แชร์

ตอนที่ 14 นิมิตรที่พลิกชะตา

ผู้เขียน: เสี่ยวเทีย
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-26 23:51:53

     จูมี่เอินยืนก้มตัวรอรับขบวนเสด็จ ระหว่างรอนั้นที่หางตาก็เห็นผู้ที่เดินนำมาหน้าสุด ปลายอาภรณ์ของเขาเป็นสีทองสะท้อนกับแสงแดดจนแสบตา เจิดจ้าจนนางต้องหรี่ตาลงหลบแสงสีทองรอบตัวของคนผู้นั้น

     นี่สินะคือฮ่องเต้ของแคว้น คนที่มีบุญธิการเหนือผู้คนนับหมื่นนับแสน สมแล้วที่มีสายเลือดมังกร เพียงแค่เห็นปลายของฉลองพระองค์ยังทำให้ผู้คนหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้

     พรึบๆ

     จูมี่เอินภาวนาไม่ให้เห็นภาพนิมิตรตอนทำพิธีเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดั่งใจนึก

     ภาพนั้นชัดเจนแจ่มชัด เป็นครั้งที่สองที่เห็นสีสันเช่นนั้นในนิมิตรของตน

     นิมิตรที่นางเห็นคือบุรุษผู้นั้น ผู้ที่ทรงสวมอาภรณ์สีทองสว่างจนแสบตา นางมองเห็นแท่นพิธี ต่อมาก็เห็นแท่นพิธีพังลง ร่างสูงใหญ่เพียงร่างเดียวที่อยู่บนนั้นก็ตกลงไปด้วย เขาถูกแผ่นไม้ที่สร้างแท่นพิธีขึ้นมาทับถมหายไปในซากไม้ ยามนั้นก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่โดยไม่มีการตั้งเค้าจากฝนมาก่อน

     หมับ

     แต่ยังไม่ทันได้สติกลับมาจากในนิมิตรดี ขาสั้นๆ ก็ก้าวออกมาแทรกผ่านนักบวชคนอื่นจากแถวหลังขึ้นมาด้านหน้าด้วยสัญชาตญาณ จูมี่เอินเอื้อมมือออกไปคว้าแขนคนนั้นๆ ที่กำลังจะเดินผ่านนางไป ยามนั้นเองนางก็เงยหน้าขึ้นโดยยังไร้สติที่ครบถ้วน

     เหรินโยว่หลุนที่ถูกรั้งไว้ก็ก้มมองลงมาด้วยสายตานิ่งเฉย แม้จะมีความประหลาดใจไม่น้อยแต่ก็ยังรักษาท่าทีไว้ได้ไม่ตกหล่น เพียงแค่สบถในใจว่า ใครมันช่างบัง... แต่เขาก็ยังไม่ทันได้นึกคำพูดในหัวได้จบก็นิ่งค้างไป ลืมคำพูดเหล่านั้นไปจนสิ้น เมื่อครู่เขาทันได้เห็นดวงตาสีทองสว่างของนักบวชหญิงเข้าพอดี

     เป็นนาง!

     ไม่มีทางที่เขาจะจำผิด สายตาคู่ที่มีแสงสีทองของเด็กหญิงตัวเล็กที่ช่วยเขาในวันนั้น เขาให้คนตามหานางมานานถึงสามปีแต่กลับไม่พบนางอยู่ในหมู่บ้านจิ้งแห่งนี้เลย แถวบริเวณหมู่บ้านโดยรอบก็ลองหาแล้วกลับไม่พบ ใครจะไปคิดว่าเด็กสาวคนนั้นกลับเป็นนักบวช! มิน่าที่เขาถึงตามหานางไม่เจอ

     เสียงกลองหยุดลง ผู้คนต่างตกใจเงยหน้าไปมองทางขบวนที่หยุดชะงัก เหล่านักบวชและชาวบ้านต่างเห็นกันหมดว่านักบวชหญิงกำลังรั้งแขนของฮ่องเต้ไว้อย่างใจกล้า

     พรึบๆ

     จูมี่เอินถูกดึงกลับมาแล้ว นางรีบพูดออกไปว่า

     "อย่าขึ้นไป อันตราย ฝนตกแน่" ด้วยความเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว พอสนทนากับคนที่ไม่สนิทก็พูดแต่เรื่องสำคัญ เมื่อพูดจบนางก็ได้สติกลับมาอย่างครบถ้วนมากกว่าเมื่อครู่ จึงรีบก้มหน้าลงเพราะรู้ตัวว่าคนที่นางรั้งไว้คือใคร!นางเห็นแค่แขนเสื้อของเขาก็รู้ได้ว่าเขาคือฮ่องเต้ของแคว้นนี้ คนที่นางไม่อาจจับต้องได้ตามใจชอบ

     แย่แล้ว ไยนางถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ยามปกตินางเห็นนิมิตรนางจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจคิด ทำไมครั้งนี้ถึงได้ทำอะไรเช่นนี้เล่า แถมคนตรงหน้าที่นางจับก็เป็นคนที่นางไม่ควรไปยุ่งด้วยมากที่สุดอีก

     "มี่เอิน เหตุใดเจ้า..." เหล่าศิษย์พี่ที่อยู่ห่างออกไปต่างพากันตกใจ นางทำให้พิธีการชะงัก ยามนี้ฮ่องเต้ควรเดินถึงแท่นพิธีแล้วแต่กลับโดนนางรั้งตัวไว้ ในใจของพวกเขาต่างร่ำร้องว่าซวยแล้วกันเป็นแถว

     'อ่ะ มือข้า' จูมี่เอินตกใจเพิ่งนึกได้ว่านางยังดึงเสื้อของคนตรงหน้าไว้อยู่จึงรีบดึงมือคืน

     หมับ

     เหรินโย่วหลุนคว้ามือเล็กที่กำแขนของตนไว้เมื่อรู้ว่านางกำลังจะดึงมือกลับไป มือหนึ่งที่ว่างก็ยกมือห้ามองค์รักษ์ของตนที่กำลังจะเข้ามากันนักบวชหญิงออกไป

     ด้านองครักษ์เห็นดังนั้นก็ก้าวถอยกลับไปยืนที่เดิม

     "ทำไมถึงไม่ให้ขึ้นไป?" เหรินโยว่หลุนถามนางออกไป ครานั้นเขารู้สึกว่านางแตกต่างจากผู้อื่น เมื่อได้เห็นดวงตาสีทองของนางอีกครั้งทำให้เขารู้ว่าเมื่อสามปีก่อนเขาไม่ได้ตาฟาดไป นางมีดวงตาสีทองจริงๆและการช่วยเหลือของนางในครั้งนั้นก็ทำให้เขารอดตายมาได้

     "แท่นพิธีไม่แข็งแรง เมื่อวานไม่มีใครขึ้นไปลองยืนบนนั้นเพราะเป็นที่ซึ่งฝ่าบาทเท่านั้นที่ขึ้นไปได้" หลังจากมีการตั้งกระถางธูปและเครื่องบวงสรวงแล้วก็ไม่มีใครขึ้นไปอีกเลย "ที่ขาของแท่นพิธีถูกเลื่อยตัดไว้ ไม่สามารถรับน้ำหนักได้เพิ่มอีกแล้ว" นางก้มตาลงต่ำรู้ตัวว่าทำอะไรพลาดไป คนตัวเล็กพยายามจะดึงมือตนเองกลับแต่ก็ไม่สามารถทำได้

     แล้วเหตุใดเขาถึงรั้งนางไว้ จังหวะนั้นนางลืมตัวเงยหน้ามองผู้ที่ดึงมือนางไว้ ก็ได้เห็นใบหน้าที่โดดเด่นเกินคนใคร นางจำเขาได้ทันที!

     เขาคือบุรุษผู้งดงามคนนั้นที่ตนเห็นเมื่อสามปีก่อน งั้นเขาก็คือฮ่องเต้!

     ในนิมิตรเมื่อครู่ที่นางเห็นก็เป็นตอนที่เขาหันหลังขึ้นไปบนแท่นพิธี ยามร่วงลงมาก็ไม่อาจเห็นหน้าเขาได้ชัด มารู้เอาตอนนี้เองว่าหน้าตาของฮ่องเต้นั้นเป็นเช่นไร

     เหรินโย่วหลุนเห็นความประหลาดใจในดวงตาของนางอย่างชัดเจน นางจำเขาได้? ถ้าหากเขาเป็นนางเขาเองก็คงตกใจเช่นกัน แต่พอเห็นเช่นนี้แล้วก็รู้ว่าที่นางเข้าหาเขาในตอนนั้นไม่ใช่เพราะรู้ฐานะของเขามาก่อน นางตั้งใจช่วยเขาไว้จริงๆ

     ดังนั้นเมื่อนางบอกถึงความผิดปกติของแท่นพิธีเขาก็เชื่อนางอย่างหมดใจ

     "ฝนจะตกตอนไหน" เขาอยากลองดู อยากรู้ว่าสิ่งที่ตนเชื่อในตัวนางนั้นถูกต้องรึไม่

     จูมี่เอินกระพริบตาถี่ด้วยความประหม่า หันมองไปที่แท่นพิธีก่อนจะหันกลับมามองเขา ตอนนี้ถ้านางไม่ดึงเขาไว้เขาคงขึ้นไปบนแท่นพิธีเรียบร้อยแล้ว จากนั้นบุรุษผู้สูงส่งคนนี้ก็จะตกลงมา แล้วฝนก็ตกลงใน...

     "ซาน เอ้อร์ อี" นางนับเลขถอยหลังให้เขาฟัง

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 8

    วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 7

    "เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 6

    ...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 5

    "เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 4

    ....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข

  • ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันเป็นนักบวช   ตอนพิเศษ 3

    ....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status