หลี่เจิ้งเฉินไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้าตอบโต้ด้วยท่าทีอวดดีเช่นนี้!
เขากัดฟันกรอดก่อนจะสะบัดมืออย่างแรงจนร่างบอบบางลอยขึ้นเหนือพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วถูกเหวี่ยงกระแทกลงบนเตียงอย่างไม่ไยดี น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยลอดไรฟัน “ม้าพยศย่อมต้องถูกเฆี่ยน!...สตรีอวดดีสมควรถูกสั่งสอน!” ตุบ! ร่างอรชรของไป๋ซูเหยาพลันกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง แม้จะมีฟูกนุ่มรองรับ ทว่าแรงจากการสะบัดของบุรุษผู้นี้กลับรุนแรงราวกับหมายจะให้กระดูกทุกชิ้นในร่างนางแตกร้าวเสียให้ได้ “อ๊ะ!” ไป๋ซูเหยานอนตัวงอด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจโดยไม่ทันคาดคิดว่าอันตรายจะคืบคลานเข้ามาเร็วเพียงนี้ !!! หลี่เจิ้งเฉินก้าวเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบเพ่งมองร่างสตรีตรงหน้าอย่างเยียบเย็น มุมปากหนายกยิ้มเยาะไร้ความอ่อนโยน หากนางมิใช่สตรีในดวงใจแล้ว…ไม่ว่าสตรีใดก็อย่าได้หวังว่าเขาจะอ่อนโยน ต่อให้นางกระอักเลือดเจียนตายอยู่ตรงหน้าก็อย่าคิดว่าเขาจะเหลือบแลเห็นใจแม้เพียงเสี้ยวสายตา! “แค่ก! แค่ก!” ไป๋ซูเหยาไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้ง ลมหายใจของนางติดขัดราวกับปอดแทบจะยุบตัว ดวงตาคู่งามพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำใส หากแต่ในใจกลับไม่คิดอ้อนวอนหรือขอความเมตตาจากบุรุษเบื้องหน้าแม้แต่น้อย นางค่อยๆ ยันกายขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากซีดเผือด ขอบตาร้อนผ่าวหากแต่ไร้น้ำตา “…” “เจ็บหรือ…?” หลี่เจิ้งเฉินเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย ไป๋ซูเหยาเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยินยอม ดวงตาคู่งามสบเข้ากับสายตาคมกริบของเขาอย่างไม่เกรงกลัว ต่อให้จะเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว…นางก็จะฝืน แม้ต้องกระอักเลือดออกมาก็ตาม “เพียงเท่านี้…ยังไม่ถึงกับตาย” น้ำเสียงแผ่วเบา หากแต่แฝงไว้ด้วยความดื้อดึงไม่ยินยอม หลี่เจิ้งเฉินหัวเราะเยาะในลำคอ คล้ายเห็นคำตอบของนางเป็นเรื่องตลก “ดี!…ถ้าเจ้ายังไม่ตาย งั้นก็ตั้งใจฟังให้ดี” เขาพลางก้าวเข้ามาใกล้จนเงาทาบทับร่างของนาง ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลง ดวงตาคมกริบคู่นั้นทอแสงเยียบเย็นดั่งคมมีด “อย่าได้คิดว่าร่างกายของเจ้าจะยั่วยวนข้าได้!” น้ำเสียงของหลี่เจิ้งเฉินเย็นชา ดวงตาคมกริบกวาดมองอย่างเหยียดหยาม “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่มีวันแทนที่ไป๋เหยียนหลันได้…ต่อให้ข้าต้องนอนกับสตรีเช่นนี้ ก็ยังเห็นว่าร่วมเตียงกับขอทานยังดีเสียกว่า!” มุมปากหนาของเขายกยิ้มร้าย ถ้อยคำที่ออกจากปากล้วนเต็มไปด้วยคำพูดเหน็บแนมทั้งสิ้น ไป๋ซูเหยาสบตาอีกฝ่ายอย่างแน่วนิ่ง หาได้หลบเลี่ยงหรือหวาดกลัวต่อถ้อยคำข่มขู่ใดทั้งสิ้น นางสูดลมหายใจลึก คล้ายกำลังระงับโทสะที่พลุ่งพล่านอยู่ในอก ดวงตาคู่งามทอแววแข็งกร้าวไร้ความสั่นไหวและอ่อนแอราวลูกแมวที่ตกใจ นางเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าจะจำไว้…” “ดี! ว่าง่ายเช่นนี้ เจ้าถึงจะมีชีวิตรอด” หลี่เจิ้งเฉินเอ่ยพลางเอื้อมมือมาบีบปลายคางเรียวของนางอย่างถือสิทธิ์ ดวงตาคมกริบยังจับจ้องดวงหน้าอีกฝ่ายไม่ลดละ ทว่าในชั่วขณะนั้น ลมหายใจอุ่นปะทะผิวปลายจมูกพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสตรีเบื้องหน้า กลับทำให้แววตาแข็งกร้าวของวูบไหวเพียงอึดใจอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนจะฉาบทับด้วยความเย็นชาอีกครั้ง เขาสะบัดมือและผละออกในทันที ร่างสูงหันหลังกลับโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใดอีก ฝ่ามือหนาดึงบานประตูเปิดออกอย่างแรงบ่งบอกได้ถึงอารมณ์โกรธในยามนี้ สายลมแรงพัดโชยจากด้านนอกเข้ามาพลันทำให้ม่านบางให้ปลิวไหว เทียนที่จุดสั่นไหวคล้ายจะดับลง เสียงฝีเท้าของหลี่เจิ้งเฉินค่อย ๆ ห่างออกไปจากห้องหอ ไป๋ซูเหยากำมือแน่น แม้นางจะไม่ใช่ตัวเลือกของผู้ใด…แม้จะเป็นเพียงตัวแทนในเท่านั้น แต่หากวันหนึ่งโชคชะตาพลิกผัน นางเอาคืนอย่างสาสมแน่! ยามเฉิน (เวลา 07.00 – 09.00 น.) ทั้งที่เป็นคืนเข้าหอ แต่ผู้เป็นนายกลับอยู่ในเรือนได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ออกไปด้วยท่าทีขุ่นเคือง ทั้งยังมีสีหน้าเคร่งเครียดราวกับโกรธเคืองสิ่งใดอยู่…แม้จะมีเพียงแสงไฟสลัวๆ ทว่าหากมองจากวังหลวงย่อมเห็นได้ชัดเจนแน่ มิหนำซ้ำ ตลอดคืนที่ผ่านพ้นหลี่อ๋องมิได้เพียงแค่ออกจากเรือนเท่านั้น…ทั้งยังออกไปจากจวนหาได้กลับเข้ามาอีกเลย จนกระทั่งรุ่งสางของวันใหม่ก็ยังคงไร้เงา เหล่าบรรดาสาวใช้ในเรือนล้วนแต่มองสตรีตรงหน้าอย่างงุนงง หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากเอ่ยถาม แท้จริงแล้ว ภายในห้องหอเมื่อคืน…เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่? ทั่วทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่า หลี่อ๋องหลงใหลคุณหนูไป๋เสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถึงขั้นส่งแม่สื่อไปทาบทามอยู่หลายคราแต่กลับถูกตระกูลไป๋ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเหตุผลว่า…คุณหนูไป๋เป็นเพียงบุตรตระกูลพ่อค้าไหนเลยจะเหมาะสมกับหลี่อ๋องไม่ ทว่าหลี่อ๋องหาได้ถอยออกห่าง ทั้งตามเกี้ยว ทั้งส่งของกำนัลไปมอบให้แก่สกุลไป๋ตลอดและยิ่งกว่านั้นแล้วยังส่งแม่สื่อไปไม่เว้นวันแม้จะถูกปฏิเสธ…ทว่าคล้ายสวรรค์เห็นใจกัน กระทั่งวันหนึ่ง กลับเป็นฝ่ายตระกูลไป๋เสียเองที่ยื่นข้อเสนอเรื่องสมรสขึ้นมา หลี่อ๋องมีหรือจะรอช้า…? เมื่อตกปากรับคำแล้ว เขาก็เร่งรัดทุกอย่างให้รวดเร็วและจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นสินสอดที่ส่งให้ตระกูลไป๋หรือสินเดิมที่คุณหนูเจ้าสาวหอบติดตัวมาล้วนมากมายจนแทบไม่ต่างจากงานสมรสขององค์หญิงเลยแม้แต่น้อย ทว่า...เหตุใดกัน? แค่เพียงค่ำคืนเดียว หลังจากเฝ้ารอมาเนิ่นนาน บุรุษผู้หลงรักหนักแน่นถึงเพียงนั้นจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว? ไป๋ซูเหยาวางช้อนโจ๊กลงในชามอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเช็ดริมฝีปากอย่างเชื่องช้า นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ทว่าฟังแล้วกลับกดดันผู้ฟังได้อย่างประหลาด “สงสัยสิ่งใดกันหรือ… ไยถึงได้มองข้าด้วยสายตาชวนซุบซิบนักเล่า” ไฉนเลยนางจะไม่รู้… ทั้งที่เป็นคืนเข้าหอ…หากแต่เจ้าบ่าวกลับอยู่ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปทิ้งเจ้าสาวไว้ในห้องหอเพียงลำพัง เรื่องเช่นนี้…มีอย่างที่ไหนกัน จู่ๆ ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องโถงเงียบงันลงทันที เหล่าบรรดาสาวใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ด้านข้างต่างพากันหลุบตาต่ำทั้งสิ้นบ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำเป็นยุ่งกับถาดชาและชามกับข้าวในมือราวกับจะหลบเลี่ยงสายตาของผู้นายหญิงเมื่อถูกจับได้ สาวใช้คนหนึ่งใจกล้าหน่อยรีบก้าวออกมา นางยอบกายลง อ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา “พระชายา…หม่อมฉันหาได้คิดอันเพคะ เพียงแต่” น้ำเสียงของนางติดขัดอยู่กลางประโยค ริมฝีปากขยับเล็กน้อยแต่กลับไม่กล้ากล่าวออกมาต่อ ไป๋ซูเหยาปรายสายตาหันไปมองอีกฝ่ายเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมาวางผ้าผืนเล็กลงบนถาดเบื้องหน้าอย่างแผ่วเบา ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ คล้ายจะขบขันแต่ก็ขื่นขม “สงสัยว่าเหตุใด...หลี่อ๋องจึงทิ้งข้าไว้ลำพังในคืนเข้าหอใช่หรือไม่” นางเลิกคิ้วถาม พลางกวาดสายตามองเหล่าสาวใช้ “หึ! คิดว่ากลายเป็นภรรยาของข้าจริงๆ แล้วหรือ” !!! เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากทางเดินนอกเรือน ไม่นานนัก ร่างสูงในชุดขุนนางปักลายมังกรสีเข้มก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู หลี่เจิ้งเฉินก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าทรงอำนาจ แววตาคมกริบกวาดมองรอบห้องเพียงครู่ ก่อนหยุดนิ่งที่ร่างของไป๋ซูเหยาซึ่งนั่งอยู่ด้วยท่าทางสงบ “อย่าคิดว่าแค่เชิดหน้าสั่งสาวใช้ไม่กี่คำ จะทำให้เจ้าดูมีอำนาจขึ้นมา” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าเย็นเยียบ “ข้าไม่ชอบสตรีอวดดีและยิ่งไม่ชอบหากคิดจะวางตัวสูงเกินฐานะที่แท้จริงของตนเอง” ไป๋ซูเหยาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มบางจนแทบดูเหมือนเย้ยหยัน ดวงตาคู่งามสงบนิ่งไร้แววอ่อนหวาน “ฐานะงั้นหรือเพคะ…” นางเว้นจังหวะราวกับกำลังใคร่ครวญ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “หม่อมฉันร่วมกราบไหว้ฟ้าดินกับหลี่อ๋องแล้ว…เช่นนี้ก็ถือเป็นพระชายาโดยสมบูรณ์มิใช่หรือ” แม้จะขึ้นเกี้ยวแทนไป๋เหยียนหลันแล้วอย่างไร แต่ผู้ที่ร่วมทำพิธีกับเขานั้นก็คือนาง หากจะยึดตามธรรมเนียม… นางต่างหากคือภรรยาที่ถูกต้องของหลี่เจิ้งเฉิน!ยามนี้บรรยากาศภายในเรือนเงียบงันลงอีกครั้ง เหล่าสาวใช้ต่างกระพริบตาปริบๆ มองกันไปมาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่พระชายากล่าวออกมาว่าหมายถึงสิ่งใดกันแน่ไป๋เหยียนหลิน...มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันหรือ?และหากสตรีที่นั่งกำลังอยู่บนเตียงในตอนนี้ มิใช่พระชายาไป๋เหยียนหลันตัวจริง เช่นนั้นแล้ว...แม่นางผู้นี้เป็นใครกันแน่?ประโยคก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างแล้วก็ไม่กระจ่างแจ้งพลันก่อความสับสนในใจของทุกคนขึ้นทันที ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถามออกไป เหล่าสาวใช้ต่างก็พากันมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจโจวตงหยางถึงกับหันขวับไปมองสหายทันที ดวงตาดำขลับเบิกโพลงกว้างอย่างตกตะลึงราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ก็ไม่ปานเช่นนั้น…คำพูดที่หลี่เจิ้งเฉินหลุดปากเอ่ยเมื่อวันก่อนก็เป็นความจริงอย่างงั้นหรือ!ที่แท้คนผู้นี้ก็มิได้เมามายจนสติเลอะเลือนไป!เขาจ้องมองบุรุษข้างกายตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นเรื่องจริงหรือ…หลี่เจิ้งเฉิน?”หลี่เจิ้งเฉินกล่าวเสียงแผ่วเบา “นางคือไป๋ซูเหยา…”เขาไม่เคยคิดจะปิดบัง…ทว่าก็หาได้อยากเปิดเผยออกไปให้เป็นเรื่องใหญ่โตชวนวุ่นวายหลี่เจิ้งเฉินขยับฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวก
หลี่เจิ้งเฉินอุ้มไป๋ซูเหยสกลับไปที่จวนอย่างเร่งรีบ ซ้ำตลอดทางยังตะโกนเรียกสาวใช้ให้ท่านหมอมาโดยเร็วทุกครั้งยามนี้ที่เขาเหลือบสายตามองนางในอ้อมแขนนั้น ทันใดนั้น…หัวใจแกร่งก็พลันกระตุกวูบรุนแรงอย่างน่าประหลาดใจ เพียงคิดว่าหากสตรีผู้นี้เป็นอันใดไปนี่ก็คงความผิดของเขากระมัง!?ยามนี้ทั่วทั้งเรือนหลัก จุดโคมไฟจนสว่างไสวแต่ทว่ากลับไม่อาจขับไล่บรรยากาศอึมครึมขุ่นมัวภายในเรือนได้ หลี่เจิ้งเฉินนั่งเงียบงันอยู่ข้างเตียง ดวงตาคมกริบทอดมองร่างบอบบางที่ยังคงหลับใหลอยู่ตรงหน้าใบหน้าซีดเซียวไล่สีเลือดฝาดเมื่อครู่ๆ ค่อยๆ ขึ้นสีเล็กน้อยเขาพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของนางแผ่วเบา…ราวกับไม่ต้องการปลุกให้นางขึ้นมาหลี่เจิ้งเฉินกำมือแน่น ยามนี้เขาถูกความรู้สึกผิดกัดกินอยู่ไม่ใช่นาง...ไม่ใช่นางเลยสักนิดที่ควรถูกลงโทษ...“ข้าขอโทษ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา“นี่มิใช่ความผิดของเจ้า…ไป๋ซูเหยา”ก่อนหน้านั้น หลี่เจิ้งเฉินย่อมรู้ดีว่าสตรีที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวหาใช่ไป๋เหยียนหลันไม่เพราะมีคนจากสกุลไป๋เร่งร้อนมาแจ้งข่าวแต่เช้าตรู่เสียจนเขาตั้งตัวไม่ทันในยามนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรับมือเช่นไรจู่ๆ สตรี
ปัง!หลี่เจิ้งเฉินวางจอกสุรากระแทกลงโต๊ะอย่างแรงด้วยความขุ่นเคือง สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ห้วงความคิดของเขาวนเวียนกลับไปกลับมาไม่พ้นจากดวงตาคู่งามที่แข็งกร้าวคล้ายกลับว่าไม่อาจลืมเลือนมุมปากหนาแค่นเสียงเยาะ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจอกสุราอีกครั้งทว่า…ไหสุราในมือนั้นกลับถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไปอย่างรวดเร็วฟึ่บ!“!!!” หลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วทันควัน สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจโจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับตั้งใจ เขาถือไหสุราไว้ในมือแน่นไม่ยอมคืนให้ พร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ท่าทางวันนี่หลี่อ๋องคงมีเรื่องทำให้กลัดกลุ้มใจไม่น้อย…ทะเลาะกับพระชายามาหรืออย่างไรกัน”ก่อนหน้านี้เขากำลังเอนกายนอนชมการร่ายรำของเหล่าสตรีงามอย่างสบายอารมณ์ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะมีพ่อบ้านเข้ามาแจ้งว่าหลี่อ๋องมาเยือนถึงที่จวน…!?เดิมทีเดียวโจวตงหยางคิดว่าคงมีราชการด่วนหรือเรื่องสำคัญใดๆ ทว่ามิใช่...หลี่เจิ้งเฉินกลับมานั่งดื่มสุราไหแล้วไหเล่าราวกับอารมณ์มาจากจวนเสียมากกว่าสายตาคมกริบของเขาเหลือบมองสหายตรงหน้าราวกับรอฟังคำตอบ“…” หลี่เจิ้งเฉินสูดลมหายใจแรงด้วยความหงุดหงิด แต่กลับไม่ยอมเอ่ยอันใดออกมาโจว
ใครเล่าจะเชื่อเรื่องโชคชะตา…แม้แต่ไป๋เหยียนหลันเองก็ไม่เคยเชื่อมาก่อน หากแต่สวรรค์กลับเล่นตลกกับนางเสียจนหมดหนทางปฏิเสธ ด้ายแดงที่เคยถักทอมาเนิ่นนานแต่พอถูกละลายลงในสายน้ำก็ไม่หลงเหลือแม้เศษเส้นใยให้เหนี่ยวรั้งไว้นางไม่คิดเลยว่าเพียงแค่พบกับจางสือ บุรุษหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งจากร้านขายถั่วเหลือง หัวใจที่เคยนิ่งสงบกลับเต้นกระหน่ำรัวราวกับกลับไปเป็นดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารักอีกครั้ง…แน่นอน…ว่านางอยากมีชีวิตที่สงบและเรียบง่าย ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายหรือแก่นแย่งชิงอำนาจกับผู้ใดทั้งสิ้นทว่าหลี่เจิ้งเฉินกลับมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงหลี่อ๋อง…มีอำนาจในมือ วันข้างหน้าย่อมไม่อาจมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียวได้แต่จางสือนั้น…กลับสามารถรักมั่นเพียงนาง ถึงแม้ฐานะเขาจะต่ำต้อยกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูมารดา น้องสาว น้องชายและยังหาเช้ากินค่ำก็ช่างเถอะ…หากใจรักมั่น ไป๋เหยียนหลันเชื่อว่าสวรรค์ก็ต้องเมตตาให้ชีวิตคู่ของนางและเขาราบรื่นเป็นแน่“เหยียนหลันรีบกินขาหมูตุ๋นร้อนๆ นี่ก่อนเถิด” น้ำเสียงของจางฮูหยินเอ่ยดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจบประแจ้ง นางได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูไป๋จากร้านน้ำเต้าหู้ตรงประตูเมืองผู้นี
บรรยากาศภายในจวนหลี่อ๋องยามนี้ขุ่นมัวและอึมครึมยิ่งกว่ายามฝนตั้งเค้าเสียอีก เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างค่อยๆ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ บ้างก็ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวาดหวั่นใบหน้าของหลี่อ๋องบัดนี้เขียวคล้ำด้วยโทสะ แววตาคมกริบฉายชัดถึงความขุ่นเคืองจนไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยคำใดแม้แต่ครึ่งคำแล้วไหนจะพระชายาผู้นั้น…สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ตอนนี้กลับแข็งกร้าวฉายแววดื้อรั้นไม่ยอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย!ทั้งที่รอคอยจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ…?ทว่าเพียงคืนเข้าหอคืนเดียวเท่านั้น ไฉนเลยความสัมพันธ์กลับแปรเปลี่ยนราวกับคนแปลกหน้าเช่นนี้แท้จริงแล้วเกิดอันใดขึ้น…พวกนางอยากรู้เสียจริง!แม้ว่าพวกนางจะพยายามถอยหลีกห่างแล้ว ทว่าในความเงียบสงัดกลับได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตนเองหลี่เจิ้งเฉินกัดฟันกรอดคล้ายข่มโทสะ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าเรียวแขนของอีกฝ่ายอย่างแรงแล้วออกแรงกระตุกดึง กึ่งลากนางให้เดินตามไปทันที“ปล่อยข้า!” ไป๋ซูเหยาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจนางยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างบางก็ถูกบังคับให้ก้าวตามเขาไปตามแรงดึง หากฝืนก็เกรงว่าจะล้มลงกับพื้นและหากเป็นเช่นนั้น…บุรุษผู้
หลี่เจิ้งเฉินไม่คาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้าตอบโต้ด้วยท่าทีอวดดีเช่นนี้!เขากัดฟันกรอดก่อนจะสะบัดมืออย่างแรงจนร่างบอบบางลอยขึ้นเหนือพื้นเพียงชั่วพริบตา แล้วถูกเหวี่ยงกระแทกลงบนเตียงอย่างไม่ไยดีน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยลอดไรฟัน “ม้าพยศย่อมต้องถูกเฆี่ยน!...สตรีอวดดีสมควรถูกสั่งสอน!”ตุบ!ร่างอรชรของไป๋ซูเหยาพลันกระแทกลงบนเตียงอย่างแรง แม้จะมีฟูกนุ่มรองรับ ทว่าแรงจากการสะบัดของบุรุษผู้นี้กลับรุนแรงราวกับหมายจะให้กระดูกทุกชิ้นในร่างนางแตกร้าวเสียให้ได้“อ๊ะ!” ไป๋ซูเหยานอนตัวงอด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้น ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจโดยไม่ทันคาดคิดว่าอันตรายจะคืบคลานเข้ามาเร็วเพียงนี้!!!หลี่เจิ้งเฉินก้าวเข้ามาใกล้ สายตาคมกริบเพ่งมองร่างสตรีตรงหน้าอย่างเยียบเย็น มุมปากหนายกยิ้มเยาะไร้ความอ่อนโยนหากนางมิใช่สตรีในดวงใจแล้ว…ไม่ว่าสตรีใดก็อย่าได้หวังว่าเขาจะอ่อนโยน ต่อให้นางกระอักเลือดเจียนตายอยู่ตรงหน้าก็อย่าคิดว่าเขาจะเหลือบแลเห็นใจแม้เพียงเสี้ยวสายตา!“แค่ก! แค่ก!” ไป๋ซูเหยาไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้งลมหายใจของนางติดขัดราวกับปอดแทบจะยุบตัว ดวงตาคู่งามพร่าเลือนไปด้วยม่านน้ำใส หากแต่ในใจกลับไม่คิดอ้อน