LOGINบทที่ 03
สิ่งที่ต้องเก็บซ่อน
วันเวลาล่วงเลยผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มาลารินเติบโตพร้อมกับความสุขที่มากขึ้น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ เธอก็รู้สึกเหมือนได้พบกับโลกใบใหม่ เพราะทุกคนที่นี่ใจดีกับเธอ แม้จะมีชลธิชาคอยแกล้งบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อน เพราะอีกฝ่ายก็เติบโตและนิ่งขึ้นพร้อมกับความสนใจที่เปลี่ยนไป ทำให้มาลารินไม่ต้องคอยหลบหลีกหรืออดทนเหมือนในวันแรก ๆ
บ่ายวันหนึ่งหลังจากทำการบ้านเสร็จ มาลารินเปิดประตูเข้าไปในบ้านพัก เธอก็ได้ยินเสียงไอแห้ง ๆ ตามด้วยเสียงอาเจียน หัวใจของเธอเต้นแรง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ
ขวัญเรือนนั่งฟุบอยู่ข้างชักโครก ใบหน้าซีดเผือด มือยันพื้นอย่างอ่อนแรง
“แม่! แม่เป็นอะไร!” มาลารินถลาเข้ามาประคองแม่ ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป
“ไม่เป็นไรลาริน แม่แค่เวียนหัว มาช่วยพยุงแม่หน่อย” ขวัญเรือนพยายามฝืนยิ้มให้ดูเหมือนไม่มีอะไร
มาลารินค่อย ๆ พยุงแม่ของเธอมานั่งที่โต๊ะ “แม่เป็นไงบ้าง?”
“พักแป๊บนึงก็ดีขึ้นแล้ว” ขวัญเรือนยังฝืนยิ้มออกมา
“เดี๋ยวหนูจะไปขอยายายจิตรมาให้” มาลารินบอกอย่างร้อนรน
“แม่กินยาแล้ว นี่ดีขึ้นแล้วเนี่ย เดี๋ยวจะไปช่วยในครัวเตรียมมื้อเย็น วันนี้วันอาทิตย์ คุณ ๆ เข้าไปทานข้าวที่เรือนใหญ่กับคุณท่านกัน”
“แม่พักดีกว่านะ หนูไปช่วยในครัวเองจ้ะ”
ขวัญเรือนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่มาลารินก็พูดซ้ำ ๆ ด้วยความเป็นห่วงว่าอยากให้แม่ได้พักผ่อน
เธอมองลูกสาวที่เดินออกมา ก่อนจะซบหน้ากับท่อนแขนของตัวเอง หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ขวัญเรือนรู้ดีว่า ความวิงเวียนและคลื่นไส้ที่โถมเข้ามาก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่อาการป่วยธรรมดา เพราะเธอจำได้ดีว่ามันคือความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธออุ้มท้องมาลาริน
เธอยกมือขึ้นแตะหน้าท้องของตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความกังวลแบะหวาดหวั่นระคนกัน ถ้าหากเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ ขวัญเรือนก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป...
สองสามวันมานี้ ขวัญเรือนขอลาป่วยกับสมจิตร ดังนั้นหลังจากที่เลิกเรียน มาลารินมักจะเข้าช่วยงานที่เรือนใหญ่แทนแม่ เธอทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว เพราะมักจะช่วยงานคนที่เรือนใหญ่เป็นประจำเสมอ
กลางดึกคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องพัก มาลารินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เธอพลิกตัวหาความอบอุ่นจากแม่ตามความเคยชิน ทว่าพื้นที่ข้างกายกลับว่างเปล่า
มาลารินลุกขึ้นท่ามกลางความมืด ใจหายวาบด้วยความเป็นห่วงแม่ เธอเปิดประตูออกไปนอกห้อง เดินไปยังสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านพักที่มักจะมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟสนาม
ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านใบไม้ เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาอยู่ไกล ๆ เด็กหญิงหยุดชะงัก เมื่อเห็นแม่ของเธอกับอิฐ พ่อของชวลิตดังเคียงคู่กัน
หัวใจของมาลารินเต้นถี่ เธอยืนหลบมุมอยู่หลังพุ่มไม้มองพวกเขาอย่างสงสัยในความสัมพันธ์
“ฉันได้ยินคนงานในบ้านคุยกันว่าเธอไม่สบาย เป็นอะไร?” อิฐถามขวัญเรือนอย่างห่วงใย
“ฉันท้องค่ะ...”
อิฐนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ขณะที่มาลารินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เสียงใบไม้ไหวกลายเป็นสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้
“แน่ใจนะ?” น้ำเสียงของอิฐเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ะ” ขวัญเรือนพยักหน้า
“ยืนทำอะไรตรงนี้ลาริน?”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้มาลารินสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองสมจิตรที่โผล่มาจากข้างหลัง
“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” สมจิตรมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง
มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาสะท้อนความสั่นไหวออกมา เธอรู้สึกมึนงงไปหมดกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน และโตพอที่จะคาดเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ฟังยายนะลาริน” สมจิตรวางมือบนบ่าเล็กของเธอ “ถ้าเอ็งไม่อยากให้แม่เอ็งเดือดร้อน ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจที่ยายพูดมั้ย?”
มาลารินเม้มปากแน่น น้ำตาคลอ เดินหันหลังกลับบ้านพักไปเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับเอาไว้ในใจ รู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวของแม่อย่างบอกไม่ถูก
สมจิตรหันไปมองที่สวนเล็ก ๆ ด้วยความหนักใจ ขณะที่บทสนทนาของพวกเขานั้นดังขึ้นอีก
“ขวัญ ฉันบอกตามตรงว่าเราจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้”
“คุณอิฐ!” ขวัญเรือนตกใจกับคำพูดของเขา เธอลุกขึ้นผละจากเขาทันที
“ขวัญ” อิฐเอื้อมมากุมมือเธอไว้ “ฉันไม่ได้จะทอดทิ้งเธอ แต่เราจะให้เด็กคนนี้เกิดมาได้ยังไง คุณแม่และตรีไม่มีทางยอมแน่ ๆ”
ขวัญเรือนพูดไม่ออก เธอค่อย ๆ ดึงมือออก เขามองเธอตาละห้อย
“ไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้นะคะ ฉันจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง ไม่ให้คุณเดือดร้อนแน่นอน”
ขวัญเรือนเดินหันหลังกลับไปยังห้องของตัวเอง ความผิดหวังและความเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของเธอ ไม่คิดว่าอิฐจะเอ่ยคำพูดไร้หัวใจแบบนั้นออกมาได้ ถึงแม้บอกเขาไปว่าเธอจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง แต่ตอนนี้ขวัญเรือนก็ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
วันต่อมา
มาลารินตื่นแต่เช้าเฉกเช่นทุกวัน เธอเตรียมตัวไปโรงเรียน แต่ไม่ยอมกินข้าวที่ขวัญเรือนนำมาให้ อีกทั้งก็ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมสบตา ขวัญเรือนมองออกว่าลูกมีเรื่องราวในใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน
สมจิตรมาหาขวัญเรือนที่บ้านพัก สีหน้าเคร่งเครียด ขวัญเรือนเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเมื่อคืนเธอคิดมากจนนอนไม่หลับ
“เมื่อคืนคุณอิฐมาหาเอ็งสินะ”
ขวัญเรือนก้มหน้าลง รู้สึกละอายใจต่อสมจิตร
“ไหนเอ็งรับปากว่าจะหยุดเรื่องนี้ไง ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องลุกลามบานปลายขนาดนี้กัน” สมจิตรเอ่ยเสียงเครียด “เมื่อคืนป้าได้ยินที่เอ็งคุยกับคุณอิฐแล้วนะ”
ขวัญเรือนหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองสมจิตรด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่แค่ป้าหรอกนะ เมื่อคืนลารินก็อยู่ที่นั่น”
หัวใจของขวัญเรือนหล่นวูบ มือเธอสั่นน้อย ๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อเช้า มาลารินถึงได้มีท่าทีแปลก ๆ
“ป้าเห็นด้วยกับคุณอิฐนะ เอ็งไม่ควรเก็บเด็กคนนี้ไว้ แล้วเอ็งกับคุณอิฐก็ขาดกันจริง ๆ สักที” สมจิตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ป้า นี่ลูกฉันนะ”
เพียะ!
สมจิตรฟาดฝ่ามือบนใบหน้าของขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน
“เอ็งจะให้เด็กคนนี้เกิดมาประจานความชั่วของเอ็งหรือไง!” สมจิตรกัดฟันกรอด “ป้าจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปอีกนานแค่ไหน ป้ารู้สึกผิดต่อคุณท่านจริง ๆ เอ็งไม่ละอายใจบ้างหรือไง คุณท่านดีกับเอ็งแล้วก็ลูกขนาดนี้ เอ็งยังทรยศความไว้ใจของคุณท่านได้ลง”
ขวัญเรือนก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลรินออกมา สิ่งที่เธอกระทำนั้นไม่ต่างจากคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้อีก
สองปีก่อน...
ห้องอาหารที่เรือนใหญ่เย็นวันอาทิตย์ เป็นที่ที่ลูกหลานของอนงค์มารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขวัญเรือนที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็เข้ามาช่วยสมจิตรที่ห้องอาหาร
วันนั้นอิฐเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า รถยนต์สีดำคันหรูแล่นมาจอดหน้าบ้าน เขาก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ และเห็นหญิงสาวร่างแบบบางเดินมาทางห้องกินข้าว ท่าทางเธอดูเงียบ ๆ และสุภาพอ่อนน้อม
ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป สายตาก็สังเกตเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นชัด ๆ พลันความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งวาบขึ้นมาในอีก เหมือนดึงเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน...
ค่ำคืนหนึ่งของเดือนลอยกระทง อิฐไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด เดินเล่นในงานเทศกาลที่จัดขึ้นริมแม่น้ำของจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
“คืนนี้มีประกวดนางนพมาศนะเว้ย ไปดูปะ?” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยชวน อิฐพยักหน้าโดยไม่คิดอะไร แค่อยากจะเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
คนมารวมตัวกันที่หน้าเวทีกลางลานวัดแน่นขนัด แสงไฟสาดส่องบนเวทีให้เห็นหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดไทยงดงาม พวกหล่อนเดินช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานให้กับคณะกรรมการและผู้ชาย อิฐมองผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา
ขวัญเรือนในวัยสาวแรกรุ่นสวมชุดไทยสีอ่อน ผมเกล้ามวยอย่างประณีต รอยยิ้มเธอนั้นเรียบง่าย ทว่ากลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด หัวใจของอิฐกระตุกเบา ๆ นี่เหมือนจะเป็นรักแรกพบของเขาเลยก็ว่าได้
“คนนั้นใครวะ สวยเป็นบ้าเลย” เพื่อนข้าง ๆ พูดขึ้น
ขณะนั้นพิธีกรดำเนินการประกวดก็ประกาศชื่อของเธอ ‘นางสาวขวัญเรือน รักษ์แดนดิน’
อิฐพึมพำชื่อของเธอ จ้องมองหญิงสาวบนเวทีโดยไม่ละสายตา แม้ในคืนนั้นเธอจะไม่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ แต่ในสายตาของเขา เธอชนะไปหมดแล้ว
เขายืนรอจนการประกวดจบลง เพราะอยากจะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่เมื่อเดินตามไปหลังเวที เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเธออยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นยกมือเช็ดเหงื่อให้กับเธออย่างแผ่วเบา แล้วก้มพูดอะไรบางอย่างข้างหู เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข
อิฐหันกลับไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่วูบโหวงอยู่ในอก เหมือนกับว่าเขากำลังอกหัก และตั้งแต่วันนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้พบเจอกันอีก แต่วันนี้หญิงสาวกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
หัวใจที่เคยนิ่งเฉยเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้อิฐได้รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันไม่เคยหายไปไหนเลย แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ เพราะเขามีครอบครัวแล้ว
ตรีอัปสรคือภรรยาที่เพียบพร้อม ทว่าลึกลงในใจ เขารู้ดีว่าตนไม่เคยรักตรีอัปสรอย่างแท้จริง การแต่งงานของเขากับเธอไม่ได้เกิดจากความรู้สึก มันเกิดจากการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่เห็นว่าพวกเขาเหมาะสมกัน
ชีวิตคู่จึงดำเนินไปอย่างเรียบเรียง ในใจของอิฐขาดความรู้สึกบางอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นกับใครบางคน เป็นความรู้สึกที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจและมันก็ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเขาได้พบกับขวัญเรือนอีกครั้ง
บ่ายวันหนึ่ง ขวัญเรือนเดินกลับจากตลาด ในมือเธอถุงผักสดเต็มสองมือ แมน คนขับวินมอเตอร์ไซค์ขี่รถมาจอดักหน้า เขานั้นตามจีบขวัญเรือนอยู่เป็นปีแล้ว
“ขวัญ ให้พี่ไปส่งมั้ย?” แมนถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไร” ขวัญเรือนตอบเสียงเรียบ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะตนเคยปฏิเสธไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่แมนก็ยังตามตื้อไม่เลิก
แมนก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้ววิ่งตามขวัญเรือนอย่างไม่ยอมแพ้ เขาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่น
“ปล่อย!” ขวัญเรือนตกใจ พยายามสะบัดมือออก เธอกลัวจนเกือบจะร้องไห้
“จะเล่นตัวอะไรนักหนาเนี่ย พี่รู้นะว่าขวัญก็ชอบพี่เหมือนกัน ไม่งั้นตอนนั้นจะยิ้มให้พี่ทำไม” แมนพูดไปยิ้มไป
“ฉันยิ้มตามมารยาทต่างหาก!” ขวัญเรือนตอบกลับ และพยายามที่จะดึงมือออก แต่แมนกลับจับมือเธอไว้แน่น
“ปล่อยมือเธอเดี๋ยวนี้”
แมนชะงัก หันไปมองชายผู้มาใหม่ อิฐยืนอยู่ตรงนั้น แววตาของเขาดุดันกว่าทุกวัน
“ยุ่งไรด้วยวะ?” แมนนิ่วหน้า ปล่อยมือจากขวัญเรือน และเดินมามองอิฐอย่างหาเรื่อง
ไม่ทันที่แมนจะได้ตั้งตัว อิฐคว้ามืออีกฝ่ายแน่น และบิดแขนจนอีกฝ่ายร้องลั่น
“โอ๊ย! ปล่อยนะเว้ย”
“ไปให้พ้น แล้วอย่ามายุ่งกับเธออีก ไม่งั้นฉันไม่เอานายไว้แน่” อิฐปล่อยให้แมนขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไป
ขวัญเรือนยืนนิ่งน้ำตาคลอ อิฐหันมามองเธอ สีหน้าเขาอ่อนลง “ไปเถอะ ฉันจะไปส่ง”
เขาหยิบของจากมือเธอ เดินนำมายังรถสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล ภายในรถนั้นเงียบอยู่นาน ขวัญเรือนนั่งนิ่ง เธอพยายามสูดหายใจลึก เพราะยังคงรู้สึกใจหายกับการกระทำของแมน หากอิฐไม่มาช่วยก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
อิฐเหลือบมองเธอ แววตาของเขามีความลังเลบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปแตะหลังมือเธอเบา ๆ
“โอเคหรือเปล่า?”
ขวัญเรือนตกใจ เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
“วางใจเถอะ ฉันจะไม่ให้ผู้ชายคนนั้นมาวุ่นวายกับเธอได้อีก”
เธอกลืนน้ำลายลงคอขณะสบตากับเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่หัวใจของขวัญเรือนสั่นไหวต่อเขา และอิฐนั้นก็คิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป เขาคงไม่สามารถวางเฉยต่อผู้หญิงคนนี้ได้อีกต่อไป
ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับขวัญเรือนก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบ ๆ และลึกซึ้ง เป็นความสัมพันธ์ลับที่ต้องเก็บซ่อน รู้กันเพียงสองคน กระทั่งในคืนหนึ่ง...
ที่หน้าบ้านพักของขวัญเรือน อิฐก้าวเข้ามา ขณะที่เพิ่งเก็บผ้าจากราวตากมา เงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ
“มาได้ยังไงคะ?” ขวัญเรือนถามเสียงแผ่ว มองซ้ายขวากลัวว่าจะมาใครมาเห็น
“เพราะคิดถึงเธอน่ะสิ” อิฐเข้ามาสวมกอด สูดกลิ่นหอมจากกายบาง เขาคิดถึงเธอจนแทบจะทานทนไม่ไหว
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ” ขวัญเรือนกอดตอบเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
ระหว่างนั้น สมจิตรเพิ่งกลับจากเรือนใหญ่ เธอยังไม่ได้กลับห้องพักของตน ตั้งใจจะขนมที่เหลือไว้มาให้กับมาลาริน แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพชายหญิงยืนกอดกัน เมื่อทั้งสองเห็นเธอก็รีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ขวัญเรือนรีบก้มหน้าลงทันที
“ทำไมทำแบบนี้” สมจิตรส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวังในตัวขวัญเรือน
“ผมเป็นคนเริ่มเองครับป้าจิตร” อิฐเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น เขาจับมือขวัญเรือนขึ้นมา พยายามปกป้องเธอ
สมจิตรมองชายหนุ่มด้วยความตื่นตะลึง พูดไม่ออก ไม่คิดว่าลูกชายที่แสนดีของอนงค์จะกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้
“ผมขอร้องนะครับป้าจิตร อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร” เขาเอ่ยอย่างขอร้อง แววตาเว้าวอน
สมจิตรนิ่งไปชั่วครู่ อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากไม่พูดเรื่องนี้ก็จะผิดต่อคุณอนงค์ แต่หากพูดออกไป ขวัญเรือนกับมาลารินจะต้องถูกไล่ออกจากที่นี่
“ค่ะคุณคุณอิฐ ป้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นค่ะ”
สมจิตรกล่าวออกมาอย่างจำใจ เธอหันกลับไป ทิ้งทั้งสองไว้ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจย้อนคืน...
บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู
บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย
บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว
บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย
บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่
บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง







