บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องยามนี้ขุ่นมัวและอึมครึมยิ่งกว่ายามฝนตั้งเค้าเสียอีก เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ บ้างก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่น
ใบหน้าของหลี่อ๋องบัดนี้เขียวคล้ำด้วยโทสะ แววตาคมกริบฉายชัดถึงความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ครึ่งคำ แล้วไหนจะพระชายาผู้นั้น…สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ตอนนี้กลับแข็งกร้าวฉายแววดื้อรั้นไม่ยอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย! ทั้งที่รอคอยจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ…? ทว่าเพียงคืนเข้าหอคืนเดียวเท่านั้น ไฉนเลยความสัมพันธ์กลับแปรเปลี่ยนราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น…พวกนางอยากรู้เสียจริง! แม้ว่าพวกนางจะพยายามถอยหลีกห่างแล้ว ทว่าในความเงียบสงัดกลับได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเอง หลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอดคล้ายข่มโทสะ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วออกแรงกระตุกดึง กึ่งลากนางให้เดินตามไปทันที “ปล่อยข้า!” ไป๋ซูเหยาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ นางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ถูกบังคับให้ก้าวตามเขาไปตามแรงดึง หากฝืนก็เกรงว่าจะล้มลงกับพื้นและหากเป็นเช่นนั้น…บุรุษผู้นี้ย่อมไม่ใส่ใจอันใดอยู่แล้ว “ท่านมันเอาแต่ใจหลี่เจิ้งเฉิน!” นางหันขวับ ตวาดออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว “คิดว่ามีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ” ดวงตาคู่งามฉายแววโกรธเคืองชัดเจน นางหาได้สนใจฐานะอันสูงส่งของเขาอีกต่อไป ยามนี้…ไป๋ซูเหยาโมโหไม่น้อยจนลืมความเกรงกลัวทั้งสิ้น เหล่าสาวใช้ที่เฝ้ามองอยู่ล้วนตกตะลึง บ้างถึงกับยกมือทาบอกอย่างตกใจ แม้จะห่วงใยพระชายา ทว่าก็กลัวเกินกว่าจะก้าวข้ามเส้นของผู้เป็นนาย พอได้ยินถ้อยคำนั้น หลี่เจิ้งเฉินยิ่งออกแรงกำข้อมือเรียวของนางแน่นจนรอยนิ้วปรากฏเป็นรอยสีแดงช้ำ สายตาคมกริบตวัดมองอย่างเย็นชา “หึ! ข้าเคยเตือนไว้แล้วมิใช่หรือ…ว่าอย่าได้อวดดีกับข้า” ยามนี้เขาโกรธมากจริงๆ โกรธจนแยกไม่ออกว่ากำลังเดือดดาลเรื่องใดอยู่กันแน่…เพราะสตรีผู้นี้กล้าวางอำนาจทำราวกับเป็นภรรยาที่แท้จริงของเขาหรือโกรธที่นางกล้าอวดดีเช่นนี้ “หึ! อวดดีหรือ…ข้ากล่าวอันใดผิดกันหลี่อ๋อง!” อารมณ์ของบุรุษผู้นี้แปรปรวนยิ่งกว่าฤดูกาลเสียอีก! บางคราเย็นชาเฉียบขาดราวหิมะกลางเหมันต์หรือบางครากลับพลุ่งพล่านเกรี้ยวกราดดั่งพายุโหมกระหน่ำ ไป๋ซูเหยารู้สึกเหนื่อยหน่ายจนลึกเข้าถึงกระดูก นับจากนี้ ไม่รู้ว่านางจะอดทนเผชิญหน้ากับหลี่เจิ้งเฉินเช่นไรได้อีกนานเพียงใด หากยามเมื่อใดที่ไป๋เหยียนหลันกลับมา…นางก็พร้อมจะถอยออกจากชีวิตของบุรุษผู้นี้ทันทีไม่คิดจะเรียกร้องสิ่งใดและหลุดพ้นจากความปั่นป่วนทั้งปวงนี้เสียที! ณ ห้องบรรพชล เสียงฝีเท้าหนักของหลี่เจิ้งเฉินและเสียงร้องโวยวายขัดขืนของไป๋ซูเหยาดังสะท้อนก้องไปทั่วทางเดินของจวน ราวกับเป็นการประกาศให้ทั่วทั้งจวนได้รับรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวที่กำลังปะทุอย่างรุนแรงแต่มีหรือผู้ใดจะกล้าเข้าไปห้ามปรามแม้จะเห็นใจมากเพียงใด หลี่เจิ้งเฉินยังคงเหนี่ยวรั้งข้อมือเรียวของนางเอาไว้แน่น แรงฉุดกระชากเต็มไปด้วยโทสะ ไร้ซึ่งความปรานีหรือเห็นใจเลยแม้แต่น้อย…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะส่งเสียงร้องค้านหรือฝืนต้านไม่ยอมของนางล้วนไร้ประโยชน์! “ปล่อยข้านะ! ท่านจะพาข้าไปไหนหลี่เจิ้งเฉิน!” ไป๋ซูเหยาตะโกนใส่แผ่นหลังกว้าง ทว่าคำพูดของนางกลับถูกละเลยราวกับสายลม นางพยายามฝืนแรงขัดขืน พยายามสะบัดข้อมือออกจากพันธนาการแข็งแกร่งแต่ไม่ว่าพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ หลี่เจิ้งเฉินไม่แม้แต่จะหันมามอง เขาเพียงกระชากนางให้เดินตามพลางเอ่ยเสียงเยือกเย็น “อยากวางอำนาจนักใช่หรือไม่…ข้าจะให้เจ้าได้อยู่เงียบๆ อย่างสมใจแน่!” เอี๊ยดด…! เพียงชั่วพริบตา ประตูเรือนหลังหนึ่งถูกหลี่เจิ้งเฉินกระชากเปิดออกอย่างรุนแรง ก่อนที่จู่ๆ ร่างของไป๋ซูเหยาจะถูกผลักเข้าไปภายในห้องบรรพชลที่ตั้งอยู่ลึกสุดของจวนอย่างรวดเร็ว ประตูไม้หนาหนักถูกกระแทกปิดตามหลังจน ปัง! สะท้อนก้องไปทั่ว พร้อมกับเสียงโซ่เหล็กที่ถูกคล้องกลอนอย่างแน่นหนา !!! ไป๋ซูเหยาสะดุ้งเฮือก…นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งพลันหันขวับไปมองด้วยความตื่นตระหนก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัว แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังของหลี่เจิ้งเฉินที่หายลับไปหลังบานประตูเท่านั้น นางถูกขังอย่างไร้เหตุผล…หรือบางทีอาจเป็นเพราะความเอาแต่ใจของบุรุษผู้นั้นที่ต้องการกลั่นแกล้งนาง!? ภายในเรือนมีแสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ อย่างเลือนราง พอให้เศษเพียงฝุ่นผงลอยวนอยู่ในอากาศ…ทั้งเงียบสงัดและอึดอัดไม่น้อย ไป๋ซูเหยากวาดสายตามองรอบๆ ราวกับกำลังหาทางหนีทว่ากับแม้กระทั่งไร้บานประตูเล็กหรือช่องทางใดๆ ก่อนที่สายตาของนางสะดุดเข้ากับโต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายห้อง บนโต๊ะนั้น วางเรียงป้ายวิญญาณไม้ซึ่งแกะสลักอักษรชื่อผู้ล่วงลับไว้อย่างบรรจงเรียงรายแน่นจนเต็มโต๊ะ หากให้เดาที่นี่คงไม่พ้นห้องบรรพชลกระมัง…!? นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นคลอวูบไหวครู่หนึ่ง ไป๋ซูเหยาพลางเม้มริมฝีปากแน่น มือทั้งสองข้างกำแน่น ภายในใจปวดหนึบแทบสะอื้นไห้ออกมาทว่ากลับไม่มีน้ำตาสักหยด เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งนางเช่นนี้… นับตั้งแต่มารดาจากไป…ไหนเลยไป๋ซูเหยาจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายเยี่ยงบุตรสาวบ้านอื่น หากเทียบกับไป๋เหยียนหลันนั้น…นางก็ไม่เคยมีโอกาสยืนอยู่ในที่เดียวกันเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ยังต้องอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงในร้านขายน้ำเต้าหู้นั้น นางดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหลุดพ้นจากชีวิตเช่นนั้นแต่ครั้นได้ออกมาจริงๆ…นางกลับรู้สึกอยากหนีหายไปจากใต้หล้านี้ ไป๋ซูเหยาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายต้องการตั้งสติเพื่อกลั้นอารมณ์มากมายที่ตีรวนอยู่ภายในอก “เรื่องนี้ข้าผิดหรือ” นางตะโกนลั่น ดวงคู่งามตาแดงก่ำ “…” “นางหายตัวไปแล้ว เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า!” ไป๋ซูเหยากัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างกำแน่น นางมองไปยังบานประตูเรือนด้วยความโกรธแค้น “คิดว่าข้าอยากจะกลายเป็นเงาของนางหรืออย่างไร!” “…” น้ำเสียงหวานตวาดแว่วสะท้อนออกไปถึงภายนอกห้องด้วยความเหลืออด “ข้าผิดอันใดกันหลี่เจิ้งเฉิน!” แม้จะรู้สึกเห็นใจพระชายาเพียงใด...ทว่าพวกนางกลับเป็นเพียงแค่สาวใช้ในจวนเท่านั้นจะมีสิทธิ์อันใดกล้าเอื้อนเอ่ยออกไปจึงได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของหลี่อ๋องเดินสะบัดชายแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธเคืองและไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ ณ ร้านน้ำเต้าหู้สกุลไป๋ บุตรสาวหายตัวไปทั้งคนจะไม่ให้นายท่านไป๋และไป๋ฮูหยิน กลัดกลุ้มใจได้อย่างไร…โดยเฉพาะเป็นบุตรสาวที่โปรดปราน ยิ่งทำให้นายท่านไป๋อารมณ์โกธรเคืองไปหมดทุกอย่าง จนต้องสั่งปิดร้านไม่เปิดอยู่ร้านวัน ทั้งที่วาสนาอยู่ตรงหน้า อยู่แค่เอื้อมแท้ๆ แต่กลับหลุดลอยไปอย่างไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้ เขาเกือบได้ยกฐานะของขึ้นสูงมีลูกเขยเป็นถึงหลี่อ๋อง! วันข้างหน้ามีหวังได้อุ้มหลานเป็นทายาทหลี่อ๋องผู้สูงส่ง! เรื่องเหล่านี้ย่อมสามารถเอาพูดโอ้อวดและไปเชิดหน้าชูตา คบค้าสมาคมกับจวนขุนนางทั้งหลายได้แน่!...ทว่าพอคิดแล้วเลือดก็พุ่งขึ้นหน้าทันที เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างแรง เงยหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความขุ่นเคือง ไป๋ฮูหยินเห็นสามีโกรธเกรี้ยวเช่นนั้น นางก็รีบเดินเข้ามาปลอบใจ “ท่านพี่...ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ยังพอแก้ไขได้แน่” นางแสร้งพูดอย่างอ่อนโยน “หลี่อ๋องอยากได้บุตรสาวสกุลไป๋มิใช่หรือ…ตอนนี้ก็เสมือนกับแต่งไปแล้ว ยังจะกล้ามาเอาเรื่องอะไรอีก” ทันใดที่คำพูดนั้นหลุดจากภรรยา นายท่านไป๋หันขวับไปมองตาขวาง หัวคิ้วหนาเหยียดขมวดแน่นร่วมกับฟังแล้วขัดใจ น้ำเสียงเข้มกล้า “เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไรฮูหยิน! วาสนานี้มันควรเป็นของเหยียนหลันมิใช่นังลูกผู้นั้น!” เขากำมือแน่นจนเส้นเลือดขึ้นปูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวังและโกรธจัด “แล้วเหตุใดนางถึงได้ไม่รักดี! กล้าโยนโอกาสเช่นนั้นทิ้งราวกับไร้ค่า!” ไป๋ฮูหยินชะงักไป ใบหน้าเจื่อนลงแต่ยังพยายามเสแสร้งหัวเราะฝืนใจ “หากท่านพี่มัวแต่เสียใจเช่นนี้...มิสู้รีบตามหาเหยียนหลันกลับมาดีกว่ารึ ข้าว่าหากปล่อยปลาย่างไว้กับแมวนานๆ เข้า ไป๋ซูเหยาคงกลายเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกันกับมารดาของนางแน่!” นายท่านไป๋ตวัดสายตามองภรรยาด้วยความระอา “เหอะ! เจ้าพูดเช่นนี้...นางก็เป็นลูกของเจ้าเช่นกันมิใช่รึ” ไป๋ฮูหยินหัวเราะเบาๆ พลางเบือนหนีสายตาไม่สบกับผู้เป็นสามี ลูกเลี้ยงผู้นั้นหรือ...? หากจะกำจัดออกไปจากสายตาของนางเสียได้ ก็ย่อมเป็นการดีนัก! นางระบายยิ้มจางๆ หากแต่ในดวงตากลับแฝงแววเย็นชา “แน่นอนเจ้าค่ะ…ลูกของข้าเช่นกัน” ถ้อยคำพูดนั้นเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน ทว่าเคลือบไปด้วยหนามพิษ “ทว่าหลี่อ๋องสมควรเป็นสามีของเหยียนหลันมิใช่หรือเจ้าค่ะ…ไฉนท่านพี่ถึงกล่าวออกมาราวกับยินดีกับไป๋ซูเหยากัน” ไป๋ฮูหยินหันกลับมามองสามี เลิกคิ้วถาม มิใช่ว่ายามนี้…หลี่อ๋องคงกำลังโกรธเคืองและเดือดดาลถึงขั้นบันดาลโทสะแล้วสั่งลงโทษไป๋ซูเหยาไปเสียแล้วกระมัง? หากเป็นเช่นนั้น...ก็นับว่าดีต่อนางยิ่งนัก นางมิได้คาดหวังให้เด็กนั่นได้ดี! หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เมื่อนั้นค่อยตามตัวไป๋เหยียนหลันกลับมาก็ยังมิสาย ในเมื่อไป๋ซูเหยามิใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของนาง แล้วเหตุใดเล่าจะต้องอาลัยอาวรณ์…นางอยากรีบกำจัดไปให้พ้นๆ หน้า! สตรีผู้นั้นเพียงเป็นตัวแทน เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น! นายท่านไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไฉนเขาดูไม่ออกหรือรู้ทันภรรยา น้ำเสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบากับตนเอง “ไฉนข้าจะไม่รู้ว่าเหยียนหลันแอบมีใจให้เด็กหนุ่มขายถั่วเหลืองนั่น…มันแวะเวียนมาส่งของอยู่ร่ำไปจนข้าจำหน้าได้เสียแล้ว!” ไป๋ฮูหยินได้ยินแล้วชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่เจื่อนลงทันที “ท่า…ท่านพี่!” “หึ! รีบตามไป๋เหยียนหลันกลับมาโดยเร็ว…ก่อนที่ข้าจะไปตามนางกลับมาด้วยตนเอง!” น้ำเสียงของนานท่านไป๋ดังลั่นไปทั่วทั้งร้านด้วยความโมโหโกรธ คิดว่าเขาโง่งมหรือ…ไฉนถึงเอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมบอก!ยามนี้บรรยากาศภายในเรือนเงียบงันลงอีกครั้ง เหล่าสาวใช้ต่างกระพริบตาปริบๆ มองกันไปมาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่พระชายากล่าวออกมาว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ไป๋เหยียนหลิน...มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันหรือ?และหากสตรีที่นั่งกำลังอยู่บนเตียงในตอนนี้ มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันตัวจริง เช่นนั้นแล้ว...แม่นางผู้นี้เป็นใครกันแน่?ประโยคก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างแล้วก็ไม่กระจ่างแจ้งพลันก่อความสับสนในใจของทุกคนขึ้นทันที ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกไป เหล่าสาวใช้ต่างก็พากันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจโจวตงหยางถึงกับหันขวับไปมองสหายทันที ดวงตาดำขลับเบิกโพลงกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปานเช่นนั้น…คำพูดที่หลี่เจิ้งเฉินหลุดปากเอ่ยเมื่อวันก่อนก็เป็นความจริงอย่างงั้นหรือ!ที่แท้คนผู้นี้ก็มิได้เมามายจนสติเลอะเลือนไป!เขาจ้องมองบุรุษข้างกายตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเรื่องจริงหรือ…หลี่เจิ้งเฉิน?”หลี่เจิ้งเฉินกล่าวเสียงแผ่วเบา “นางคือไป๋ซูเหยา…”เขาไม่เคยคิดจะปิดบัง…ทว่าก็หาได้อยากเปิดเผยออกไปให้เป็นเรื่องใหญ่โตชวนวุ่นวายหลี่เจิ้งเฉินขยับฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวก
หลี่เจิ้งเฉินอุ้มไป๋ซูเหยสกลับไปที่จวนอย่างเร่งรีบ ซ้ำตลอดทางยังตะโกนเรียกสาวใช้ให้ท่านหมอมาโดยเร็วทุกครั้งยามนี้ที่เขาเหลือบสายตามองนางในอ้อมแขนนั้น ทันใดนั้น…หัวใจแกร่งก็พลันกระตุกวูบรุนแรงอย่างน่าประหลาดใจ เพียงคิดว่าหากสตรีผู้นี้เป็นอันใดไปนี่ก็คงความผิดของเขากระมัง!?ยามนี้ทั่วทั้งเรือนหลัก จุดโคมไฟจนสว่างไสวแต่ทว่ากลับไม่อาจขับไล่บรรยากาศอึมครึมขุ่นมัวภายในเรือนได้ หลี่เจิ้งเฉินนั่งเงียบงันอยู่ข้างเตียง ดวงตาคมกริบทอดมองร่างบอบบางที่ยังคงหลับใหลอยู่ตรงหน้าใบหน้าซีดเซียวไล่สีเลือดฝาดเมื่อครู่ๆ ค่อยๆ ขึ้นสีเล็กน้อยเขาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของนางแผ่วเบา…ราวกับไม่ต้องการปลุกให้นางขึ้นมาหลี่เจิ้งเฉินกำมือแน่น ยามนี้เขาถูกความรู้สึกผิดกัดกินอยู่ไม่ใช่นาง...ไม่ใช่นางเลยสักนิดที่ควรถูกลงโทษ...“ข้าขอโทษ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา“นี่มิใช่ความผิดของเจ้า…ไป๋ซูเหยา”ก่อนหน้านั้น หลี่เจิ้งเฉินย่อมรู้ดีว่าสตรีที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวหาใช่ไป๋เหยียนหลันไม่เพราะมีคนจากสกุลไป๋เร่งร้อนมาแจ้งข่าวแต่เช้าตรู่เสียจนเขาตั้งตัวไม่ทันในยามนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับมือเช่นไรจู่ๆ สตรี
ปัง!หลี่เจิ้งเฉินวางจอกสุรากระแทกลงโต๊ะอย่างแรงด้วยความขุ่นเคือง สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ห้วงความคิดของเขาวนเวียนกลับไปกลับมาไม่พ้นจากดวงตาคู่งามที่แข็งกร้าวคล้ายกลับว่าไม่อาจลืมเลือนมุมปากหนาแค่นเสียงเยาะ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจอกสุราอีกครั้งทว่า…ไหสุราในมือนั้นกลับถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปอย่างรวดเร็วฟึ่บ!“!!!” หลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วทันควัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจโจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับตั้งใจ เขาถือไหสุราไว้ในมือแน่นไม่ยอมคืนให้ พร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ท่าทางวันนี่หลี่อ๋องคงมีเรื่องทำให้กลัดกลุ้มใจไม่น้อย…ทะเลาะกับพระชายามาหรืออย่างไรกัน”ก่อนหน้านี้เขากำลังเอนกายนอนชมการร่ายรำของเหล่าสตรีงามอย่างสบายอารมณ์ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะมีพ่อบ้านเข้ามาแจ้งว่าหลี่อ๋องมาเยือนถึงที่จวน…!?เดิมทีเดียวโจวตงหยางคิดว่าคงมีราชการด่วนหรือเรื่องสำคัญใดๆ ทว่ามิใช่...หลี่เจิ้งเฉินกลับมานั่งดื่มสุราไหแล้วไหเล่าราวกับอารมณ์มาจากจวนเสียมากกว่าสายตาคมกริบของเขาเหลือบมองสหายตรงหน้าราวกับรอฟังคำตอบ“…” หลี่เจิ้งเฉินสูดลมหายใจแรงด้วยความหงุดหงิด แต่กลับไม่ยอมเอ่ยอันใดออกมาโจว
ใครเล่าจะเชื่อเรื่องโชคชะตา…แม้แต่ไป๋เหยียนหลันเองก็ไม่เคยเชื่อมาก่อน หากแต่สวรรค์กลับเล่นตลกกับนางเสียจนหมดหนทางปฏิเสธ ด้ายแดงที่เคยถักทอมาเนิ่นนานแต่พอถูกละลายลงในสายน้ำก็ไม่หลงเหลือแม้เศษเส้นใยให้เหนี่ยวรั้งไว้นางไม่คิดเลยว่าเพียงแค่พบกับจางสือ บุรุษหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งจากร้านขายถั่วเหลือง หัวใจที่เคยนิ่งสงบกลับเต้นกระหน่ำรัวราวกับกลับไปเป็นดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารักอีกครั้ง…แน่นอน…ว่านางอยากมีชีวิตที่สงบและเรียบง่าย ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายหรือแก่นแย่งชิงอำนาจกับผู้ใดทั้งสิ้นทว่าหลี่เจิ้งเฉินกลับมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงหลี่อ๋อง…มีอำนาจในมือ วันข้างหน้าย่อมไม่อาจมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียวได้แต่จางสือนั้น…กลับสามารถรักมั่นเพียงนาง ถึงแม้ฐานะเขาจะต่ำต้อยกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูมารดา น้องสาว น้องชายและยังหาเช้ากินค่ำก็ช่างเถอะ…หากใจรักมั่น ไป๋เหยียนหลันเชื่อว่าสวรรค์ก็ต้องเมตตาให้ชีวิตคู่ของนางและเขาราบรื่นเป็นแน่“เหยียนหลันรีบกินขาหมูตุ๋นร้อนๆ นี่ก่อนเถิด” น้ำเสียงของจางฮูหยินเอ่ยดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจบประแจ้ง นางได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูไป๋จากร้านน้ำเต้าหู้ตรงประตูเมืองผู้นี
บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องยามนี้ขุ่นมัวและอึมครึมยิ่งกว่ายามฝนตั้งเค้าเสียอีก เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ บ้างก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นใบหน้าของหลี่อ๋องบัดนี้เขียวคล้ำด้วยโทสะ แววตาคมกริบฉายชัดถึงความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ครึ่งคำแล้วไหนจะพระชายาผู้นั้น…สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ตอนนี้กลับแข็งกร้าวฉายแววดื้อรั้นไม่ยอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย!ทั้งที่รอคอยจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ…?ทว่าเพียงคืนเข้าหอคืนเดียวเท่านั้น ไฉนเลยความสัมพันธ์กลับแปรเปลี่ยนราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น…พวกนางอยากรู้เสียจริง!แม้ว่าพวกนางจะพยายามถอยหลีกห่างแล้ว ทว่าในความเงียบสงัดกลับได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเองหลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอดคล้ายข่มโทสะ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วออกแรงกระตุกดึง กึ่งลากนางให้เดินตามไปทันที“ปล่อยข้า!” ไป๋ซูเหยาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจนางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ถูกบังคับให้ก้าวตามเขาไปตามแรงดึง หากฝืนก็เกรงว่าจะล้มลงกับพื้นและหากเป็นเช่นนั้น…บุรุษผู้
หลี่เจิ้งเฉินไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้าตอบโต้ด้วยท่าทีอวดดีเช่นนี้!เขากัดฟันกรอดก่อนจะสะบัดมืออย่างแรงจนร่างบอบบางลอยขึ้นเหนือพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วถูกเหวี่ยงกระแทกลงบนเตียงอย่างไม่ไยดีน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยลอดไรฟัน “ม้าพยศย่อมต้องถูกเฆี่ยน!...สตรีอวดดีสมควรถูกสั่งสอน!”ตุบ!ร่างอรชรของไป๋ซูเหยาพลันกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง แม้จะมีฟูกนุ่มรองรับ ทว่าแรงจากการสะบัดของบุรุษผู้นี้กลับรุนแรงราวกับหมายจะให้กระดูกทุกชิ้นในร่างนางแตกร้าวเสียให้ได้“อ๊ะ!” ไป๋ซูเหยานอนตัวงอด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจโดยไม่ทันคาดคิดว่าอันตรายจะคืบคลานเข้ามาเร็วเพียงนี้!!!หลี่เจิ้งเฉินก้าวเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบเพ่งมองร่างสตรีตรงหน้าอย่างเยียบเย็น มุมปากหนายกยิ้มเยาะไร้ความอ่อนโยนหากนางมิใช่สตรีในดวงใจแล้ว…ไม่ว่าสตรีใดก็อย่าได้หวังว่าเขาจะอ่อนโยน ต่อให้นางกระอักเลือดเจียนตายอยู่ตรงหน้าก็อย่าคิดว่าเขาจะเหลือบแลเห็นใจแม้เพียงเสี้ยวสายตา!“แค่ก! แค่ก!” ไป๋ซูเหยาไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้งลมหายใจของนางติดขัดราวกับปอดแทบจะยุบตัว ดวงตาคู่งามพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำใส หากแต่ในใจกลับไม่คิดอ้อน