บทที่ 02
พื้นที่อบอุ่น
ขวัญเรือนนั้นได้เข้ามาทำงานอยู่ในเรือนใหญ่ที่อนงค์อยู่ประจำ เพราะทำงานได้เข้าตาอนงค์ จึงผ่านการทดลองงานภายในหนึ่งเดือน เธอนั้นเป็นคนสุภาพนอบน้อม ขยันขันแข็ง ทำให้อนงค์พอใจ โดยเฉพาะมาลาริน แม้จะเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่ก็ขยันขันแข็ง มักจะช่วยแม่ของเธอทำงานในบ้าน ไม่เคยงอแง อีกทั้งยังอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเหมือนแม่ของเธอ ทำให้อนงค์เอ็นดูสองแม่ลูกไม่น้อย
“คุณท่านเรียกหาดิฉันกับลูกหรือคะ?” ขวัญเรือนจูงมือลูกสาวเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่อนงค์กำลังอ่านหนังสืออยู่
อนงค์วางหนังสือบนตัก มองสองแม่ลูกที่เข้ามาหาเธออย่างนอบน้อม
“ฉันจะให้ลารินเข้าโรงเรียนเดียวกับหลานฉัน”
“เอ่อคือ” ขวัญเรือนอึกอัก เพราะโรงเรียนค่าเทอมแพงแบบนั้น เธอไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ฉันจะจัดการให้ทั้งหมด ถ้าตั้งใจเรียนก็จะให้เรียนถึงปริญญาตรีเลย” อนงค์กล่าวเสียงเรียบ
“ดิฉันขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่เมตตาลาริน แต่ดิฉันไม่กล้ารับไว้จริง ๆ ค่ะ ดิฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนใกล้ ๆ” ขวัญเรือนบอกอย่างเกรงใจ
“ฉันให้เด็กคนนี้ ไม่ได้ให้เธอ จะปฏิเสธแทนลูกทำไม” น้ำเสียงอนงค์มีแววตำหนิเล็กน้อย
ขวัญเรือนยิ้มเจื่อน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธอีก จึงได้แต่ก้มกราบอนงค์พร้อมกับลูกสาวของเธอ
ไม่นาน มาลารินก็ได้สวมชุดนักเรียนและผูกโบว์สีเดียวกับชลธิชา ซึ่งเธอนั้นได้เรียนห้องเดียวกับชลธิชา มาลารินคิดว่านี่ไม่ใช่โชคดีเลย เพราะอีกฝ่ายมักจะคอยสุมหัวกับเพื่อน ๆ แกล้งเธอเสมอ
อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกแกล้งอย่างไร แต่มาลารินก็ไม่คิดจะตอบโต้ เธอยังจำคำของสมจิตรไว้เสมอว่าทุกคนคือเจ้านาย และที่สำคัญที่สุด เธอไม่อยากให้แม่ต้องไม่สบายใจ ดังนั้นเธอจึงได้แต่ยิ้มและพยายามหลบเลี่ยง
ที่สนามหญ้าหลังอาคารเรียนช่วงพักกลางวัน มาลารินนั่งพับเพียบอยู่ใต้ต้นปีบ เงามของมันช่วยบังแสงแดดไว้ เธอเก็บดอกไม้ใส่กล่องกระดาษเล็ก ๆ เพื่อจะนำไปฝากแม่ในตอนเย็น
“ทำอะไรน่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่กล่องกระดาษจะถูกปัดตกพื้น ดอกไม้ที่เก็บร่วงหล่นกระจาย มาลารินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ เห็นชลธิชากับเพื่อน ๆ สองคนที่เหมือนจะมาหาเรื่องเธออีกแล้ว
“โทษที มือมันไปโดนเอง”
เพื่อน ๆ ของชลธิชาหัวเราะคิกคัก ขณะที่มาลารินไม่พูดอะไร เธอเพียงก้มเก็บดอกไม้เงียบ ๆ พยายามอดกลั้นเหมือนที่ผ่านมา
“จะเก็บไปไหนน่ะ?” ชลธิชาถามอย่างอยากรู้
“เก็บไปฝากแม่ค่ะ” มาลารินตอบโดยไม่มองหน้า
“อี๋! อย่าเอาขยะเข้าบ้านฉันนะ” ชลธิชาทำท่ารังเกียจ ใช้เท้าเหยียบดอกไม้ และเท้าของเธอก็เหยียบโดนหลังมือของมาลารินโดยไม่ตั้งใจ
“โอ๊ย!” มาลารินชักมือกลับด้วยความเจ็บ
“สมน้ำหน้า” ชลธิชาเบะปาก แต่ข้างในกลับรู้สึกตกใจ เธอแค่จะเหยียบดอกไม้เท่านั้น “ไม่เอามือหลบเอง”
“เต้ย!”
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นจากอีกฟากของสนาม ชวลิตในชุดนักเรียนมัธยมปลายเดินมา
“พี่ต้น” ชลธิชาชะงักไป
ชวลิตมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“อยากได้ดอกไม้ก็เก็บเองสิ จะมาแย่งคนอื่นทำไม” ชวลิตเอ่ยกับน้องสาว
ชลธิชาเบะปากใส่พี่ชาย เธอรู้เจตนาดีว่าเขาแค่ไม่อยากให้เธอแกล้งมาลาริน เพราะเวลาที่เขาเห็นเธอแกล้งมาลารินก็มักจะเข้ามาตำหนิเธอ
“ชิ!” ชลธิชาสะบัดหน้าหนี ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ
“ทำอะไรของเธอน่ะ?”
มาลารินชะงัก เงยหน้ามองชวลิตอย่างประหลาดใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเธอ
แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ในรั้วบ้านเดียวกับเขา และเจอกันทุกเช้าเพราะต้องนั่งรถไปโรงเรียนด้วยกัน แต่เขาก็ไม่เคยพูดกับเธอสักครั้ง แม้จะมาช่วยเธอจากชลธิชาหลายครั้ง แต่เขาแค่มาช่วยแล้วก็จากไป แต่ครั้งนี้เขาพูดกับเธอ
“หนูจะเก็บดอกไม้ไปฝากแม่ค่ะ” มาลารินตอบเสียงแผ่ว
ชวลิตย่อตัวนั่งลงตรงหน้า เขาช่วยเธอเก็บดอกไม้ใส่กล่อง เธอมองเขาอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
“ตอนเจอกันครั้งแรก เธอก็ดูกล้าเถียงยัยเต้ยนี่นา ทำไมไม่เถียงกลับหรือสู้กลับบ้างล่ะ” เขาเอ่ยยิ้ม ๆ แม้จะไม่เคยคุยกับเธอ แต่เขาก็เห็นเธออยู่ในสายตาตลอด และนึกสงสารในใจที่เธอมักถูกน้องสาวเขาแกล้ง
“แม่กับยายจิตรบอกว่าให้หนูเคารพเจ้านายทุกคนค่ะ” มาลารินตอบอย่างซื่อ ๆ
“งั้นเหรอ?” เขาเลิกคิ้วและอมยิ้มน้อย ๆ “เอาอย่างนี้มั้ย ถ้ายัยเต้ยแกล้งอีก เธอก็ฟ้องคุณย่า เดี๋ยวฉันเป็นพยานให้ ดีหรือไม่ดี?”
“ไม่ดีหรอกค่ะ” มาลารินส่ายหน้า เธอลุกขึ้นปัดกระโปรงที่มีเศษใบไม้ติด “คุณเต้ยจะต้องเกลียดเธอหนูเพิ่มแน่นอน”
ชวลิตเม้มปากกลั้นยิ้ม เขาก็แค่แกล้งพูดไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าเธอจะจริงจัง
เด็กหญิงตัวเล็กถือกล่องกระดาษเดินกลับไปยังอาคารเรียน โดยมีสายตาของเด็กหนุ่มมองตามอย่างเอ็นดู และตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็พูดกับเธอมากขึ้น
บ่ายวันหนึ่งที่เรือนกระจกในสวน แสงแดดลอดผ่านหลังคาใสกระทบลงบนหน้ากระดาษ มาลารินนั่งก้มหน้ากับแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ เธอพยายามคิดหาคำตอบอยู่นาน แต่ตัวเลขในกระดาษก็ยังวุ่นวายพันกันไปหมด
“ทำเลขอยู่เหรอ?”
เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มที่ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาผ่านมาแล้วเห็นเธอจึงเดินเข้ามาทักทาย
มาลารินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ชวลิตในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น เขาส่งยิ้มให้กับเธอ
“ค่ะ ยากมาเลย” เธอเอ่ยเสียเบาหวิวอย่างคนเริ่มที่จะท้อกับการหาคำตอบแล้ว
ชวลิตนั่งลงข้างเธออย่างไม่ลังเล เขาหยิบเดินขึ้นมาแล้วเริ่มอธิบายทีละขั้นตอน น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและอบอุ่น ต่างจากชลธิชาที่ชอบแว้ด ๆ ใส่เธอ
“เห็นมั้ย ไม่ยากเลย”
มาลารินพยักหน้าเบา ๆ ดวงตากลมโตนั้นเผลอจ้องมองใบหน้าของเขา เธอรู้สึกดีในความใจดึของชวลิต
“คุณต้นทั้งเก่งแล้วก็ใจดีมากเลยค่ะ”
เขาหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะยื่นขนมปังกรอบที่พกติดตัวมาให้เธอหนึ่งซอง แต่เธอกลับไม่กล้ารับไว้
“เอาไปเถอะน่า ขนมในบ้านฉันเยอะแยะ ฉันกินไม่หมดหรอก”
เด็กหญิงพยักหน้าเบา ๆ รับขนมจากเขาไป หัวใจดวงน้อยอบอุ่นขึ้นมา ดวงตากลมใสนั้นมีประกายบางอย่างขณะสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอห้าปี
“ไว้จะเอามาให้อีกนะ” เขาบอกอย่างใจดี ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น แต่หัวใจของเธอรู้สึกอบอุ่น
มาลารินเดินกลับมายังบ้านพักหลังเล็กของเธอ ขนมในมือนั้นถูกเปิดกินไปเพียงเล็กน้อย แต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก ตอนที่เธอจะเลี้ยวเข้าทางแคบด้านข้าง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้จากอีกฝั่งของทางเดิน
ชายร่างสูงในเสื้อโปโลสีเข้มก้าวมาช้า ๆ ทั้งเธอและเขาชะงักนิดหน่อย ก่อนมาลารินจะยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณอิฐ”
เขาคือลูกชายคนโตของอนงค์ อีกทั้งยังเป็นพ่อของชวลิตและชลธิชา เด็กหญิงนั้นรู้สึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายที่นี่
“สวัสดีลาริน” อิฐยิ้มบาง ๆ
เด็กหญิงก้มหน้าเล็กน้อยแล้วรีบเดินผ่านไป กลิ่นโคโลญจน์หอมจาง ๆ ของอิฐยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
มาลารินเปิดประตูเข้ามาในบ้านพัก ขณะที่แม่ของเธอกำลังจะออกไปพอดี สีหน้าของขวัญเรือนดูตกใจเล็กน้อย แต่พยายามปรับให้เป็นปกติ
“การบ้านเสร็จแล้วเหรอลูก?” ขวัญเรือนถามขึ้น
“เสร็จแล้วจ้ะแม่ คุณต้นช่วยสอนจ้ะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูปลื้มปริ่ม “คุณต้นให้ขนมหนูด้วย”
“ดีแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวแม่ไปทำงานก่อนนะ”
มาลารินนั่งลงบนเตียง กลิ่นอะไรบางอย่างแตะจมูกเธอแผ่วเบา เธอสูดลมหายใจเงียบ ๆ พลันความรู้สึกหนึ่งก็แล่นวาบขึ้นมา กลิ่นหอมจาง ๆ นี้คล้ายกับกลิ่นหอมของอิฐตอนที่เดินผ่าน
เด็กหญิงขมวดคิ้วน้อย ๆ หันไปมองรอบห้องที่ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม แต่กลิ่นนั้นเหมือนเพิ่งจะจางไป เธอรู้สึกแปลก ๆ แต่ความคิดเด็กหญิงวัยสิบขวบก็ยังไม่ได้ซับซ้อนนัก เธอหันไปสนใจสมุดการบ้านกับถุงขนมที่วางอยู่ รอยยิ้มก็ปรากฏอยู่ในดวงหน้าเล็ก ๆ
ตั้งแต่วันนั้น เรือนกระจกในสวนก็กลายเป็นสถานที่โปรด ที่มาลารินมักจะแวะเวียนมายามว่าง นอกจากจะชอบความสงบและกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หัวใจของเด็กหญิงตัวน้อยสั่นไหวอยู่ลึก ๆ นั่นเพราะบ่อยครั้งเธอมักจะได้พบกับชวลิตที่นี่ เวลาที่เขาเห็นเธออยู่ เขาก็แวะเข้ามาทักทายและยื่นขนมให้ ทำให้เรือนกระจกแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่อบอุ่นในความทรงจำของเธอเสมอ
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ