จูมี่เอินจมอยู่กับความทุกข์เรื่องของอาจารย์นานหลายวัน ศิษย์พี่ที่เห็นนางมาแต่เล็กก็พากันเห็นความผิดปกตินี้ของนาง บางคนถึงกลับเข้าไปในตัวหมู่บ้านนำขนมติดมือกลับมาให้นาง บางคนก็ช่วยนางทำความสะอาดอารามทั้งหมดไม่ให้นางเหนื่อยคนเดียว จูมี่เอินรับรู้ความปรารถนาดีทั้งหมดของพวกเขาได้ จึงพยายามทำตัวเป็นปกติ
แล้ววันนั้นศิษย์พี่เอ้อร์ที่ออกไปปัดเป่าทำพิธีในหมู่บ้านก็กลับมาแจ้งข่าวว่าวังหลวงมีการจัดพิธีขึ้นที่หมู่บ้านที่อารามของพวกเขาตั้งอยู่ มีการส่งข่าวมาให้พวกเขาเข้าร่วมพิธีขอฝนในอีกสามวันข้างหน้าที่ลานกลางหมู่บ้านซึ่งกำลังจะเตรียมพื้นที่อยู่ตอนนี้
"มีนักบวชจากอารามอื่นมาด้วยรึไม่?" จูมี่เอินรู้ว่าพิธีขอฝนนั้นต้องทำเช่นไร ยามปกติใช้นักบวชไม่กี่คนก็ได้ แต่หากเป็นพิธีของวังหลวงไม่แน่ว่าคนของอารามแห่งนี้อาจไม่พอ ขึ้นอยู่กับทางนักบวชหลวงเป็นผู้กำหนด
"ใช่ ครั้งนี้ใช้นักบวชยี่สิบสี่คน" ศิษย์พี่เอ้อร์บอกก่อนจะขอตัวไปหาอาจารย์ของตนเพื่อแจ้งข่าวให้เขาทราบ
จูมี่เอินก้มหน้าลงใช้ความคิด เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่วังหลวงมาจัดพิธีในหมู่บ้านจิ้งของนาง เพราะที่แห่งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างห่างไกลจากวังหลวงมาก ต้องใช้เวลาเดินถึงหกวัน
แต่ที่นางได้เรียนรู้มาตลอดหลายปีนั้นก็คือนักบวชหลวงจะเป็นผู้กำหนดสถานที่ร่วมกับท่านโหราศาตร์ของวังหลวง พวกเขาทำนายถึงพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการทำพิธีครั้งใหญ่ทุกปี ยามนี้ฝนไม่ตกมาถึงสองฤดูกาลแล้ว ชาวบ้านต่างขาดแคลนน้ำ มีการทำพิธีถึงสองครั้งแต่ก็ไร้ผล ปีนี้เป็นปีที่สามหากไม่ได้ผลอีกเกรงว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เพิ่งได้ขึ้นครองราชย์มาสองปีนั้นต้องเป็นที่กล่าวถึงในทางไม่ดีแน่
แม้นางจะอยู่ห่างไกลแต่ก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์มาบ้าง สองปีก่อนเป็นปีที่นางมีพิธีปักปิ่นยามนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ ฮ่องเต้สวรรคตจากไปด้วยโรคร้าย องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ยามนั้นนางมองเห็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของวังหลวง เป็นครั้งแรกที่เห็นการเสียชีวิตของคนที่อยู่ไกลขนาดนั้น ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ได้จากไปจากโรคร้ายหากกลับถูกวางยาพิษ แต่จูมี่เอินไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่มีใครที่เชื่อนางเป็นแน่
รอบนี้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกเลือกแล้ว นางหวังว่าฝนจะตกตามฤดูกาลเสียที
สองวันต่อจากนั้น นางช่วยศิษย์พี่และอาจารย์เตรียมตัวไปทำพิธี เพราะจะมีการซ้อมพิธีก่อนวันจริงหนึ่งวันเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจากการทำพีธีต่อหน้าฮ่องเต้
จูมี่เอินยามนี้สวมชุดสีเทาอ่อนคล้ายชุดของเหล่าศิษย์พี่ที่สวมใส่กันทุกวัน เป็นเนื้อผ้าบางเบาไม่เหมือนชุดปกติที่นางใส่ อาภรณ์ชุดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุดที่นางเก็บไว้ไม่เอาออกมาสวมในยามปกติ ชุดที่นางสวมมาตลอดเป็นผ้าหยาบแบบเดียวกับของพวกชาวนา แม้จะหยาบและหนาแต่ทนต่อการใช้งานมากนางจึงมักสวมแต่ชุดพวกนั้นมาตลอด บนศรีษะยังสวมหมวกโต่วลี่ [1] สี่ขาว เพราะเป็นครั้งแรกที่นางเดินทางลงมาที่หมู่บ้านด้วยตนเอง อาจารย์ของนางจึงมอบหมวกใบนี้ให้เพราะรู้ว่านางอาจเกิดความประหม่าได้ ^(*โต่วลี่ หมวกสานแบบมีผ้าคลุมปิดหน้า)
ส่วนศิษย์พี่และอาจารย์ของนางในวันนี้ใส่ชุดขาวดิ้นทองของราชวงศ์ส่งมาให้เมื่อวันก่อน ยามนี้ได้มองพวกเขาจากที่ไกลๆ ซ้อมพิธีขอฝน ความยิ่งใหญ่ที่เพิ่งเคยได้เห็นครั้งแรกอดทำให้นางตื่นตาตื่นใจไม่ได้ มีทั้งนางรำ กลอง ดนตรี ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นคนอื่นในหมู่บ้านก็ต่างพอกันมาดู ทั้งนางยังได้ยินชาวบ้านบอกว่าพรุ่งนี้คงมีคนจากหมู่บ้านอื่นมาด้วย มาต้อนรับฮ่องเต้ที่นานครั้งจะออกจากวังหลวง ก็คิดว่าพรุ่งนี้คงน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่านี้
หญิงสาวข้างกายนางยังคงพูดถึงฮ่องเต้ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าว่า
"ได้ยินว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา พรุ่งนี้ข้าจะแต่งตัวให้สวยที่สุด หากต้องตาต้องใจฝ่าบาทเข้าข้าอาจมีบุญวาสนาได้เป็นสนมของพระองค์"
"ข้าด้วยๆ ได้ยินว่าพระองค์มีสนมในวังหลายคนแต่กลับไม่มีใครเป็นที่โปรดปรานเลยสักคน หากเข้าไปได้และเป็นที่รักของฝ่าบาทยามนั้นไม่แน่ข้าอาจได้เป็นฮองเฮาของแคว้น!"
"เจ้าก็หวังสูงเกินไป แค่จะได้เป็นสนมก็มากพอแล้ว เราเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาต่อให้พระองค์ทรงชื่นชอบเพียงใดก็ไม่อาจเป็นฮองเฮาของแคว้นได้ พวกเรามิได้เป็นลูกของคนใหญ่คนโตเสียหน่อย"
จูมี่เอินไม่ได้อยากร่วมวงสนทนากับหญิงสาวกลุ่มนั้น นางรักความสงบอยากอยู่เงียบๆ เลยหลบออกมาอยู่ที่เนินไกลๆ แต่หญิงสาวพวกนี้กลับมาตามมาเสียได้ ทั้งพากันคุยเรื่องราวมากมายจนจูมี่เอินแทบจะจับใจความไม่ทัน เสียงก็ไม่ใช่เบาๆ หากอยู่ไกลไปหลายจั้ง [2] ก็ยังคงได้ยินแน่ๆ ^(จั้ง หน่วยวัดความความยาวของจีน 1 จั้งเท่ากับ 3.33 เมตรโดยประมาณ)
จูมี่เอินยกมือขึ้นเปิดผ้าออกอีกเล็กน้อยมองการทำพิธีต่อ เนินดินที่นางอยู่สูงห่างจากประรำพิธีอยู่มาก เมื่อนางมองลงไปกลับได้เห็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งอยู่เบื้องล่างของทางเดินไปที่แท่นพิธีกรรม ข้างกายมีคนติดตามอีกหลายคน ความแต่งต่างของเสื้อผ้าชนชั้นสูงกับชาวบ้านนั้นดูออกได้ไม่อยาก เดาได้ว่านางไม่ใช่คนในหมู่บ้าน คาดว่าอาจเป็นลูกของขุนนางบางคน
นอกจากหญิงสาวนางนั้นแล้วที่จูมี่เอินสนใจก็คงเป็นนักบวชหลวงที่เดินทางมาซ้อมพิธีล่วงหน้าก่อนฮ่องเต้หนึ่งวัน ท่าทางของเขามีสง่า ดูสงบร่มเย็นคล้ายอาจารย์ของนางเก้าส่วน อีกส่วนนางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของเขา เป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในวังหลวงรึไม่ถึงได้ถูกขัดเกลาให้เป็นเช่นนั้น
อาจารย์ลู่ของนางมีความเมตตาต่อสัตว์โลก นั้นจึงทำให้นางรู้สึกว่าทั้งสองคนนั้นต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความน่าเลื่อมใสจริงๆ เห็นแล้วก็ได้แต่ถอดถอนใจ อยากเป็นผู้ที่ได้ไปอยู่ในการทำพิธีบ้าง แน่นอนว่าสตรีมักถูกมองข้ามเสมอ ต่อให้นางเป็นนักบวชหญิงแต่บางทีก็คงไม่อาจได้มีโอกาสไปยืนทำพิธีขอฝนที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นได้
ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม
เสียงกลองยังคงดังต่อเนื่อง จากนั้นเสียงดนตรีก็ดังขึ้น นางรำเดินออกมารำ การร่ายรำไม่ได้ดูชดช้อยเหมือนการรำทั่วไป แต่กับดูแล้วทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก จูมี่เอินเห็นแล้วก็คิดว่าการทำพิธีพรุ่งนี้น่าจะเกิดผลไม่มีอะไรน่าเป็นกังวล
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา