LOGINบทที่ 03
สิ่งที่ต้องเก็บซ่อน
วันเวลาล่วงเลยผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มาลารินเติบโตพร้อมกับความสุขที่มากขึ้น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ เธอก็รู้สึกเหมือนได้พบกับโลกใบใหม่ เพราะทุกคนที่นี่ใจดีกับเธอ แม้จะมีชลธิชาคอยแกล้งบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อน เพราะอีกฝ่ายก็เติบโตและนิ่งขึ้นพร้อมกับความสนใจที่เปลี่ยนไป ทำให้มาลารินไม่ต้องคอยหลบหลีกหรืออดทนเหมือนในวันแรก ๆ
บ่ายวันหนึ่งหลังจากทำการบ้านเสร็จ มาลารินเปิดประตูเข้าไปในบ้านพัก เธอก็ได้ยินเสียงไอแห้ง ๆ ตามด้วยเสียงอาเจียน หัวใจของเธอเต้นแรง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ
ขวัญเรือนนั่งฟุบอยู่ข้างชักโครก ใบหน้าซีดเผือด มือยันพื้นอย่างอ่อนแรง
“แม่! แม่เป็นอะไร!” มาลารินถลาเข้ามาประคองแม่ ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป
“ไม่เป็นไรลาริน แม่แค่เวียนหัว มาช่วยพยุงแม่หน่อย” ขวัญเรือนพยายามฝืนยิ้มให้ดูเหมือนไม่มีอะไร
มาลารินค่อย ๆ พยุงแม่ของเธอมานั่งที่โต๊ะ “แม่เป็นไงบ้าง?”
“พักแป๊บนึงก็ดีขึ้นแล้ว” ขวัญเรือนยังฝืนยิ้มออกมา
“เดี๋ยวหนูจะไปขอยายายจิตรมาให้” มาลารินบอกอย่างร้อนรน
“แม่กินยาแล้ว นี่ดีขึ้นแล้วเนี่ย เดี๋ยวจะไปช่วยในครัวเตรียมมื้อเย็น วันนี้วันอาทิตย์ คุณ ๆ เข้าไปทานข้าวที่เรือนใหญ่กับคุณท่านกัน”
“แม่พักดีกว่านะ หนูไปช่วยในครัวเองจ้ะ”
ขวัญเรือนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่มาลารินก็พูดซ้ำ ๆ ด้วยความเป็นห่วงว่าอยากให้แม่ได้พักผ่อน
เธอมองลูกสาวที่เดินออกมา ก่อนจะซบหน้ากับท่อนแขนของตัวเอง หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ขวัญเรือนรู้ดีว่า ความวิงเวียนและคลื่นไส้ที่โถมเข้ามาก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่อาการป่วยธรรมดา เพราะเธอจำได้ดีว่ามันคือความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธออุ้มท้องมาลาริน
เธอยกมือขึ้นแตะหน้าท้องของตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความกังวลแบะหวาดหวั่นระคนกัน ถ้าหากเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ ขวัญเรือนก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป...
สองสามวันมานี้ ขวัญเรือนขอลาป่วยกับสมจิตร ดังนั้นหลังจากที่เลิกเรียน มาลารินมักจะเข้าช่วยงานที่เรือนใหญ่แทนแม่ เธอทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว เพราะมักจะช่วยงานคนที่เรือนใหญ่เป็นประจำเสมอ
กลางดึกคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องพัก มาลารินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เธอพลิกตัวหาความอบอุ่นจากแม่ตามความเคยชิน ทว่าพื้นที่ข้างกายกลับว่างเปล่า
มาลารินลุกขึ้นท่ามกลางความมืด ใจหายวาบด้วยความเป็นห่วงแม่ เธอเปิดประตูออกไปนอกห้อง เดินไปยังสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านพักที่มักจะมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟสนาม
ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านใบไม้ เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาอยู่ไกล ๆ เด็กหญิงหยุดชะงัก เมื่อเห็นแม่ของเธอกับอิฐ พ่อของชวลิตดังเคียงคู่กัน
หัวใจของมาลารินเต้นถี่ เธอยืนหลบมุมอยู่หลังพุ่มไม้มองพวกเขาอย่างสงสัยในความสัมพันธ์
“ฉันได้ยินคนงานในบ้านคุยกันว่าเธอไม่สบาย เป็นอะไร?” อิฐถามขวัญเรือนอย่างห่วงใย
“ฉันท้องค่ะ...”
อิฐนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ขณะที่มาลารินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เสียงใบไม้ไหวกลายเป็นสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้
“แน่ใจนะ?” น้ำเสียงของอิฐเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ะ” ขวัญเรือนพยักหน้า
“ยืนทำอะไรตรงนี้ลาริน?”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้มาลารินสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองสมจิตรที่โผล่มาจากข้างหลัง
“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” สมจิตรมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง
มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาสะท้อนความสั่นไหวออกมา เธอรู้สึกมึนงงไปหมดกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน และโตพอที่จะคาดเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ฟังยายนะลาริน” สมจิตรวางมือบนบ่าเล็กของเธอ “ถ้าเอ็งไม่อยากให้แม่เอ็งเดือดร้อน ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจที่ยายพูดมั้ย?”
มาลารินเม้มปากแน่น น้ำตาคลอ เดินหันหลังกลับบ้านพักไปเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับเอาไว้ในใจ รู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวของแม่อย่างบอกไม่ถูก
สมจิตรหันไปมองที่สวนเล็ก ๆ ด้วยความหนักใจ ขณะที่บทสนทนาของพวกเขานั้นดังขึ้นอีก
“ขวัญ ฉันบอกตามตรงว่าเราจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้”
“คุณอิฐ!” ขวัญเรือนตกใจกับคำพูดของเขา เธอลุกขึ้นผละจากเขาทันที
“ขวัญ” อิฐเอื้อมมากุมมือเธอไว้ “ฉันไม่ได้จะทอดทิ้งเธอ แต่เราจะให้เด็กคนนี้เกิดมาได้ยังไง คุณแม่และตรีไม่มีทางยอมแน่ ๆ”
ขวัญเรือนพูดไม่ออก เธอค่อย ๆ ดึงมือออก เขามองเธอตาละห้อย
“ไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้นะคะ ฉันจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง ไม่ให้คุณเดือดร้อนแน่นอน”
ขวัญเรือนเดินหันหลังกลับไปยังห้องของตัวเอง ความผิดหวังและความเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของเธอ ไม่คิดว่าอิฐจะเอ่ยคำพูดไร้หัวใจแบบนั้นออกมาได้ ถึงแม้บอกเขาไปว่าเธอจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง แต่ตอนนี้ขวัญเรือนก็ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
วันต่อมา
มาลารินตื่นแต่เช้าเฉกเช่นทุกวัน เธอเตรียมตัวไปโรงเรียน แต่ไม่ยอมกินข้าวที่ขวัญเรือนนำมาให้ อีกทั้งก็ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมสบตา ขวัญเรือนมองออกว่าลูกมีเรื่องราวในใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน
สมจิตรมาหาขวัญเรือนที่บ้านพัก สีหน้าเคร่งเครียด ขวัญเรือนเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเมื่อคืนเธอคิดมากจนนอนไม่หลับ
“เมื่อคืนคุณอิฐมาหาเอ็งสินะ”
ขวัญเรือนก้มหน้าลง รู้สึกละอายใจต่อสมจิตร
“ไหนเอ็งรับปากว่าจะหยุดเรื่องนี้ไง ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องลุกลามบานปลายขนาดนี้กัน” สมจิตรเอ่ยเสียงเครียด “เมื่อคืนป้าได้ยินที่เอ็งคุยกับคุณอิฐแล้วนะ”
ขวัญเรือนหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองสมจิตรด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่แค่ป้าหรอกนะ เมื่อคืนลารินก็อยู่ที่นั่น”
หัวใจของขวัญเรือนหล่นวูบ มือเธอสั่นน้อย ๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อเช้า มาลารินถึงได้มีท่าทีแปลก ๆ
“ป้าเห็นด้วยกับคุณอิฐนะ เอ็งไม่ควรเก็บเด็กคนนี้ไว้ แล้วเอ็งกับคุณอิฐก็ขาดกันจริง ๆ สักที” สมจิตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ป้า นี่ลูกฉันนะ”
เพียะ!
สมจิตรฟาดฝ่ามือบนใบหน้าของขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน
“เอ็งจะให้เด็กคนนี้เกิดมาประจานความชั่วของเอ็งหรือไง!” สมจิตรกัดฟันกรอด “ป้าจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปอีกนานแค่ไหน ป้ารู้สึกผิดต่อคุณท่านจริง ๆ เอ็งไม่ละอายใจบ้างหรือไง คุณท่านดีกับเอ็งแล้วก็ลูกขนาดนี้ เอ็งยังทรยศความไว้ใจของคุณท่านได้ลง”
ขวัญเรือนก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลรินออกมา สิ่งที่เธอกระทำนั้นไม่ต่างจากคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้อีก
สองปีก่อน...
ห้องอาหารที่เรือนใหญ่เย็นวันอาทิตย์ เป็นที่ที่ลูกหลานของอนงค์มารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขวัญเรือนที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็เข้ามาช่วยสมจิตรที่ห้องอาหาร
วันนั้นอิฐเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า รถยนต์สีดำคันหรูแล่นมาจอดหน้าบ้าน เขาก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ และเห็นหญิงสาวร่างแบบบางเดินมาทางห้องกินข้าว ท่าทางเธอดูเงียบ ๆ และสุภาพอ่อนน้อม
ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป สายตาก็สังเกตเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นชัด ๆ พลันความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งวาบขึ้นมาในอีก เหมือนดึงเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน...
ค่ำคืนหนึ่งของเดือนลอยกระทง อิฐไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด เดินเล่นในงานเทศกาลที่จัดขึ้นริมแม่น้ำของจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
“คืนนี้มีประกวดนางนพมาศนะเว้ย ไปดูปะ?” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยชวน อิฐพยักหน้าโดยไม่คิดอะไร แค่อยากจะเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
คนมารวมตัวกันที่หน้าเวทีกลางลานวัดแน่นขนัด แสงไฟสาดส่องบนเวทีให้เห็นหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดไทยงดงาม พวกหล่อนเดินช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานให้กับคณะกรรมการและผู้ชาย อิฐมองผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา
ขวัญเรือนในวัยสาวแรกรุ่นสวมชุดไทยสีอ่อน ผมเกล้ามวยอย่างประณีต รอยยิ้มเธอนั้นเรียบง่าย ทว่ากลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด หัวใจของอิฐกระตุกเบา ๆ นี่เหมือนจะเป็นรักแรกพบของเขาเลยก็ว่าได้
“คนนั้นใครวะ สวยเป็นบ้าเลย” เพื่อนข้าง ๆ พูดขึ้น
ขณะนั้นพิธีกรดำเนินการประกวดก็ประกาศชื่อของเธอ ‘นางสาวขวัญเรือน รักษ์แดนดิน’
อิฐพึมพำชื่อของเธอ จ้องมองหญิงสาวบนเวทีโดยไม่ละสายตา แม้ในคืนนั้นเธอจะไม่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ แต่ในสายตาของเขา เธอชนะไปหมดแล้ว
เขายืนรอจนการประกวดจบลง เพราะอยากจะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่เมื่อเดินตามไปหลังเวที เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเธออยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นยกมือเช็ดเหงื่อให้กับเธออย่างแผ่วเบา แล้วก้มพูดอะไรบางอย่างข้างหู เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข
อิฐหันกลับไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่วูบโหวงอยู่ในอก เหมือนกับว่าเขากำลังอกหัก และตั้งแต่วันนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้พบเจอกันอีก แต่วันนี้หญิงสาวกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา
หัวใจที่เคยนิ่งเฉยเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้อิฐได้รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันไม่เคยหายไปไหนเลย แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ เพราะเขามีครอบครัวแล้ว
ตรีอัปสรคือภรรยาที่เพียบพร้อม ทว่าลึกลงในใจ เขารู้ดีว่าตนไม่เคยรักตรีอัปสรอย่างแท้จริง การแต่งงานของเขากับเธอไม่ได้เกิดจากความรู้สึก มันเกิดจากการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่เห็นว่าพวกเขาเหมาะสมกัน
ชีวิตคู่จึงดำเนินไปอย่างเรียบเรียง ในใจของอิฐขาดความรู้สึกบางอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นกับใครบางคน เป็นความรู้สึกที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจและมันก็ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเขาได้พบกับขวัญเรือนอีกครั้ง
บ่ายวันหนึ่ง ขวัญเรือนเดินกลับจากตลาด ในมือเธอถุงผักสดเต็มสองมือ แมน คนขับวินมอเตอร์ไซค์ขี่รถมาจอดักหน้า เขานั้นตามจีบขวัญเรือนอยู่เป็นปีแล้ว
“ขวัญ ให้พี่ไปส่งมั้ย?” แมนถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไร” ขวัญเรือนตอบเสียงเรียบ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะตนเคยปฏิเสธไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่แมนก็ยังตามตื้อไม่เลิก
แมนก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้ววิ่งตามขวัญเรือนอย่างไม่ยอมแพ้ เขาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่น
“ปล่อย!” ขวัญเรือนตกใจ พยายามสะบัดมือออก เธอกลัวจนเกือบจะร้องไห้
“จะเล่นตัวอะไรนักหนาเนี่ย พี่รู้นะว่าขวัญก็ชอบพี่เหมือนกัน ไม่งั้นตอนนั้นจะยิ้มให้พี่ทำไม” แมนพูดไปยิ้มไป
“ฉันยิ้มตามมารยาทต่างหาก!” ขวัญเรือนตอบกลับ และพยายามที่จะดึงมือออก แต่แมนกลับจับมือเธอไว้แน่น
“ปล่อยมือเธอเดี๋ยวนี้”
แมนชะงัก หันไปมองชายผู้มาใหม่ อิฐยืนอยู่ตรงนั้น แววตาของเขาดุดันกว่าทุกวัน
“ยุ่งไรด้วยวะ?” แมนนิ่วหน้า ปล่อยมือจากขวัญเรือน และเดินมามองอิฐอย่างหาเรื่อง
ไม่ทันที่แมนจะได้ตั้งตัว อิฐคว้ามืออีกฝ่ายแน่น และบิดแขนจนอีกฝ่ายร้องลั่น
“โอ๊ย! ปล่อยนะเว้ย”
“ไปให้พ้น แล้วอย่ามายุ่งกับเธออีก ไม่งั้นฉันไม่เอานายไว้แน่” อิฐปล่อยให้แมนขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไป
ขวัญเรือนยืนนิ่งน้ำตาคลอ อิฐหันมามองเธอ สีหน้าเขาอ่อนลง “ไปเถอะ ฉันจะไปส่ง”
เขาหยิบของจากมือเธอ เดินนำมายังรถสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล ภายในรถนั้นเงียบอยู่นาน ขวัญเรือนนั่งนิ่ง เธอพยายามสูดหายใจลึก เพราะยังคงรู้สึกใจหายกับการกระทำของแมน หากอิฐไม่มาช่วยก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
อิฐเหลือบมองเธอ แววตาของเขามีความลังเลบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปแตะหลังมือเธอเบา ๆ
“โอเคหรือเปล่า?”
ขวัญเรือนตกใจ เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
“วางใจเถอะ ฉันจะไม่ให้ผู้ชายคนนั้นมาวุ่นวายกับเธอได้อีก”
เธอกลืนน้ำลายลงคอขณะสบตากับเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่หัวใจของขวัญเรือนสั่นไหวต่อเขา และอิฐนั้นก็คิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป เขาคงไม่สามารถวางเฉยต่อผู้หญิงคนนี้ได้อีกต่อไป
ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับขวัญเรือนก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบ ๆ และลึกซึ้ง เป็นความสัมพันธ์ลับที่ต้องเก็บซ่อน รู้กันเพียงสองคน กระทั่งในคืนหนึ่ง...
ที่หน้าบ้านพักของขวัญเรือน อิฐก้าวเข้ามา ขณะที่เพิ่งเก็บผ้าจากราวตากมา เงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ
“มาได้ยังไงคะ?” ขวัญเรือนถามเสียงแผ่ว มองซ้ายขวากลัวว่าจะมาใครมาเห็น
“เพราะคิดถึงเธอน่ะสิ” อิฐเข้ามาสวมกอด สูดกลิ่นหอมจากกายบาง เขาคิดถึงเธอจนแทบจะทานทนไม่ไหว
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ” ขวัญเรือนกอดตอบเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
ระหว่างนั้น สมจิตรเพิ่งกลับจากเรือนใหญ่ เธอยังไม่ได้กลับห้องพักของตน ตั้งใจจะขนมที่เหลือไว้มาให้กับมาลาริน แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพชายหญิงยืนกอดกัน เมื่อทั้งสองเห็นเธอก็รีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ขวัญเรือนรีบก้มหน้าลงทันที
“ทำไมทำแบบนี้” สมจิตรส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวังในตัวขวัญเรือน
“ผมเป็นคนเริ่มเองครับป้าจิตร” อิฐเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น เขาจับมือขวัญเรือนขึ้นมา พยายามปกป้องเธอ
สมจิตรมองชายหนุ่มด้วยความตื่นตะลึง พูดไม่ออก ไม่คิดว่าลูกชายที่แสนดีของอนงค์จะกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้
“ผมขอร้องนะครับป้าจิตร อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร” เขาเอ่ยอย่างขอร้อง แววตาเว้าวอน
สมจิตรนิ่งไปชั่วครู่ อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากไม่พูดเรื่องนี้ก็จะผิดต่อคุณอนงค์ แต่หากพูดออกไป ขวัญเรือนกับมาลารินจะต้องถูกไล่ออกจากที่นี่
“ค่ะคุณคุณอิฐ ป้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นค่ะ”
สมจิตรกล่าวออกมาอย่างจำใจ เธอหันกลับไป ทิ้งทั้งสองไว้ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจย้อนคืน...
บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ
บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด
บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่
บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ
บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ
บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก







