หน้าหลัก / รักโบราณ / ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช / ตอนที่ 9 คนจากไปไม่ร้อง คนอยู่กลับร้องแทน

แชร์

ตอนที่ 9 คนจากไปไม่ร้อง คนอยู่กลับร้องแทน

ผู้เขียน: เสี่ยวเทีย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 23:48:41

     ผ่านไปหลายปีคล้ายเพียงชั่วครู่

     ยามนี้จูมี่เอินอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว หากนางเป็นสาวชาวบ้านปกติถ้าเลยวัยปักปิ่นคงถูกบิดามารดารีบพาไปหาบุรุษมาแต่งออกไปเป็นแน่ แต่นางเป็นคนของอาราม ต่อให้นางหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทาบทาม

     ความจริง...ก็มีมาบ้างนั้นแหละ นางงดงามถึงเพียงนี้ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องชมชอบ

     มีบางครั้งหนุ่มชาวบ้านก็มาตามจีบนาง แต่กับพบว่านางนั้นนิสัยคล้ายนักบวชเหลือเกิน พวกเขามาจีบนางกลับไม่รู้เรื่อง

     เทียวไปมาหาสู่นางอยู่ทุกวันแต่นางเล่าทำอันใด! นางกลับชวนพวกเขาบวชเข้าอารามด้วยเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขานั้นเลื่อมใสในทางเดินของลัทธิเต๋า จนเป็นบุรุษเหล่านั้นที่พากันถอดถอนใจไปแต่งสตรีอื่นเข้าบ้านแทน

     หลี่ลู่ซือยืนมองเด็กสาวโตเต็มวัยพร้อมออกเรือนกำลังขมักเขม้นกวาดใบไม้กลางลานเหมือนทุกวัน มองนางสวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเก่าๆ ที่มีเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็ปลงตกแทนนาง นางเหมาะจะเป็นนักบวชจริงๆ นั้นแหละ แต่หลี่ลู่ซือไม่อาจบวชให้นางได้สมใจปรารถนา

     เขานั้นเห็นเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งความตั้งใจในการบวชเรียนของนาง หากแต่เขายังไม่อาจตัดใจให้นางเป็นนักบวชหญิงได้ เขาคิดว่านางน่าจะมีชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพียงแค่รอเวลานางจากอารามไปเท่านั้น เดินไปตามทางที่ชะตาชีวิตของนางได้กำหนดไว้

     ยิ่งเมื่อมองดูบุรุษพวกนั้นที่มาตามจีบนาง ต่อให้เขาเป็นเพียงอาจารย์หาใช่บิดาของนางเขาก็ไม่อาจยกนางให้ใครไปได้ คนพวกนั้นหลงใหลเพียงรูปโฉมภายนอกของนาง พอได้รู้นิสัยกับพากันส่ายหน้าหนีไป ไม่ได้ชมชอบนางจากใจจริง ไม่ได้ชมชอบนางจากนิสัยของนาง

     หลี่ลู่ซือเองไม่ใช่ไม่กังวลที่จูมี่เอินเลยวัยปักปิ่นมานานแล้วกลับยังไม่แต่งไปบ้านใด หากช้ากว่านี้คงไม่มีใครอยากรับนางเข้าบ้านเป็นแน่

     แต่เมื่อมองจูมี่เอินแล้วนางคงไม่วิตกกังวลเรื่องนั้นเท่าไหร่ เป็นเขามากกว่าที่คิดแทนนาง ตัวเขานั้นบวชมานานควรจะเข้าใจทางโลกมากกว่านี้ แต่เรื่องบางเรื่องยังไม่อาจสู้นางได้เลย

     "อาจารย์ลู่!" ทันทีที่เห็นอาจารย์ออกมาจากห้องสวดมนต์นางก็ปรี่เข้ามาหาทันที

     นั่นไงมาอีกแล้ว หลี่ลู่ซือมองคนที่เดินพุ่งเข้ามาหาตน เวลานางเจอเขาหรือเหล่าศิษย์พี่ของนางท่าทางของนางมักจะซุกซนไม่เปลี่ยนจากยามเด็กเท่าไหร่ แต่ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ดูสุขุมมากจนคล้ายเทพเซียนลงมากวาดอารามให้มนุษย์

     แล้วตอนนั้นเขาบอกนางว่าเขาชื่อหลี่ลู่ซือ นางว่าเรียกยากขอเรียกอาจารย์ลู่พอ เขาบอกให้เรียกท่านนักบวช แต่จนแล้วจนรอดยังไงนางก็ไม่เคยเปลี่ยนคำเรียก จนศิษย์พี่ของนางเองก็พากันเรียกเขาตามนางไปด้วย เด็กน้อยดื้อรั้นในวันนั้นโตมาขนาดนี้ตอนไหนก็ไม่ทันได้สังเกต

     ไหนจะนิสัยชอบเรียกเขาตลอดเวลานั้นอีก ปกติไม่เจอหน้าก็เรียก ยามเจอไหนเลยจะอดที่จะเรียกไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน

     จูมี่เอินตัวเล็กแต่กลับว่องไวมาก ไม่นานก็มาถึงตัวหลี่ลู่ซือ

     "อาจารย์ลู่" นางทิ้งไม้กวาดในมือลงทันที จนมันล้มไปกระแทกพื้นดัง 'ปัก' แต่ก็หาใส่ใจไม่ กลับยกมือผสานเคารวะอาจารย์ตนเองด้วยรอยยิ้มสดใส เงยหน้ามองเขาที่อยู่บนอารามสูงกว่าตนหลายขั้นบันได

     พรึบๆ

     ทว่าแสงสีทองก็วาบผ่านดวงตาของนาง

     พรึบ

     จูมี่เอินกระพริบตาถี่ กลับสู่โลกของความจริง

     "ท่านอาจารย์..." นางเรียกเขาแผ่วเบา น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างไม่รู้ว่ามีมาตอนไหน แววตาวูบไหวระคนตกใจ มือที่ยกผสานอยู่ก็สั่นอย่างหวาดกลัว

     "ข้ารู้ คนเราเกิดมาย่อมต้องตาย" หลี่ลู่ซืออยู่ใกล้นางมาก เขาสามารถเห็นแสงสีทองในดวงตาของนางที่วาบผ่านได้อย่างชัดเจน เขาเองไม่รู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร มิได้มีพลังวิเศษเช่นนาง แต่ดวงตาตื่นตะหนกของนางที่มองมายังเขานั้นก็เดาได้ไม่ยาก วันเวลาของเขาคงใกล้จะหมดลงแล้ว

     เด็กสาวตัวเล็กชะงักค้างนิ่งงัน ไม่รู้ควรตกใจสิ่งใดก่อน ตกใจที่เห็นว่าคนที่คอยอบรมสั่งสอนนาง สอนพิธีกรรม สอนคาถา ให้ข้าวให้น้ำและที่พักพิงกับนางกำลังจะจากไป หรือควรจะตกใจที่เขารู้มาตลอดว่านางสามารถมองเห็นอนาคตได้ ไม่แน่ว่าเขาเองก็เห็นเหมือนกันถึงได้มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นนี้ใช่หรือไม่

     หลี่ลู่ซือมองใบหน้าของหญิงสาวที่มีน้ำตาไหลออกมา ไยคนจะตายกลับไม่ร้อง คนอยู่ถึงร้องเอง นี่คือสัจธรรมของโลกหรือ ผู้จากไปไม่เจ็บปวดกลับเป็นคนที่อยู่ที่เจ็บปวดแทน

     "ท่านก็มองเห็นอนาคตหรือท่านอาจารย์?" จูมี่เอินเค้นเสียงถามออกไปได้ในที่สุด น้ำเสียงนั้นแหบพร่าแทบฟังไม่ออกว่านางกล่าวสิ่งใด

     หลี่ลู่ซือส่ายหน้า

     "มี่เอินเจ้าเป็นคนที่มีชะตาที่ยิ่งใหญ่" ในเมื่อรู้ว่าตนจะไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ควรตัดสินใจพูดมาหลายปีก็ควรพูดเสียที "การที่เจ้ามีพรวิเศษหรือพลังวิเศษต่างจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด อย่าอยู่กับมันด้วยความกลัว จงเชื่อมั่นและใช้ชีวิตเถิด"

     "ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์" ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ได้ช่วยบุรุษผู้นั้นไว้นางก็ยอมรับพลังวิเศษนี้ของนางได้บางส่วนแล้ว เพียงแต่เมื่อเห็นชาวบ้านในนิมิตรแล้วนางก็ไม่ได้บอกอะไรพวกเขา เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเชื่อ ซ้ำยังจะทำให้คนรอบตัวนางลำบาก นางคิดว่าควรใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อคนที่เชื่อมั่นในตัวนางจะดีกว่า หลายปีที่ผ่านมาต่อให้เห็นนิมิตรก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกผู้ใดอีกเลย

     จูมี่เอินปาดน้ำตาของตนทิ้งไป ใช้ชีวิตที่นี่มานานได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลก รู้ว่าควรต้องปล่อยวาง หากแต่นางเองก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์องค์ใด ยิ่งไม่ใช่เทพเซียนยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ต่อให้ร่ำเรียนมาหลายปีในทางเต๋านางก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง เมื่อรู้ว่าอาจารย์ที่เป็นเหมือนบิดาอีกคนกำลังจะจากไปก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกของตนเองได้

     นางใช้ดวงตาคู่ที่มองเห็นอนาคตจ้องไปยังหลี่ลู่ซือที่อยู่สูงกว่าตน เขาเองหลุบตาลงต่ำมองมาที่นางพลางยกยิ้มบางเบาส่งมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ทุกข์ร้อน ทำให้จูมี่เอินจิตใจสงบลงได้บ้าง แต่ค่ำคืนนั้นก็ข่มตานอนได้ยากกว่าทุกวันจริงๆ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status