนากับนายอำเภอหลิ่วอย่างเป็นกันเอง พอทานอาหารเสร็จนายอำเภอหลิ่วชักให้เขาอยู่ร่ำสุราด้วยกันก่อน แล้วเริ่มมอมเหล้าท่านแม่ทัพจนเขาแทบจะทรงตัวไม่ไหว " วันนี้ข้าคงดื่มต่อไม่ไหวแล้ว คงต้องของตัว ....ห้าวชวน " ตงเฟยหลงเอ่ยลาแล้วเรียกห้าวชวนเข้าไปประคอง " หากท่านแม่ทัพกลับไม่ไหวก็พักที่เรือนรับรองก่อนก็ได้ " " ท่าน