ใครเล่าจะเชื่อเรื่องโชคชะตา…
แม้แต่ไป๋เหยียนหลันเองก็ไม่เคยเชื่อมาก่อน หากแต่สวรรค์กลับเล่นตลกกับนางเสียจนหมดหนทางปฏิเสธ ด้ายแดงที่เคยถักทอมาเนิ่นนานแต่พอถูกละลายลงในสายน้ำก็ไม่หลงเหลือแม้เศษเส้นใยให้เหนี่ยวรั้งไว้ นางไม่คิดเลยว่าเพียงแค่พบกับจางสือ บุรุษหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งจากร้านขายถั่วเหลือง หัวใจที่เคยนิ่งสงบกลับเต้นกระหน่ำรัวราวกับกลับไปเป็นดรุณีน้อยที่เพิ่งรู้จักคำว่ารักอีกครั้ง… แน่นอน…ว่านางอยากมีชีวิตที่สงบและเรียบง่าย ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายหรือแก่นแย่งชิงอำนาจกับผู้ใดทั้งสิ้น ทว่าหลี่เจิ้งเฉินกลับมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงหลี่อ๋อง…มีอำนาจในมือ วันข้างหน้าย่อมไม่อาจมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียวได้ แต่จางสือนั้น…กลับสามารถรักมั่นเพียงนาง ถึงแม้ฐานะเขาจะต่ำต้อยกว่าเพราะต้องเลี้ยงดูมารดา น้องสาว น้องชายและยังหาเช้ากินค่ำก็ช่างเถอะ… หากใจรักมั่น ไป๋เหยียนหลันเชื่อว่าสวรรค์ก็ต้องเมตตาให้ชีวิตคู่ของนางและเขาราบรื่นเป็นแน่ “เหยียนหลันรีบกินขาหมูตุ๋นร้อนๆ นี่ก่อนเถิด” น้ำเสียงของจางฮูหยินเอ่ยดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มประจบประแจ้ง นางได้ยินข่าวมาว่าคุณหนูไป๋จากร้านน้ำเต้าหู้ตรงประตูเมืองผู้นี้ติดตามบุตรชายมาด้วยเงินติดตัวจำนวนมาก…ดังนั้น จึงรีบเอาใจราวกับเห็นแก้วแหวนเงินทองมาเคาะประตู! นี่เลยว่าโชคหล่นทับได้หรือไม่!? เกรงว่าสวรรค์คงเห็นความลำบาก นับตั้งแต่สามีด่วนจากไปนั้น…ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางต้องอบรมสั่งสอนบุตรทั้งสามมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของไป๋เหยียนหลันคลี่ยิ้มบางๆ น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมา “รบกวนท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ” หากฟังให้ดี ย่อมจับได้ถึงความเยือกเย็นที่แฝงอยู่ในรอยยิ้ม จางสือเหลือบตามองมารดาราวกับส่งสัญญาณบางอย่าง ก่อนจะหันมาทางคนรัก เอ่ยเสียงทุ้มอ่อนโยน “ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่…ว่ามารดาของข้านางใจดีนัก ย่อมรักและเอ็นดูเจ้าเสมือนบุตรสาวในไส้ผู้หนึ่งแน่นอน” “ใช่เจ้าค่ะ!” จางเยว่ผู้เป็นน้องสาวของจางสือรีบเอ่ยเสียงหวานทันที “หากพี่ชายของข้ารักท่าน…พวกเราก็รักท่านด้วยเช่นกัน!” เพล้ง! ทันใดนั้น จู่ๆ กลับมีเสียงตะเกียบไม้กระแทกโต๊ะก็ดังขึ้น จางเวิ่น…น้องชายอีกคนของจางสือพลางถอนหายใจฟึดฟัดคล้ายไม่พอใจ ใบหน้าบึ้งตึงฉายออกมาอย่างชัดเจน เขาแค่นเสียงด้วยความไม่สบอารมณ์ “เหอะ! หากมัวแต่ประจบกันไปมาเช่นนี้ เมื่อไหร่จะได้กินเสียที!” จางฮูหยินหัวเราะกลบเกลื่อนออกมาทันที นางหันขวับถลึงตามองคล้ายไม่พอใจ พลางเอ่ยปรามบุตรชาย “เวิ่นเอ๋อร์!...ระวังคำพูดเสียบ้าง อย่างไรแม่นางผู้นี้ก็คือคนรักของพี่ชายเจ้า วันหน้าย่อมเป็นพี่สะใภ้” นางพูดด้วยใบหน้าใจดี หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจที่เผยออกมาเพียงครู่หนึ่งก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นดุจมารดาใจดีดั่งพระแม่กวนอิมที่ใครก็ยากปฏิเสธได้ จะให้บุตรชายไม่รู้ความผู้นี้มาทำเสียเรื่องไม่ได้! “…” ไป๋เหยียนหลันยกยิ้มเล็กน้อย หาได้เอ่ยสิ่งใด นางคีบหมูตุ๋นที่จางสือตักใส่ชามให้อย่างเชื่องช้า ไฉนนางจะมองไม่ออกเล่า…ว่าความหวังดีที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวในยามนี้ ล้วนเคลือบไว้ด้วยทองคำมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ “ท่านแม่นั่งลงกินก่อนเถอะ…หากเย็นชืด ข้าเกรงว่าจะไม่อร่อยเอาได้” น้ำเสียงทุ้มของจางสือกล่าวกับมารดาอย่างอ่อนโยนราวกับเป็นบุตรชายที่กตัญญูรู้ความ จางฮูหยินพยักหน้า ก่อนนั่งลงตรงข้ามไป๋เหยียนหลิน นางกวาดสายตามองถุงเงินที่ตั้งอยู่ริมผนังมุมห้อง ถุงผ้านั้นถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา แม้จะไม่มีผู้ใดเปิดดูแต่รูปลักษณ์กลับฟ้องชัดอันแน่นเต็มไปด้วยเงินทองด้านในไม่ใช่น้อย เรื่องนี้จางสือ…บุตรชายของนางกล่าวว่าเห็นกับตา! “เหยียนหลัน…” ฮูหยินชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมตักผักดองใส่ชามข้าวของไป๋เหยียนหลันอย่างเอาอกเอาใจ “ฐานะของสกุลจางก็ยากจน ข้าวปลาอาหารแต่ละมื้อที่กินยังต้องคิดแล้วคิดอีก…” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้มใจดีอย่างคนเมตตา หากแต่สายตากลับเหลือบมองถุงเงินใบโตซึ่งวางอยู่ใกล้ร่างของไป๋เหยียนหลันครั้งแล้วตาลุกวาว “แต่หากเหยียนหลัน อยากอยู่ที่นี่นานเท่าใด...ก็ตามใจเถอะ อยู่ให้นานที่สุดเท่าที่ใจเจ้าต้องการ อย่างไรเสียจวนหลังนี้ถือเป็นบ้านของเจ้าแล้ว” น้ำเสียงนุ่มหวานนั้นดูเหมือนซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทว่าในใจของจางฮูหยินกลับคำนวณผลประโยชน์จากแขกคนพิเศษผู้นี้แทบทุกลมหายใจเข้าออก จะให้ขาดทุนไม่ได้เด็ดขาด! ไป๋เหยียนหลันหันไปสบตานางด้วยรอยยิ้มบางๆ “หากท่านแม่ขาดเหลือสิ่งใดก็จดลงในรายงานแล้วนำมาให้ข้าเถอะเจ้าค่ะ” เรื่องนี้นางพอเข้าใจได้และหาใช่เรื่องใหญ่อันใด อย่างไรเสียวันข้างหน้านางย่อมกลายเป็นสะใภ้อยู่แล้ว จางสือเงยหน้าขึ้นสบตานางทันที ดวงตาเปล่งประกายวูบไหวเพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนที่เขาจะหันไปกล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ท่านแม่เรื่องค่าใช้จ่ายภายในจวนเป็นหน้าที่ของบุรุษ…ลูกในฐานะผู้นำ ย่อมไม่อาจปล่อยให้เหยียนหลันต้องลำบากจัดการสิ่งเหล่านี้ได้” เขาพูดพลางปรายตากลับมองไปยังไป๋เหยียนหลันด้วยแววตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ ไป๋เหยียนหลันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยนออกมา นางรับรู้ได้ถึงความใส่ใจและจิตใจงดงามของจางสือเพราะเขาเป็นเช่นนี้อย่างไร ทั้งอ่อนน้อม ถ่อมตนและไม่เคยคิดเอาเปรียบหรือบังคับใจผู้ใด นางจึง...ตกหลุมรักเขาอย่างไม่รู้ตัว น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น “เรื่องเช่นนี้...ข้าเต็มใจ” จางฮูหยินระบายยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของสตรีตรงหน้า นางพลางเอื้อมมือไปแตะหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ ด้วยแววตาเมตตาเอ็นดูเต็มเปี่ยม “นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่าเอ็นดูเสียยิ่งนัก! ทั้งไม่ถือตัวและไม่รังเกียจสกุลจางของพวกเรา…ข้ารู้สึกชื่นใจแทนจางสือยิ่งนัก” จางเยว่กล่าวต่อจากมารดาอย่างรู้ความ “น่าอิจฉาพี่ใหญ่จริงๆ ที่ได้สตรีงดงามทั้งจิตใจและรูปโฉม!” ใบหน้าของจางฮูหยินยังคงปรากฏรอยยิ้มจางๆ ด้วยความอ่อนโยน ทว่าสายตาของนางนั้นกลับเหลือบไปมองห่อเงินครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่อาจปิดบังความโลภได้ จวนสกุลจางกำลังจะร่ำรวยแล้ว! ยามซวี (19.00 – 21.00 น.) เรือนบรรพชลในจวนหลี่อ๋องแม้มิใช่สถานที่หรูหราอันใด หากแต่กลับเป็นที่ต้องห้ามที่มีความหมายทางใจ…ภายในเรือนแทบไม่มีเครื่องตกแต่งหรือสมบัติอันมีค่าให้โจรผู้ใดอยากลอบเข้ามาขโมยไป หากแต่เพราะใช้เป็นที่เก็บรักษาสิ่งที่หลี่เจิ้งเฉินให้ความสำคัญจึงออกแบบให้มีเพียงทางเข้าเพียงหนึ่งเดียว แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มี มีเพียงช่องระบายอากาศสูงติดเพดานเล็กน้อยเท่านั้น…ทั้งอับชื้นและคับแคบ อากาศภายในคงอุดอู้แทบหายใจไม่ออก ไป๋ซูเหยาถูกขังอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ยามสายของวัน จนกระทั่งฟ้าสีครามกลายเป็นม่วงคล้ำ นางยังไม่ได้กินแม้แต่ข้าวสักเม็ด ใบหน้าคนงามเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เรือนผมยุ่งเหยิงและริมฝีปากก็แห้งผาก นางทรุดตัวลงนั่งพิงผนังเย็นชืด หลับตาลงเพียงชั่วครู่ข่มความรู้สึกอ่อนล้าในใจ ทว่าภาพของหลี่เจิ้งเฉินที่ฉุดกระชากลากดึงนางด้วยความโมโหกลับยังติดอยู่ในหัวไม่เลือน บุรุษผู้นั้น…ไร้สติ บ้าอำนาจและไร้เหตุผลเป็นที่สุด! ไป๋ซูเหยากัดฟันแน่น มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อเอาไว้แน่น หากมีโอกาสเมื่อใดนางเอาคืนอย่างสาสมแน่! สถานการณ์ในยามนี้นับว่าย่ำแย่ไม่น้อย สาวใช้ในจวนไม่ว่าผู้ใดต่างก็พากันสงสารและเห็นใจพระชายาทั้งสิ้น พวกนางนำถาดขนม น้ำชาและอาหารมาหมายจะนำเข้าไปให้ทว่ากลับไร้หนทาง ประตูเรือนบรรพชลถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาและมีเพียงผู้เป็นนายเท่านั้นที่เปิดได้ ยิ่งกว่านั้นแล้ว ตั้งแต่ยามสายจนกระทั่งพลบค่ำ หลี่อ๋องออกจากจวนไปยังไม่กลับมาอีกเลย หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป…เกรงว่าพระชายาคงต้องทรุดหนักเป็นแน่ แม่บ้านผู้อาวุโสยืนอยู่ด้านหน้าประตู สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม หากจะปล่อยนิ่งเฉยก็สุดแสนจะทนดูได้ นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวเสียงหนักแน่น “ไป! นำของใดก็ได้มาตัดกลอนเหล็กนี่เสีย!” สาวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันขวับมองด้วยความตกใจ บางคนก็เอ่ยถามอย่างหวาดหวั่น “แม่บ้าน…ท่านจะทำสิ่งใดกันหรือเจ้าคะ” แม่บ้านเม้มริมฝีปากแน่นก่อนกล่าวเสียงต่ำแต่หนักแน่น“เหอะ! ข้าจะช่วยพระชายา หลี่อ๋องผู้นั้นใจร้ายเกินไปแล้ว!” “กล้าขัดคำสั่งข้าแล้วอย่างนั้นหรือ…”ลมพัดเฉี่ยวผ่านหน้าต่างเรือนเล็กเก่าโทรม เสียงกระเบื้องหลังคากระทบกันแผ่วเบา ราวกับจะสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกินกระดูกจนลึกถึงหัวใจ ภายในห้องนั้น เงียบสงัด…ไป๋เหยียนหลันนั่งพิงหัวเตียงเก่า มือทั้งสองลูบหน้าท้องที่ป่องที่ใกล้คลอดเต็มที แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเต็มทีทว่านางกลับต้องลุกขึ้นจัดของใช้และคอยปรนนิบัติจางสือ แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องสะท้อนเงาบนใบหน้าคนงามที่ซีดเผือด ผมยาวสยายกลางหลังดูยุ่งเหยิงไร้การบำรุงหรือดูแลใส่ใจ ทั้งยังสวมใส่อาภรณ์ใหญ่สีซีด มีรอยปะชุนให้เห็นเด่นชัด ดวงตาที่เคยเปล่งประกายอวดดี บัดนี้หม่นหมองราวเถ้าถ่านไฟที่มอดดับ ว่ากันตามตรงแล้ว นับตั้งแต่นางตั้งครรภ์อ่อนๆ จนกระทั่งใกล้คลอด ไป๋เหยียนหลันก็ยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่ นอนหลับไม่เต็มอิ่มลุกขึ้นทำหน้าที่ปรนนิบัติสามีทุกเช้า นางต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดและเข้านอนหลังเขาเสมอ แม้เขาจะสนใจและเหลียวแลนางอยู่บ้างแต่ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากจวนไป นางก็ไม่ต่างอันใดจากอยู่ผู้เดียวเพียงลำพัง แม้ในจวนสกุลจางจะมีทั้งจางฮูหยิน น้องสาวและน้องชายของเขาอยู่พร้อมหน้า แต่นับจากวันที่นางมีปากเสียงปะทะคารมกับจางฮูหยินครั้งนั้นก
ค่ำคืนนี้เงียบงัน ท้องฟ้ามืดมิดสนิทไร้แสงจันทราสาดส่อง ทั่วทั้งจวนต่างดับตะเกียงมืดสนิท เหล่าสาวใช้พากันปิดเรือนนอนหลับพักผ่อนทว่าภายในเรือนหลังหนึ่งกลับยังคงสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง บรรยากาศภายในเรือนเงียบสงัดมีเพียงเสียงพู่กันขูดลงบนกระดาษสาก ไป๋ซูเหยานั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง…หลี่เจิ้งเฉินนั่งอีกฝั่ง ดวงตาคมกริบจับจ้องปลายพู่กันของนางนิ่งๆ หาเอ่ยขัดแม้สักคำ ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีที่เคยพูดว่าอ่านเขียนหนังสือไม่ค่อยคล่อง แต่ไฉนยามนี้ลายมือที่ตวัดลงกระดาษกลับงดงามเรียบร้อยยิ่งกว่าอักษรของขุนนางบางคนในราชสำนักเสียอีก หลี่เจิ้งเฉินนั่งเหยียดหลังตรง ท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับว่ากำลังรอคำพิพากษา “นี่จะเป็นสัญญาระหว่างเรา” ไป๋ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่ากลับเย็นเยียบเสียจนแม้แต่คนฟังก็ยังรู้สึกขนลุกซู่ ปลายพู่กันยังคงตวัดตัวอักษรอย่างมั่นคง ก่อนที่ครู่ต่อมา…นางจะเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับบุรุษตรงหน้าพอดี ใบหน้าของหลี่เจิ้งเฉินปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ทว่าทันใดนั้น…หัวใจกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ หลี่เจิ้งเฉินรู้สึกประหม่าไม่น้อย “หนึ่ง! อำนาจในจวนหลี่ทั้งหมดจะอยู่ในมือของข้า ไม่ว่าข้า
ไป๋เหยียนหลันย่อมรู้สึกเสียหน้าและเสียเกียรติอย่างรุนแรง ราวกับว่ายามนี้ นางกลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกหลี่เจิ้งเฉินทอดทิ้งอย่างน่าอดสูและเวทนา!นางไม่มีวันยอม!หากจะจบ…เช่นนั้นนางจะเป็นฝ่ายทิ้งเขาเอง!“กรี๊ดดด! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านกล้าดียังไง!”ใบหน้าคนงามทั้งแดงก่ำทั้งซีดเขียวเพราะโทสะ มือข้างทั้งสองกำแน่นจนสั่น นัยน์ตาคู่งามลุกวาวด้วยเพลิงโทสะราวกับเปลวไฟที่โหมลุกโชนขึ้นท่ามกลางเหมันต์ฤดูแม้แต่ไป๋ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างกันยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบยกมือทาบอก สูดลมหายใจอย่างร้อนรนแล้วเอ่ยเสียงสั่นเครือ “เหยียนหลัน…พอเถิด! อย่าให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลย!”ไป๋เหยียนหลันหรือจะยอมง่ายๆนางหันขวับไปมองมารดาด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว หาได้เอ่ยอันใดออกมา ก่อนจะปรายกลับไปมองหลี่เจิ้งเฉินอีกครั้ง “กรี๊ดดด! ข้าไม่ยอม! หลี่เจิ้งเฉิน! ท่านไม่มีสิทธิ์เดินหนีข้าเช่นนี้!”น้ำเสียงแหลมคล้ายจะบาดแก้วหูดังลั่น ทำเอาเหล่าสาวใช้รอบบริเวณสะดุ้งเฮือก ต่างพากันยกมือทาบอกด้วยความตกตะลึงบางคนยังอดกระซิบไม่ได้ว่า…แท้จริงแล้วหากวันนั้นไม่มีเรื่องราวผิดพลาด คุณหนูไป๋ผู้นี้ก็คงได้ขึ้นเกี้ยวแต่งเข้ามาเป็นพระ
หากไม่อยากถูกนางทอดทิ้งจริงๆ เกรงว่าหลี่เจิ้งเฉินก็คงต้องรีบสะสางเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียทีหลี่เจิ้งเฉินชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ความรู้สึกคล้ายหนามแหลมทิ่มกลางอกทำเอาเขารู้สึกสะดุ้ง สายตาคมกริบมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ เขากระแอมไอเล็กน้อยคล้ายจะกลบเกลื่อน ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ“วางใจเถอะ…”ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ…ไป๋ซูเหยาก็สวนกลับทันควัน น้ำเสียงหวานแฝงความดื้อดึง เอาแต่ใจและไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้ นางเชิดหน้าขึ้น สายตาตวัดมองเขาอย่างไม่ยอมลดละ“วางใจหรือ…หากท่านจัดการกับไป๋เหยียนหลันได้เมื่อไหร่ และทำสัญญากับข้าได้เมื่อใด ข้าถึงจะวางใจได้!”ทำสัญญา…?หมายความว่าอย่างไรกันหลี่เจิ้งเฉินขมวดคิ้วมุ่นทันที คำถามผุดขึ้นในหัว เขาเลิกคิ้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้ม “สัญญาอะไรหรือ”ไป๋ซูเหยาสะบัดหน้าหันหนีทันที แววตาเรียบเฉยหากลึกลงด้วยความตัดพ้อนางเอ่ยเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่คิดจะยกเรื่องนี้ขึ้นถกเถียง “ก่อนอื่น…ท่านควรไปจัดการไป๋เหยียนหลันของท่านให้เรียบร้อยเสียก่อนจะดีกว่าก่อนที่ข้าจะเก็บของเสร็จสิ้น…ถึงตอนนั้น ข้าถึงจะยอมพูดถึงสัญญาที่ท่านอยากได้ยิน!”ยามเฉิน (07.00 – 09
โจวตงหยางหน้ามองอยู่ข้างนอกประตูมุมปากหนาโค้งยกยิ้มเยาะอย่างดูแคลน เขาหัวเราะเย็นชาพลางเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า“หลี่อ๋องจะหย่าภรรยาแล้วรึ…” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามทว่าเพียงชั่วอึดใจ โจวตงหยางกลับชะงัก หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถ้อยคำเมื่อครู่ผิดแปลกไป เขาเลิกคิ้วถามย้อนเสียงเรียบ พลางหลุบสายตาต่ำมองเศษหนังสือหย่าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น“หรือหากจะพูดให้ถูก…คงต้องกล่าวว่าถูกภรรยาหย่าขาดเสียมากกว่าใช่หรือไม่”เดิมทีหลี่เจิ้งเฉินก็หาได้อารมณ์ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดแทงใจเข้าไป ใบหน้ายิ่งเคร่งขรึมลงไปอีกสิบส่วน เขาเงยหน้าขึ้น สายตาเย็นยะเยือก “หึ! หากข้าหย่าภรรยาแล้วเล่า คุณชายโจวจะอาสาแต่งเข้าจวนหลี่อ๋องเองกระนั้นหรือ”น้ำเสียงทุ้มเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและประชดประชันโจวตงหยางหัวเราะแค่นในลำคอทันที “เหอะ! เกรงว่าคงไม่ใช่เพียงข้าผู้เดียวหรอกกระมัง…ที่อยากเป็นภรรยาหลี่อ๋อง”พอได้ยินถ้อยคำนั้น หลี่เจิ้งเฉินเข้าใจความหมายได้ทันทีเขาถอนหายใจยาวราวจะระบายความอัดอั้นในอก ทว่าก้อนหินนับพันยังทับหัวใจจนหนักหน่วง“นาง…เป็นภรรยาของข้า”โจวตงหยางเลิกคิ้วขึ้น สายตากรุ้มกริ่มหากแฝงเย
ผู้ใดจะรับรู้ความเจ็บปวดได้ลึกซึ้ง หากมิใช่ผู้ที่กำลังเผชิญ หน้ากับรัก…แม้มีวาสนาได้พบพานทว่ากลับไร้วาสนาได้อยู่เคียงข้างไป๋เหยียนหลันหัวเราะเย็นชาในลำคอ ราวกับเป็นเรื่องตลกขบขัน นางโน้มตัวลงช้าๆ ก้มใบหน้าเพ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาคมกริบของหลี่เจิ้งเฉิน ปลายนิ้วเรียวเชยคางเขาขึ้นอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่ว หากแต่แฝงด้วยความเยียบเย็นจนฟังแล้วต้องขนลุกซู่ “หากกล่าวว่าข้าเป็นภรรยาของท่าน…แล้วสตรีผู้นั้นเล่า ทั้งที่ท่านรักใคร่นางอย่างลึกซึ้ง ถักทอสานต่อด้ายแดงมาด้วยกันเนิ่นนาน ทว่ายามนี้กลับขาดสะบั้นเพราะข้างั้นหรือ”มุมปากของนางเหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยันและดูแคลนก่อนจะกล่าวอีกครั้ง “ไฉนจิตใจของบุรุษถึงได้ผันเปลี่ยนง่ายดายนัก”ทว่าหลี่เจิ้งเฉินหรือจะสนใจฟัง ยามนี้ใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้น หัวใจแกร่งพลันเต้นกระหน่ำอย่างควบคุมไม่อยู่กลิ่นหอมอ่อนจางๆ ของสตรีตรงหน้าโชยมาชวนให้นึกถึงค่ำคืนนั้น...ภาพเรือนอรชรงดงามภายใต้แสงสลัวแวบเข้ามาในหัวเขาอย่างไม่รู้ตัวหลี่เจิ้งเฉินจ้องมองอย่างหลงใหล…ราวกับตกอยู่ในภวังค์“เหอะ!” ไป๋ซูเหยาแค่นเสียง หดมือกลับ ก่อนจะถอยออกห่างอย่