บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องยามนี้ขุ่นมัวและอึมครึมยิ่งกว่ายามฝนตั้งเค้าเสียอีก เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ บ้างก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่น
ใบหน้าของหลี่อ๋องบัดนี้เขียวคล้ำด้วยโทสะ แววตาคมกริบฉายชัดถึงความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ครึ่งคำ แล้วไหนจะพระชายาผู้นั้น…สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ตอนนี้กลับแข็งกร้าวฉายแววดื้อรั้นไม่ยอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย! ทั้งที่รอคอยจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ…? ทว่าเพียงคืนเข้าหอคืนเดียวเท่านั้น ไฉนเลยความสัมพันธ์กลับแปรเปลี่ยนราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น…พวกนางอยากรู้เสียจริง! แม้ว่าพวกนางจะพยายามถอยหลีกห่างแล้ว ทว่าในความเงียบสงัดกลับได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง หลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอดคล้ายข่มโทสะ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วออกแรงกระตุกดึง กึ่งลากนางให้เดินตามไปทันที “ปล่อยข้า!” ไป๋ซูเหยาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ นางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ถูกบังคับให้ก้าวตามเขาไปตามแรงดึง หากฝืนก็เกรงว่าจะล้มลงกับพื้นและหากเป็นเช่นนั้น…บุรุษผู้นี้ย่อมไม่ใส่ใจอันใดอยู่แล้ว “ท่านมันเอาแต่ใจหลี่เจิ้งเฉิน!” นางหันขวับ ตวาดออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว “คิดว่ามีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ” ดวงตาคู่งามฉายแววโกรธเคืองชัดเจน นางหาได้สนใจฐานะอันสูงส่งของเขาอีกต่อไป ยามนี้…ไป๋ซูเหยาโมโหไม่น้อยจนลืมความเกรงกลัวทั้งสิ้น เหล่าสาวใช้ที่เฝ้ามองอยู่ล้วนตกตะลึง บ้างถึงกับยกมือทาบอกอย่างตกใจ แม้จะห่วงใยพระชายา ทว่าก็กลัวเกินกว่าจะก้าวข้ามเส้นของผู้เป็นนาย พอได้ยินถ้อยคำนั้น หลี่เจิ้งเฉินยิ่งออกแรงกำข้อมือเรียวของนางแน่นจนรอยนิ้วปรากฏเป็นรอยสีแดงช้ำ สายตาคมกริบตวัดมองอย่างเย็นชา “หึ! ข้าเคยเตือนไว้แล้วมิใช่หรือ…ว่าอย่าได้อวดดีกับข้า” ยามนี้เขาโกรธมากจริงๆ โกรธจนแยกไม่ออกว่ากำลังเดือดดาลเรื่องใดอยู่กันแน่…เพราะสตรีผู้นี้กล้าวางอำนาจทำราวกับเป็นภรรยาที่แท้จริงของเขาหรือโกรธที่นางกล้าอวดดีเช่นนี้ “หึ! อวดดีหรือ…ข้ากล่าวอันใดผิดกันหลี่อ๋อง!” อารมณ์ของบุรุษผู้นี้แปรปรวนยิ่งกว่าฤดูกาลเสียอีก! บางคราเย็นชาเฉียบขาดราวหิมะกลางเหมันต์หรือบางครากลับพลุ่งพล่านเกรี้ยวกราดดั่งพายุโหมกระหน่ำ ไป๋ซูเหยารู้สึกเหนื่อยหน่ายจนลึกเข้าถึงกระดูก นับจากนี้ ไม่รู้ว่านางจะอดทนเผชิญหน้ากับหลี่เจิ้งเฉินเช่นไรได้อีกนานเพียงใด หากยามเมื่อใดที่ไป๋เหยียนหลันกลับมา…นางก็พร้อมจะถอยออกจากชีวิตของบุรุษผู้นี้ทันทีไม่คิดจะเรียกร้องสิ่งใดและหลุดพ้นจากความปั่นป่วนทั้งปวงนี้เสียที! ณ ห้องบรรพชล เสียงฝีเท้าหนักของหลี่เจิ้งเฉินและเสียงร้องโวยวายขัดขืนของไป๋ซูเหยาดังสะท้อนก้องไปทั่วทางเดินของจวน ราวกับเป็นการประกาศให้ทั่วทั้งจวนได้รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่กำลังปะทุอย่างรุนแรงแต่มีหรือผู้ใดจะกล้าเข้าไปห้ามปรามแม้จะเห็นใจมากเพียงใด หลี่เจิ้งเฉินยังคงเหนี่ยวรั้งข้อมือเรียวของนางเอาไว้แน่น แรงฉุดกระชากเต็มไปด้วยโทสะ ไร้ซึ่งความปรานีหรือเห็นใจเลยแม้แต่น้อย…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะส่งเสียงร้องค้านหรือฝืนต้านไม่ยอมของนางล้วนไร้ประโยชน์! “ปล่อยข้านะ! ท่านจะพาข้าไปไหนหลี่เจิ้งเฉิน!” ไป๋ซูเหยาตะโกนใส่แผ่นหลังกว้าง ทว่าคำพูดของนางกลับถูกละเลยราวกับสายลม นางพยายามฝืนแรงขัดขืน พยายามสะบัดข้อมือออกจากพันธนาการแข็งแกร่งแต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ หลี่เจิ้งเฉินไม่แม้แต่จะหันมามอง เขาเพียงกระชากนางให้เดินตามพลางเอ่ยเสียงเยือกเย็น “อยากวางอำนาจนักใช่หรือไม่…ข้าจะให้เจ้าได้อยู่เงียบๆ อย่างสมใจแน่!” เอี๊ยดด…! เพียงชั่วพริบตา ประตูเรือนหลังหนึ่งถูกหลี่เจิ้งเฉินกระชากเปิดออกอย่างรุนแรง ก่อนที่จู่ๆ ร่างของไป๋ซูเหยาจะถูกผลักเข้าไปภายในห้องบรรพชลที่ตั้งอยู่ลึกสุดของจวนอย่างรวดเร็ว ประตูไม้หนาหนักถูกกระแทกปิดตามหลังจน ปัง! สะท้อนก้องไปทั่ว พร้อมกับเสียงโซ่เหล็กที่ถูกคล้องกลอนอย่างแน่นหนา !!! ไป๋ซูเหยาสะดุ้งเฮือก…นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งพลันหันขวับไปมองด้วยความตื่นตระหนก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังของหลี่เจิ้งเฉินที่หายลับไปหลังบานประตูเท่านั้น นางถูกขังอย่างไร้เหตุผล…หรือบางทีอาจเป็นเพราะความเอาแต่ใจของบุรุษผู้นั้นที่ต้องการกลั่นแกล้งนาง!? ภายในเรือนมีแสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ อย่างเลือนราง พอให้เศษเพียงฝุ่นผงลอยวนอยู่ในอากาศ…ทั้งเงียบสงัดและอึดอัดไม่น้อย ไป๋ซูเหยากวาดสายตามองรอบๆ ราวกับกำลังหาทางหนีทว่ากับแม้กระทั่งไร้บานประตูเล็กหรือช่องทางใดๆ ก่อนที่สายตาของนางสะดุดเข้ากับโต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายห้อง บนโต๊ะนั้น วางเรียงป้ายวิญญาณไม้ซึ่งแกะสลักอักษรชื่อผู้ล่วงลับไว้อย่างบรรจงเรียงรายแน่นจนเต็มโต๊ะ หากให้เดาที่นี่คงไม่พ้นห้องบรรพชลกระมัง…!? นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นคลอวูบไหวครู่หนึ่ง ไป๋ซูเหยาพลางเม้มริมฝีปากแน่น มือทั้งสองข้างกำแน่น ภายในใจปวดหนึบแทบสะอื้นไห้ออกมาทว่ากลับไม่มีน้ำตาสักหยด เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งนางเช่นนี้… นับตั้งแต่มารดาจากไป…ไหนเลยไป๋ซูเหยาจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายเยี่ยงบุตรสาวบ้านอื่น หากเทียบกับไป๋เหยียนหลันนั้น…นางก็ไม่เคยมีโอกาสยืนอยู่ในที่เดียวกันเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ยังต้องอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงในร้านขายน้ำเต้าหู้นั้น นางดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนั้นแต่ครั้นได้ออกมาจริงๆ…นางกลับรู้สึกอยากหนีหายไปจากใต้หล้านี้ ไป๋ซูเหยาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายต้องการตั้งสติเพื่อกลั้นอารมณ์มากมายที่ตีรวนอยู่ภายในอก “เรื่องนี้ข้าผิดหรือ” นางตะโกนลั่น ดวงคู่งามตาแดงก่ำ “…” “นางหายตัวไปแล้ว เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า!” ไป๋ซูเหยากัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างกำแน่น นางมองไปยังบานประตูเรือนด้วยความโกรธแค้น “คิดว่าข้าอยากจะกลายเป็นเงาของนางหรืออย่างไร!” “…” น้ำเสียงหวานตวาดแว่วสะท้อนออกไปถึงภายนอกห้องด้วยความเหลืออด “ข้าผิดอันใดกันหลี่เจิ้งเฉิน!” แม้จะรู้สึกเห็นใจพระชายาเพียงใด...ทว่าพวกนางกลับเป็นเพียงแค่สาวใช้ในจวนเท่านั้นจะมีสิทธิ์อันใดกล้าเอื้อนเอ่ยออกไปจึงได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของหลี่อ๋องเดินสะบัดชายแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธเคืองและไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ ณ ร้านน้ำเต้าหู้สกุลไป๋ บุตรสาวหายตัวไปทั้งคนจะไม่ให้นายท่านไป๋และไป๋ฮูหยิน กลัดกลุ้มใจได้อย่างไร…โดยเฉพาะเป็นบุตรสาวที่โปรดปราน ยิ่งทำให้นายท่านไป๋อารมณ์โกธรเคืองไปหมดทุกอย่าง จนต้องสั่งปิดร้านไม่เปิดอยู่ร้านวัน ทั้งที่วาสนาอยู่ตรงหน้า อยู่แค่เอื้อมแท้ๆ แต่กลับหลุดลอยไปอย่างไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้ เขาเกือบได้ยกฐานะของขึ้นสูงมีลูกเขยเป็นถึงหลี่อ๋อง! วันข้างหน้ามีหวังได้อุ้มหลานเป็นทายาทหลี่อ๋องผู้สูงส่ง! เรื่องเหล่านี้ย่อมสามารถเอาพูดโอ้อวดและไปเชิดหน้าชูตา คบค้าสมาคมกับจวนขุนนางทั้งหลายได้แน่!...ทว่าพอคิดแล้วเลือดก็พุ่งขึ้นหน้าทันที เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างแรง เงยหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง ไป๋ฮูหยินเห็นสามีโกรธเกรี้ยวเช่นนั้น นางก็รีบเดินเข้ามาปลอบใจ “ท่านพี่...ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ยังพอแก้ไขได้แน่” นางแสร้งพูดอย่างอ่อนโยน “หลี่อ๋องอยากได้บุตรสาวสกุลไป๋มิใช่หรือ…ตอนนี้ก็เสมือนกับแต่งไปแล้ว ยังจะกล้ามาเอาเรื่องอะไรอีก” ทันใดที่คำพูดนั้นหลุดจากภรรยา นายท่านไป๋หันขวับไปมองตาขวาง หัวคิ้วหนาเหยียดขมวดแน่นร่วมกับฟังแล้วขัดใจ น้ำเสียงเข้มกล้า “เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไรฮูหยิน! วาสนานี้มันควรเป็นของเหยียนหลันมิใช่นังลูกผู้นั้น!” เขากำมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวังและโกรธจัด “แล้วเหตุใดนางถึงได้ไม่รักดี! กล้าโยนโอกาสเช่นนั้นทิ้งราวกับไร้ค่า!” ไป๋ฮูหยินชะงักไป ใบหน้าเจื่อนลงแต่ยังพยายามเสแสร้งหัวเราะฝืนใจ “หากท่านพี่มัวแต่เสียใจเช่นนี้...มิสู้รีบตามหาเหยียนหลันกลับมาดีกว่ารึ ข้าว่าหากปล่อยปลาย่างไว้กับแมวนานๆ เข้า ไป๋ซูเหยาคงกลายเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกันกับมารดาของนางแน่!” นายท่านไป๋ตวัดสายตามองภรรยาด้วยความระอา “เหอะ! เจ้าพูดเช่นนี้...นางก็เป็นลูกของเจ้าเช่นกันมิใช่รึ” ไป๋ฮูหยินหัวเราะเบาๆ พลางเบือนหนีสายตาไม่สบกับผู้เป็นสามี ลูกเลี้ยงผู้นั้นหรือ...? หากจะกำจัดออกไปจากสายตาของนางเสียได้ ก็ย่อมเป็นการดีนัก! นางระบายยิ้มจางๆ หากแต่ในดวงตากลับแฝงแววเย็นชา “แน่นอนเจ้าค่ะ…ลูกของข้าเช่นกัน” ถ้อยคำพูดนั้นเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน ทว่าเคลือบไปด้วยหนามพิษ “ทว่าหลี่อ๋องสมควรเป็นสามีของเหยียนหลันมิใช่หรือเจ้าค่ะ…ไฉนท่านพี่ถึงกล่าวออกมาราวกับยินดีกับไป๋ซูเหยากัน” ไป๋ฮูหยินหันกลับมามองสามี เลิกคิ้วถาม มิใช่ว่ายามนี้…หลี่อ๋องคงกำลังโกรธเคืองและเดือดดาลถึงขั้นบันดาลโทสะแล้วสั่งลงโทษไป๋ซูเหยาไปเสียแล้วกระมัง? หากเป็นเช่นนั้น...ก็นับว่าดีต่อนางยิ่งนัก นางมิได้คาดหวังให้เด็กนั่นได้ดี! หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เมื่อนั้นค่อยตามตัวไป๋เหยียนหลันกลับมาก็ยังมิสาย ในเมื่อไป๋ซูเหยามิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของนาง แล้วเหตุใดเล่าจะต้องอาลัยอาวรณ์…นางอยากรีบกำจัดไปให้พ้นๆ หน้า! สตรีผู้นั้นเพียงเป็นตัวแทน เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น! นายท่านไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไฉนเขาดูไม่ออกหรือรู้ทันภรรยา น้ำเสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบากับตนเอง “ไฉนข้าจะไม่รู้ว่าเหยียนหลันแอบมีใจให้เด็กหนุ่มขายถั่วเหลืองนั่น…มันแวะเวียนมาส่งของอยู่ร่ำไปจนข้าจำหน้าได้เสียแล้ว!” ไป๋ฮูหยินได้ยินแล้วชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่เจื่อนลงทันที “ท่า…ท่านพี่!” “หึ! รีบตามไป๋เหยียนหลันกลับมาโดยเร็ว…ก่อนที่ข้าจะไปตามนางกลับมาด้วยตนเอง!” น้ำเสียงของนานท่านไป๋ดังลั่นไปทั่วทั้งร้านด้วยความโมโหโกรธ คิดว่าเขาโง่งมหรือ…ไฉนถึงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมบอก!ลมพัดเฉี่ยวผ่านหน้าต่างเรือนเล็กเก่าโทรม เสียงกระเบื้องหลังคากระทบกันแผ่วเบา ราวกับจะสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกินกระดูกจนลึกถึงหัวใจ ภายในห้องนั้น เงียบสงัด…ไป๋เหยียนหลันนั่งพิงหัวเตียงเก่า มือทั้งสองลูบหน้าท้องที่ป่องที่ใกล้คลอดเต็มที แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเต็มทีทว่านางกลับต้องลุกขึ้นจัดของใช้และคอยปรนนิบัติจางสือ แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องสะท้อนเงาบนใบหน้าคนงามที่ซีดเผือด ผมยาวสยายกลางหลังดูยุ่งเหยิงไร้การบำรุงหรือดูแลใส่ใจ ทั้งยังสวมใส่อาภรณ์ใหญ่สีซีด มีรอยปะชุนให้เห็นเด่นชัด ดวงตาที่เคยเปล่งประกายอวดดี บัดนี้หม่นหมองราวเถ้าถ่านไฟที่มอดดับ ว่ากันตามตรงแล้ว นับตั้งแต่นางตั้งครรภ์อ่อนๆ จนกระทั่งใกล้คลอด ไป๋เหยียนหลันก็ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่ นอนหลับไม่เต็มอิ่มลุกขึ้นทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีทุกเช้า นางต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดและเข้านอนหลังเขาเสมอ แม้เขาจะสนใจและเหลียวแลนางอยู่บ้างแต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากจวนไป นางก็ไม่ต่างอันใดจากอยู่ผู้เดียวเพียงลำพัง แม้ในจวนสกุลจางจะมีทั้งจางฮูหยิน น้องสาวและน้องชายของเขาอยู่พร้อมหน้า แต่นับจากวันที่นางมีปากเสียงปะทะคารมกับจางฮูหยินครั้งนั้นก
ค่ำคืนนี้เงียบงัน ท้องฟ้ามืดมิดสนิทไร้แสงจันทราสาดส่อง ทั่วทั้งจวนต่างดับตะเกียงมืดสนิท เหล่าสาวใช้พากันปิดเรือนนอนหลับพักผ่อนทว่าภายในเรือนหลังหนึ่งกลับยังคงสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง บรรยากาศภายในเรือนเงียบสงัดมีเพียงเสียงพู่กันขูดลงบนกระดาษสาก ไป๋ซูเหยานั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง…หลี่เจิ้งเฉินนั่งอีกฝั่ง ดวงตาคมกริบจับจ้องปลายพู่กันของนางนิ่งๆ หาเอ่ยขัดแม้สักคำ ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีที่เคยพูดว่าอ่านเขียนหนังสือไม่ค่อยคล่อง แต่ไฉนยามนี้ลายมือที่ตวัดลงกระดาษกลับงดงามเรียบร้อยยิ่งกว่าอักษรของขุนนางบางคนในราชสำนักเสียอีก หลี่เจิ้งเฉินนั่งเหยียดหลังตรง ท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับว่ากำลังรอคำพิพากษา “นี่จะเป็นสัญญาระหว่างเรา” ไป๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ากลับเย็นเยียบเสียจนแม้แต่คนฟังก็ยังรู้สึกขนลุกซู่ ปลายพู่กันยังคงตวัดตัวอักษรอย่างมั่นคง ก่อนที่ครู่ต่อมา…นางจะเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับบุรุษตรงหน้าพอดี ใบหน้าของหลี่เจิ้งเฉินปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ทว่าทันใดนั้น…หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หลี่เจิ้งเฉินรู้สึกประหม่าไม่น้อย “หนึ่ง! อำนาจในจวนหลี่ทั้งหมดจะอยู่ในมือของข้า ไม่ว่าข้า
ไป๋เหยียนหลันย่อมรู้สึกเสียหน้าและเสียเกียรติอย่างรุนแรง ราวกับว่ายามนี้ นางกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกหลี่เจิ้งเฉินทอดทิ้งอย่างน่าอดสูและเวทนา!นางไม่มีวันยอม!หากจะจบ…เช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายทิ้งเขาเอง!“กรี๊ดดด! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านกล้าดียังไง!”ใบหน้าคนงามทั้งแดงก่ำทั้งซีดเขียวเพราะโทสะ มือข้างทั้งสองกำแน่นจนสั่น นัยน์ตาคู่งามลุกวาวด้วยเพลิงโทสะราวกับเปลวไฟที่โหมลุกโชนขึ้นท่ามกลางเหมันต์ฤดูแม้แต่ไป๋ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างกันยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบยกมือทาบอก สูดลมหายใจอย่างร้อนรนแล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือ “เหยียนหลัน…พอเถิด! อย่าให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลย!”ไป๋เหยียนหลันหรือจะยอมง่ายๆนางหันขวับไปมองมารดาด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว หาได้เอ่ยอันใดออกมา ก่อนจะปรายกลับไปมองหลี่เจิ้งเฉินอีกครั้ง “กรี๊ดดด! ข้าไม่ยอม! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านไม่มีสิทธิ์เดินหนีข้าเช่นนี้!”น้ำเสียงแหลมคล้ายจะบาดแก้วหูดังลั่น ทำเอาเหล่าสาวใช้รอบบริเวณสะดุ้งเฮือก ต่างพากันยกมือทาบอกด้วยความตกตะลึงบางคนยังอดกระซิบไม่ได้ว่า…แท้จริงแล้วหากวันนั้นไม่มีเรื่องราวผิดพลาด คุณหนูไป๋ผู้นี้ก็คงได้ขึ้นเกี้ยวแต่งเข้ามาเป็นพระ
หากไม่อยากถูกนางทอดทิ้งจริงๆ เกรงว่าหลี่เจิ้งเฉินก็คงต้องรีบสะสางเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียทีหลี่เจิ้งเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ความรู้สึกคล้ายหนามแหลมทิ่มกลางอกทำเอาเขารู้สึกสะดุ้ง สายตาคมกริบมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ เขากระแอมไอเล็กน้อยคล้ายจะกลบเกลื่อน ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ“วางใจเถอะ…”ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ…ไป๋ซูเหยาก็สวนกลับทันควัน น้ำเสียงหวานแฝงความดื้อดึง เอาแต่ใจและไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้ นางเชิดหน้าขึ้น สายตาตวัดมองเขาอย่างไม่ยอมลดละ“วางใจหรือ…หากท่านจัดการกับไป๋เหยียนหลันได้เมื่อไหร่ และทำสัญญากับข้าได้เมื่อใด ข้าถึงจะวางใจได้!”ทำสัญญา…?หมายความว่าอย่างไรกันหลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วมุ่นทันที คำถามผุดขึ้นในหัว เขาเลิกคิ้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้ม “สัญญาอะไรหรือ”ไป๋ซูเหยาสะบัดหน้าหันหนีทันที แววตาเรียบเฉยหากลึกลงด้วยความตัดพ้อนางเอ่ยเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่คิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นถกเถียง “ก่อนอื่น…ท่านควรไปจัดการไป๋เหยียนหลันของท่านให้เรียบร้อยเสียก่อนจะดีกว่าก่อนที่ข้าจะเก็บของเสร็จสิ้น…ถึงตอนนั้น ข้าถึงจะยอมพูดถึงสัญญาที่ท่านอยากได้ยิน!”ยามเฉิน (07.00 – 09
โจวตงหยางหน้ามองอยู่ข้างนอกประตูมุมปากหนาโค้งยกยิ้มเยาะอย่างดูแคลน เขาหัวเราะเย็นชาพลางเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า“หลี่อ๋องจะหย่าภรรยาแล้วรึ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามทว่าเพียงชั่วอึดใจ โจวตงหยางกลับชะงัก หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้อยคำเมื่อครู่ผิดแปลกไป เขาเลิกคิ้วถามย้อนเสียงเรียบ พลางหลุบสายตาต่ำมองเศษหนังสือหย่าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น“หรือหากจะพูดให้ถูก…คงต้องกล่าวว่าถูกภรรยาหย่าขาดเสียมากกว่าใช่หรือไม่”เดิมทีหลี่เจิ้งเฉินก็หาได้อารมณ์ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดแทงใจเข้าไป ใบหน้ายิ่งเคร่งขรึมลงไปอีกสิบส่วน เขาเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นยะเยือก “หึ! หากข้าหย่าภรรยาแล้วเล่า คุณชายโจวจะอาสาแต่งเข้าจวนหลี่อ๋องเองกระนั้นหรือ”น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและประชดประชันโจวตงหยางหัวเราะแค่นในลำคอทันที “เหอะ! เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงข้าผู้เดียวหรอกกระมัง…ที่อยากเป็นภรรยาหลี่อ๋อง”พอได้ยินถ้อยคำนั้น หลี่เจิ้งเฉินเข้าใจความหมายได้ทันทีเขาถอนหายใจยาวราวจะระบายความอัดอั้นในอก ทว่าก้อนหินนับพันยังทับหัวใจจนหนักหน่วง“นาง…เป็นภรรยาของข้า”โจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้น สายตากรุ้มกริ่มหากแฝงเย
ผู้ใดจะรับรู้ความเจ็บปวดได้ลึกซึ้ง หากมิใช่ผู้ที่กำลังเผชิญ หน้ากับรัก…แม้มีวาสนาได้พบพานทว่ากลับไร้วาสนาได้อยู่เคียงข้างไป๋เหยียนหลันหัวเราะเย็นชาในลำคอ ราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน นางโน้มตัวลงช้าๆ ก้มใบหน้าเพ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉิน ปลายนิ้วเรียวเชยคางเขาขึ้นอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่ว หากแต่แฝงด้วยความเยียบเย็นจนฟังแล้วต้องขนลุกซู่ “หากกล่าวว่าข้าเป็นภรรยาของท่าน…แล้วสตรีผู้นั้นเล่า ทั้งที่ท่านรักใคร่นางอย่างลึกซึ้ง ถักทอสานต่อด้ายแดงมาด้วยกันเนิ่นนาน ทว่ายามนี้กลับขาดสะบั้นเพราะข้างั้นหรือ”มุมปากของนางเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยันและดูแคลนก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ไฉนจิตใจของบุรุษถึงได้ผันเปลี่ยนง่ายดายนัก”ทว่าหลี่เจิ้งเฉินหรือจะสนใจฟัง ยามนี้ใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น หัวใจแกร่งพลันเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่อยู่กลิ่นหอมอ่อนจางๆ ของสตรีตรงหน้าโชยมาชวนให้นึกถึงค่ำคืนนั้น...ภาพเรือนอรชรงดงามภายใต้แสงสลัวแวบเข้ามาในหัวเขาอย่างไม่รู้ตัวหลี่เจิ้งเฉินจ้องมองอย่างหลงใหล…ราวกับตกอยู่ในภวังค์“เหอะ!” ไป๋ซูเหยาแค่นเสียง หดมือกลับ ก่อนจะถอยออกห่างอย่