Home / โรแมนติก / เกลียดเธอที่สุด / บทที่ 03 สิ่งที่ต้องเก็บซ่อน

Share

บทที่ 03 สิ่งที่ต้องเก็บซ่อน

Author: ชารี
last update Last Updated: 2025-09-13 20:37:33

บทที่ 03

สิ่งที่ต้องเก็บซ่อน

         วันเวลาล่วงเลยผ่าน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี มาลารินเติบโตพร้อมกับความสุขที่มากขึ้น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ เธอก็รู้สึกเหมือนได้พบกับโลกใบใหม่ เพราะทุกคนที่นี่ใจดีกับเธอ แม้จะมีชลธิชาคอยแกล้งบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าเมื่อก่อน เพราะอีกฝ่ายก็เติบโตและนิ่งขึ้นพร้อมกับความสนใจที่เปลี่ยนไป ทำให้มาลารินไม่ต้องคอยหลบหลีกหรืออดทนเหมือนในวันแรก ๆ

         บ่ายวันหนึ่งหลังจากทำการบ้านเสร็จ มาลารินเปิดประตูเข้าไปในบ้านพัก เธอก็ได้ยินเสียงไอแห้ง ๆ ตามด้วยเสียงอาเจียน หัวใจของเธอเต้นแรง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ

         ขวัญเรือนนั่งฟุบอยู่ข้างชักโครก ใบหน้าซีดเผือด มือยันพื้นอย่างอ่อนแรง

         “แม่! แม่เป็นอะไร!” มาลารินถลาเข้ามาประคองแม่ ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ กลัวว่าแม่จะเป็นอะไรไป

         “ไม่เป็นไรลาริน แม่แค่เวียนหัว มาช่วยพยุงแม่หน่อย” ขวัญเรือนพยายามฝืนยิ้มให้ดูเหมือนไม่มีอะไร

         มาลารินค่อย ๆ พยุงแม่ของเธอมานั่งที่โต๊ะ “แม่เป็นไงบ้าง?”

         “พักแป๊บนึงก็ดีขึ้นแล้ว” ขวัญเรือนยังฝืนยิ้มออกมา

         “เดี๋ยวหนูจะไปขอยายายจิตรมาให้” มาลารินบอกอย่างร้อนรน

         “แม่กินยาแล้ว นี่ดีขึ้นแล้วเนี่ย เดี๋ยวจะไปช่วยในครัวเตรียมมื้อเย็น วันนี้วันอาทิตย์ คุณ ๆ เข้าไปทานข้าวที่เรือนใหญ่กับคุณท่านกัน”

         “แม่พักดีกว่านะ หนูไปช่วยในครัวเองจ้ะ”

         ขวัญเรือนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่มาลารินก็พูดซ้ำ ๆ ด้วยความเป็นห่วงว่าอยากให้แม่ได้พักผ่อน

         เธอมองลูกสาวที่เดินออกมา ก่อนจะซบหน้ากับท่อนแขนของตัวเอง หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ขวัญเรือนรู้ดีว่า ความวิงเวียนและคลื่นไส้ที่โถมเข้ามาก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่อาการป่วยธรรมดา เพราะเธอจำได้ดีว่ามันคือความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธออุ้มท้องมาลาริน

         เธอยกมือขึ้นแตะหน้าท้องของตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความกังวลแบะหวาดหวั่นระคนกัน ถ้าหากเป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ ขวัญเรือนก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป...

         สองสามวันมานี้ ขวัญเรือนขอลาป่วยกับสมจิตร ดังนั้นหลังจากที่เลิกเรียน มาลารินมักจะเข้าช่วยงานที่เรือนใหญ่แทนแม่ เธอทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว เพราะมักจะช่วยงานคนที่เรือนใหญ่เป็นประจำเสมอ

         กลางดึกคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องพัก มาลารินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา เธอพลิกตัวหาความอบอุ่นจากแม่ตามความเคยชิน ทว่าพื้นที่ข้างกายกลับว่างเปล่า

         มาลารินลุกขึ้นท่ามกลางความมืด ใจหายวาบด้วยความเป็นห่วงแม่ เธอเปิดประตูออกไปนอกห้อง เดินไปยังสวนเล็ก ๆ ข้างบ้านพักที่มักจะมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟสนาม

ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านใบไม้ เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาอยู่ไกล ๆ เด็กหญิงหยุดชะงัก เมื่อเห็นแม่ของเธอกับอิฐ พ่อของชวลิตดังเคียงคู่กัน

หัวใจของมาลารินเต้นถี่ เธอยืนหลบมุมอยู่หลังพุ่มไม้มองพวกเขาอย่างสงสัยในความสัมพันธ์

“ฉันได้ยินคนงานในบ้านคุยกันว่าเธอไม่สบาย เป็นอะไร?” อิฐถามขวัญเรือนอย่างห่วงใย

“ฉันท้องค่ะ...”

อิฐนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ขณะที่มาลารินยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เสียงใบไม้ไหวกลายเป็นสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในขณะนี้

“แน่ใจนะ?” น้ำเสียงของอิฐเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ค่ะ” ขวัญเรือนพยักหน้า

“ยืนทำอะไรตรงนี้ลาริน?”

เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้มาลารินสะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองสมจิตรที่โผล่มาจากข้างหลัง

“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” สมจิตรมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง

มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาสะท้อนความสั่นไหวออกมา เธอรู้สึกมึนงงไปหมดกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน และโตพอที่จะคาดเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ฟังยายนะลาริน” สมจิตรวางมือบนบ่าเล็กของเธอ “ถ้าเอ็งไม่อยากให้แม่เอ็งเดือดร้อน ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้าใจที่ยายพูดมั้ย?”

มาลารินเม้มปากแน่น น้ำตาคลอ เดินหันหลังกลับบ้านพักไปเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกอันหนักอึ้งที่ต้องแบกรับเอาไว้ในใจ รู้สึกเสียใจและผิดหวังในตัวของแม่อย่างบอกไม่ถูก

สมจิตรหันไปมองที่สวนเล็ก ๆ ด้วยความหนักใจ ขณะที่บทสนทนาของพวกเขานั้นดังขึ้นอีก

“ขวัญ ฉันบอกตามตรงว่าเราจะเก็บเด็กไว้ไม่ได้”

“คุณอิฐ!” ขวัญเรือนตกใจกับคำพูดของเขา เธอลุกขึ้นผละจากเขาทันที

“ขวัญ” อิฐเอื้อมมากุมมือเธอไว้ “ฉันไม่ได้จะทอดทิ้งเธอ แต่เราจะให้เด็กคนนี้เกิดมาได้ยังไง คุณแม่และตรีไม่มีทางยอมแน่ ๆ”

ขวัญเรือนพูดไม่ออก เธอค่อย ๆ ดึงมือออก เขามองเธอตาละห้อย

“ไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนี้นะคะ ฉันจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง ไม่ให้คุณเดือดร้อนแน่นอน”

ขวัญเรือนเดินหันหลังกลับไปยังห้องของตัวเอง ความผิดหวังและความเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของเธอ ไม่คิดว่าอิฐจะเอ่ยคำพูดไร้หัวใจแบบนั้นออกมาได้ ถึงแม้บอกเขาไปว่าเธอจะหาทางออกสำหรับเรื่องนี้เอง แต่ตอนนี้ขวัญเรือนก็ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

วันต่อมา

มาลารินตื่นแต่เช้าเฉกเช่นทุกวัน เธอเตรียมตัวไปโรงเรียน แต่ไม่ยอมกินข้าวที่ขวัญเรือนนำมาให้ อีกทั้งก็ไม่ยอมมองหน้า ไม่ยอมสบตา ขวัญเรือนมองออกว่าลูกมีเรื่องราวในใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน

สมจิตรมาหาขวัญเรือนที่บ้านพัก สีหน้าเคร่งเครียด ขวัญเรือนเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเมื่อคืนเธอคิดมากจนนอนไม่หลับ

“เมื่อคืนคุณอิฐมาหาเอ็งสินะ”

ขวัญเรือนก้มหน้าลง รู้สึกละอายใจต่อสมจิตร

“ไหนเอ็งรับปากว่าจะหยุดเรื่องนี้ไง ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องลุกลามบานปลายขนาดนี้กัน” สมจิตรเอ่ยเสียงเครียด “เมื่อคืนป้าได้ยินที่เอ็งคุยกับคุณอิฐแล้วนะ”

ขวัญเรือนหน้าซีดเผือด เงยหน้ามองสมจิตรด้วยความตกใจ

“ไม่ใช่แค่ป้าหรอกนะ เมื่อคืนลารินก็อยู่ที่นั่น”

หัวใจของขวัญเรือนหล่นวูบ มือเธอสั่นน้อย ๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อเช้า มาลารินถึงได้มีท่าทีแปลก ๆ

“ป้าเห็นด้วยกับคุณอิฐนะ เอ็งไม่ควรเก็บเด็กคนนี้ไว้ แล้วเอ็งกับคุณอิฐก็ขาดกันจริง ๆ สักที” สมจิตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ป้า นี่ลูกฉันนะ”

เพียะ!

สมจิตรฟาดฝ่ามือบนใบหน้าของขวัญเรือนจนอีกฝ่ายหน้าหัน

“เอ็งจะให้เด็กคนนี้เกิดมาประจานความชั่วของเอ็งหรือไง!” สมจิตรกัดฟันกรอด “ป้าจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปอีกนานแค่ไหน ป้ารู้สึกผิดต่อคุณท่านจริง ๆ เอ็งไม่ละอายใจบ้างหรือไง คุณท่านดีกับเอ็งแล้วก็ลูกขนาดนี้ เอ็งยังทรยศความไว้ใจของคุณท่านได้ลง”

ขวัญเรือนก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลรินออกมา สิ่งที่เธอกระทำนั้นไม่ต่างจากคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคา หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้อีก

สองปีก่อน...

ห้องอาหารที่เรือนใหญ่เย็นวันอาทิตย์ เป็นที่ที่ลูกหลานของอนงค์มารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ขวัญเรือนที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็เข้ามาช่วยสมจิตรที่ห้องอาหาร

วันนั้นอิฐเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า รถยนต์สีดำคันหรูแล่นมาจอดหน้าบ้าน เขาก้าวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบ ๆ และเห็นหญิงสาวร่างแบบบางเดินมาทางห้องกินข้าว ท่าทางเธอดูเงียบ ๆ และสุภาพอ่อนน้อม

ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป สายตาก็สังเกตเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นชัด ๆ พลันความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งวาบขึ้นมาในอีก เหมือนดึงเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน...

ค่ำคืนหนึ่งของเดือนลอยกระทง อิฐไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด เดินเล่นในงานเทศกาลที่จัดขึ้นริมแม่น้ำของจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

“คืนนี้มีประกวดนางนพมาศนะเว้ย ไปดูปะ?” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยชวน อิฐพยักหน้าโดยไม่คิดอะไร แค่อยากจะเปิดหูเปิดตาเท่านั้น

คนมารวมตัวกันที่หน้าเวทีกลางลานวัดแน่นขนัด แสงไฟสาดส่องบนเวทีให้เห็นหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดไทยงดงาม พวกหล่อนเดินช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มหวานให้กับคณะกรรมการและผู้ชาย อิฐมองผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมา

ขวัญเรือนในวัยสาวแรกรุ่นสวมชุดไทยสีอ่อน ผมเกล้ามวยอย่างประณีต รอยยิ้มเธอนั้นเรียบง่าย ทว่ากลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด หัวใจของอิฐกระตุกเบา ๆ นี่เหมือนจะเป็นรักแรกพบของเขาเลยก็ว่าได้

“คนนั้นใครวะ สวยเป็นบ้าเลย” เพื่อนข้าง ๆ พูดขึ้น

ขณะนั้นพิธีกรดำเนินการประกวดก็ประกาศชื่อของเธอ ‘นางสาวขวัญเรือน รักษ์แดนดิน’

อิฐพึมพำชื่อของเธอ จ้องมองหญิงสาวบนเวทีโดยไม่ละสายตา แม้ในคืนนั้นเธอจะไม่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ แต่ในสายตาของเขา เธอชนะไปหมดแล้ว

เขายืนรอจนการประกวดจบลง เพราะอยากจะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอ แต่เมื่อเดินตามไปหลังเวที เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเธออยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นยกมือเช็ดเหงื่อให้กับเธออย่างแผ่วเบา แล้วก้มพูดอะไรบางอย่างข้างหู เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข

อิฐหันกลับไปพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่วูบโหวงอยู่ในอก เหมือนกับว่าเขากำลังอกหัก และตั้งแต่วันนั้นก็คิดว่าคงไม่ได้พบเจอกันอีก แต่วันนี้หญิงสาวกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

หัวใจที่เคยนิ่งเฉยเหมือนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทำให้อิฐได้รู้ว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันไม่เคยหายไปไหนเลย แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ เพราะเขามีครอบครัวแล้ว

ตรีอัปสรคือภรรยาที่เพียบพร้อม ทว่าลึกลงในใจ เขารู้ดีว่าตนไม่เคยรักตรีอัปสรอย่างแท้จริง การแต่งงานของเขากับเธอไม่ได้เกิดจากความรู้สึก มันเกิดจากการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่เห็นว่าพวกเขาเหมาะสมกัน

ชีวิตคู่จึงดำเนินไปอย่างเรียบเรียง ในใจของอิฐขาดความรู้สึกบางอย่างที่มันเคยเกิดขึ้นกับใครบางคน เป็นความรู้สึกที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจและมันก็ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อเขาได้พบกับขวัญเรือนอีกครั้ง

บ่ายวันหนึ่ง ขวัญเรือนเดินกลับจากตลาด ในมือเธอถุงผักสดเต็มสองมือ แมน คนขับวินมอเตอร์ไซค์ขี่รถมาจอดักหน้า เขานั้นตามจีบขวัญเรือนอยู่เป็นปีแล้ว

“ขวัญ ให้พี่ไปส่งมั้ย?” แมนถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

“ไม่เป็นไร” ขวัญเรือนตอบเสียงเรียบ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวด้วยความรู้สึกรำคาญ เพราะตนเคยปฏิเสธไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่แมนก็ยังตามตื้อไม่เลิก

แมนก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้ววิ่งตามขวัญเรือนอย่างไม่ยอมแพ้ เขาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แน่น

“ปล่อย!” ขวัญเรือนตกใจ พยายามสะบัดมือออก เธอกลัวจนเกือบจะร้องไห้

“จะเล่นตัวอะไรนักหนาเนี่ย พี่รู้นะว่าขวัญก็ชอบพี่เหมือนกัน ไม่งั้นตอนนั้นจะยิ้มให้พี่ทำไม” แมนพูดไปยิ้มไป

“ฉันยิ้มตามมารยาทต่างหาก!” ขวัญเรือนตอบกลับ และพยายามที่จะดึงมือออก แต่แมนกลับจับมือเธอไว้แน่น

“ปล่อยมือเธอเดี๋ยวนี้”

แมนชะงัก หันไปมองชายผู้มาใหม่ อิฐยืนอยู่ตรงนั้น แววตาของเขาดุดันกว่าทุกวัน

“ยุ่งไรด้วยวะ?” แมนนิ่วหน้า ปล่อยมือจากขวัญเรือน และเดินมามองอิฐอย่างหาเรื่อง

ไม่ทันที่แมนจะได้ตั้งตัว อิฐคว้ามืออีกฝ่ายแน่น และบิดแขนจนอีกฝ่ายร้องลั่น

“โอ๊ย! ปล่อยนะเว้ย”

“ไปให้พ้น แล้วอย่ามายุ่งกับเธออีก ไม่งั้นฉันไม่เอานายไว้แน่” อิฐปล่อยให้แมนขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไป

ขวัญเรือนยืนนิ่งน้ำตาคลอ อิฐหันมามองเธอ สีหน้าเขาอ่อนลง “ไปเถอะ ฉันจะไปส่ง”

เขาหยิบของจากมือเธอ เดินนำมายังรถสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล ภายในรถนั้นเงียบอยู่นาน ขวัญเรือนนั่งนิ่ง เธอพยายามสูดหายใจลึก เพราะยังคงรู้สึกใจหายกับการกระทำของแมน หากอิฐไม่มาช่วยก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

อิฐเหลือบมองเธอ แววตาของเขามีความลังเลบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมไปแตะหลังมือเธอเบา ๆ

“โอเคหรือเปล่า?”

ขวัญเรือนตกใจ เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ

“วางใจเถอะ ฉันจะไม่ให้ผู้ชายคนนั้นมาวุ่นวายกับเธอได้อีก”

เธอกลืนน้ำลายลงคอขณะสบตากับเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่หัวใจของขวัญเรือนสั่นไหวต่อเขา และอิฐนั้นก็คิดว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป เขาคงไม่สามารถวางเฉยต่อผู้หญิงคนนี้ได้อีกต่อไป

ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับขวัญเรือนก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบ ๆ และลึกซึ้ง เป็นความสัมพันธ์ลับที่ต้องเก็บซ่อน รู้กันเพียงสองคน กระทั่งในคืนหนึ่ง...

ที่หน้าบ้านพักของขวัญเรือน อิฐก้าวเข้ามา ขณะที่เพิ่งเก็บผ้าจากราวตากมา เงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ

“มาได้ยังไงคะ?” ขวัญเรือนถามเสียงแผ่ว มองซ้ายขวากลัวว่าจะมาใครมาเห็น

“เพราะคิดถึงเธอน่ะสิ” อิฐเข้ามาสวมกอด สูดกลิ่นหอมจากกายบาง เขาคิดถึงเธอจนแทบจะทานทนไม่ไหว

“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ” ขวัญเรือนกอดตอบเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน

ระหว่างนั้น สมจิตรเพิ่งกลับจากเรือนใหญ่ เธอยังไม่ได้กลับห้องพักของตน ตั้งใจจะขนมที่เหลือไว้มาให้กับมาลาริน แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพชายหญิงยืนกอดกัน เมื่อทั้งสองเห็นเธอก็รีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ขวัญเรือนรีบก้มหน้าลงทันที

“ทำไมทำแบบนี้” สมจิตรส่ายหน้าไปมาด้วยความผิดหวังในตัวขวัญเรือน

“ผมเป็นคนเริ่มเองครับป้าจิตร” อิฐเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น เขาจับมือขวัญเรือนขึ้นมา พยายามปกป้องเธอ

สมจิตรมองชายหนุ่มด้วยความตื่นตะลึง พูดไม่ออก ไม่คิดว่าลูกชายที่แสนดีของอนงค์จะกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้

“ผมขอร้องนะครับป้าจิตร อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร” เขาเอ่ยอย่างขอร้อง แววตาเว้าวอน

สมจิตรนิ่งไปชั่วครู่ อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากไม่พูดเรื่องนี้ก็จะผิดต่อคุณอนงค์ แต่หากพูดออกไป ขวัญเรือนกับมาลารินจะต้องถูกไล่ออกจากที่นี่

“ค่ะคุณคุณอิฐ ป้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นค่ะ”

สมจิตรกล่าวออกมาอย่างจำใจ เธอหันกลับไป ทิ้งทั้งสองไว้ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนกับความสัมพันธ์ที่ไม่อาจย้อนคืน...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 10 ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด NC

    บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 09 ขวางหูขวางตา

    บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 08 เด็กฝึกงาน

    บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 07 ก็อาจจะเกลียดน้อยลง

    บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 06 หน้าด้านหน้าทน

    บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา

  • เกลียดเธอที่สุด   บทที่ 05 มืดมน

    บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status