LOGINบทที่ 09
ขวางหูขวางตา
ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี
มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่
ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้
เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ
“ก้องกับลารินนี่สนิทกันดีนะ เห็นตัวติดกันทั้งวันเลย”
“สองคนนี้อะไรยังไง มีอะไรที่พวกพี่ไม่รู้หรือเปล่าเนี่ย” เสียงพี่คนหนึ่งเอ่ยแซว ทำเอาหลายคนหัวเราะ
มาลารินกับกรกฏหันมามองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม ทั้งสองโบกมือปฏิเสธกันพลันวัน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อนัก
เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย จู่ ๆ เสียงประตูห้องประชุมก็ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มของชวลิตจะก้าวเข้ามาพร้อมกับเลขาส่วนตัว ความเงียบนั้นก็แผ่คลุมทั้งห้องทันที
ชวลิตไม่พูดอะไรสักคำ เขาขยับเก้าอี้นั่งลงตำแหน่งหัวโต๊ะที่ตรงข้ามกับเด็กฝึกงานทั้งสองคน ทุกคนนั้นรีบกลับสู่โหมดจริงจัง ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก
การประชุมเริ่มต้นขึ้น ชวลิตนั่งฟังการรายงานอย่างเงียบ ๆ แต่สายตาของเขากลับเผลอมองเลยโต๊ะประชุมผ่านแฟ้มเอกสาร ซึ่งตรงไปยังใบหน้าเรียบเฉยของมาลารินที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังการประชุม เหมือนชวลิตจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจ้องมองเธอกับเด็กฝึกงานที่ชื่อกรกฏมากเกินความจำเป็น
“เราว่ารองฯ ชวลิตมองมาทางนี้บ่อยนะ” กรกฏโน้มตัวมากระซิบข้างหูมาลาริน “พวกเราทำอะไรผิดหรือเปล่า”
มาลารินเม้มปากแน่น เธอไม่กล้าหันไปทางสายตาของชวลิตด้วยซ้ำ แต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาเหมือนเธอมีความผิดอยู่ตลอดเวลา
“เค้าคงแค่อยากจะดูว่าเด็กฝึกงานอย่างพวกเราตั้งใจทำงานหรือเปล่าแค่นั้นแหละ” มาลารินกระซิบตอบกลับไป และสะกิดให้กรกฏหันกลับไปสนใจการประชุมต่อ
ท่าทางที่ดูสนิทสนทของทั้งคู่นั้น อยู่ในสายตาของชวลิตแทบจะตลอดเวลา เขารู้สึกขวางหูขวางตาชะมัด และเมื่อการประชุมจบลง ทุกคนทยอยออกจากห้องประชุม ซึ่งมาลารินนั้นดูจะเร่งรีบกว่าใคร
ชวลิตเปิดเอกสารเกี่ยวกับผู้รับเหมาะและทีมออกแบบที่เขารู้มาว่า มาลารินเป็นคนทำเอกสาร ดวงตาคู่คมมีแววครุ่นคิดบางอย่าง เขาหันไปหาวารีที่กำลังเก็บเอกสาร
“คุณวารี ผมว่าเอกสารนี่มีบางจุดที่ขาดความรัดกุมนะ” ชวลิตเอ่ยขึ้น
“อืม...แต่ว่าเอกสารผ่านการตรวจสอบแล้วนะคะ ตรงไหนที่ท่านรองฯคิดว่ามีปัญหาหรือคะ ดิฉันจะเรียกคุณธนาให้มาตรวจสอบอีกรอบ” วารีเอ่ย
“ไม่ต้อง ให้คนที่ทำเอกสารนี้มาพบผมโดยตรง ตรงนี้เป็นหน้าที่สำคัญ เพราะมันส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของการโดยรวม”
“แต่เรื่องเอกสารนี่ ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านรองฯ หรอกนะคะ” วารีเอ่ย
ชวลิตเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ผมสั่ง...”
ลางสังหรณ์ของมาลารินมักไม่ผิด หญิงสาวรู้สึกว่าการที่ชวลิตเรียกเธอมาคนเดียวนั้นมีเหตุผลบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แน่นอนว่าเรื่องผิดผ่านการทำงานนั้นเป็นเพียงข้ออ้างของเขาอย่างแน่นอน
มาลารินสูดหายใจลึก ขณะก้าวตามวารีออกมาจากลิฟท์ที่ชั้น 21 เลขาสาวสื่อสารกับชวลิตที่อยู่ในห้องทำงานผ่านอินเตอร์คอม
“คุณมาลารินมาถึงแล้วค่ะ”
“ให้เธอเข้ามา” เสียงราบเรียบของเขาดังผ่านอินเตอร์คอมแล้วก็เงียบลงไป
“เชิญค่ะ” วารีผายมือไปยังประตูห้องทำงานที่ปิดสนิท
“คุณวารีไม่เข้าไปด้วยกันเหรอคะ?” มาลารินถาม แววตาเธอดูกังวลไม่น้อย
วารียิ้มบาง ๆ “ท่านรองฯ ให้คุณเข้าไปคนเดียวค่ะ เชิญค่ะ อย่าให้ท่านรอนานเลย”
มาลารินยิ้มเจื่อน เธอสูดหายใจอีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอเปิดประตูเข้ามาให้ทำงานที่เงียบเชียบของเขา มีเสียงนาฬิกาบนผนังดังขึ้นอยู่ในความเงียบ ไม่ต่างจากแรงกดดันบางอย่างในใจของเธอ
“ปิดประตู...”
เสียงราบเรียบแฝงด้วยความเย็นชาเอ่ย มาลารินจำใจต้องหันไปปิดประตูห้องทำงานของเขา และทันทีที่บานประตูปิดลง ยังไม่ทันที่มาลารินจะเอ่ยคำใด แก้วกาแฟก็พุ่งผ่านหน้าเธอไป ชนกับผนังด้านหลังแตกระจาย แผ่นกระกระเบื้องสีอ่อนเปื้อนคราบสีน้ำตาลเข้ม เศษแก้วแหลมคมแตกกระจายอยู่บนพื้น
มาลารินชะงักเท้าอยู่กลางห้อง หัวใจเหมือนจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เธอก้มมองเศษกับที่เพิ่งจะผ่านหน้าไป แล้วหันไปสบตากับชวลิตที่ยืนหน้านิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ สีหน้าของเขาดูไม่รู้สึกผิดสักนิดที่เกือบทำให้เธอได้เลือด
“รู้มั้ย ฉันเกลียดอะไรมากที่สุด...” เสียงของเขาต่ำลึก เค้นทุกคำออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น
มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ มือที่สั่นเทาอยู่ประสานเข้าหากันแน่น เธอแทบหยุดหายใจเมื่อร่างสูงก้าวออกมาจากหลังโต๊ะทำงาน มาหยุดตรงหน้า สายตาคมกริบมองเธอในชุดนักศึกษาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ทั้งที่แม่ของเธอทำลายครอบครัวของฉัน แต่เธอก็ยังมีชีวิตที่ดีได้ ทั้งที่เธอควรจะกลายเป็นเด็กข้างถนนแท้ คุณย่าเมตตาจนฉันโคตรเกลียดเธอฉิบหายเลย!”
คำว่าเกลียดของเขาบาดลึกลงในใจของเธอ ดูเหมือนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะยอมแลกอะไร ก็ไม่อาจลบล้างความเกลียดชังในใจของเขาที่มีต่อเขาไปได้เลย
“เอาเถอะ คุณย่าคงเมตตาเธอเหมือนหมาตัวนึงนั่นแหละ แต่คุณย่าจะรู้หรือเปล่าว่าคนที่คุณย่าเมตตาทั้งแรดและร่านขนาดไหน”
มาลารินหน้าชาวาบ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่สาดซัดคำพูดร้าย ๆ ใส่เธอ
“เห็นแล้วมันขวางหูขวางตาฉันจริง ๆ”
“ฉันทำอะไร?” มาลารินถามอย่างไม่เข้าใจ เธอก็อยู่ในส่วนของเธอ ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว ทำไมเขาถึงยังหาเรื่องเธออีก
“คุณย่าส่งเธอมาฝึกงานที่นี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วยังมีหน้าระริกระรี้กับผู้ชาย มาทำงานหรือมาหาผัวกันแน่!” เสียงเขาเข้มขึ้น แววตาเต็มไปด้วยโทสะเมื่อนึกถึงภาพที่เธอยิ้ม หัวเราะกับกรกฏในห้องประชุม อีกทั้งคำพูดที่คนพวกนั้นแซวว่าเธอสนิทสนมกับชายอื่น ก็ทำให้ในใจของเขาร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่สั่งสอนเธอบ้าง เธอจะยิ่งเป็นไปมากกว่านี้
มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ พยายามอดกลั้นต่อถ้อยคำดูถูกพวกนั้น เธอคิดว่าตัวเองไม่ควรจะอยู่ตรงนี้อีก จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยกับเขา
“ถ้าไม่ได้จะเรียกฉันมาเพราะเรื่องงาน งั้นฉันขอตัวกลับไปทำงานต่อนะคะ”
มาลารินก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับ ร่างสูงก้าวยาว ๆ ตามมา มือหนารวบลำคอระหงด้วยมือเดียวจากด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวเธอให้หันกลับมา แล้วดันตัวเธอลงให้คุกเข่าลงไปตรงหน้าเขา
“คุณจะทำอะไร?” มาลารินเงยหน้ามองเขา มือหนากดไหล่ของเธอลงไม่ให้หญิงสาวนั้นต่อต้านลุกขึ้นมา
ชวลิตก้มมองเธอ ดวงตาของมีประกายบางอย่าง มือหนาปลดเข็มขัดกางเกงออก มาลารินใจเต้นรัว เธอเริ่มจะเข้าใจในความหมายของเขา
“จัดการสิ งานของเธอ หน้าที่ของเธอก็คือทำให้ฉันพอใจ ลืมแล้วหรือไง?”
มือหนากดใบหน้าของเธอแนบกับเป้ากางเกงของเขาที่มีท่อนเนื้อพาดเฉียงเป็นลำยาว เธอผละออกมาด้วยความตกใจ เงยหน้ามองเขา
“ทำไมล่ะ? อยากให้ฉันเกลียดเธอน้อยลงไม่ใช่หรือไง” น้ำเสียงพร่าเอ่ย เขารู้สึกเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเธออย่างไรก็ไม่รู้
“ฉันคิดว่าคุณไม่ต้องการฉันแล้ว...”
มุมปากเขายกยิ้มน้อย ๆ มือหนาแตะแก้มของเธออย่างแผ่วเบา...
“ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...”
บทส่งท้าย แสงยามเช้าอาบไล้เข้ามาในห้องนอนเล็ก ๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสียงนกร้องเบา ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ราวกับว่าพวกมันกำลังปลุกคนทั้งคู่ที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันทั้งคืนให้ตื่นจากความฝัน มาลารินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเห็นใบหน้าของชวลิตอยู่ใกล้แค่คืบ เขายังคงกอดเธอเอาไว้นแน่นหลังจากที่เมื่อคืนนอนคุยกันถึงเรื่องราวมากมายจนหลับไปในอ้อมแขนของเขา เขาเล่าให้เธอฟังว่าของเขาป่วยด้วยโรคร้ายอยู่หลายปี ก่อนจะจากไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนมาลารินได้ยินเรื่องนั้น เธอรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่เธอยังคงจำใบหน้าและดวงตาของตรีอัปสรได้เป็นอย่างดี เธอหวังอยู่ในใจลึก ๆ ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตตรีอัปสรนั้นจะจากไปด้วยใจที่ไม่ยึดถือสิ่งใดแล้ว “เสียใจด้วยนะคะ” ชวลิตยิ้มบาง ๆ นัยน์ตาแม้ยังหลงเหลือรอยเศร้าอยู่บ้าง ทว่าที่ผ่านมาเขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่ของเขามีความสุข หลังจากทุกอย่างจบลง ชวลิตเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกอย่าง เขาออกจากบ้านสุรีย์ฉายเพื่อมาหามาลารินที่นี่ เมื่อเทียบกับการที่จะได้อยู่กับเธอแล้ว ไ
บทที่ 44หวนคืน 10 ปีผ่านไป...ยามบ่ายแก่ ๆ ณ วัดหลวงแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ที่ลานด้านหน้าเมรุคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ฟ้าที่เคยโปร่งใสบัดนี้มีเมฆสีเทาเคลื่อนตัวมาบดบังแสงแดดจ้าให้หม่นลงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า คล้ายว่ากำลังร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้วายชนม์อย่างตรีอัปสรเมื่อหลายปีก่อนนั้น เธอป่วยด้วยโรคร้ายรักษาไม่หาย แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลายปีด้วยกำลังใจของคนในครอบครัว ทว่าเวลาผ่านไปร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสียใจของทุกคนท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น ชวลิตยืนเงียบ ๆ ข้างชลธิชาและญาติสนิทที่ยืนเรียงกัน เวลาล่วงเลยผ่านมานานนับสิบปี ตอนนี้อายุของเขาก้าวล่วงมาถึงวัยสามสิบแปดแล้ว เขายังคงดูโด่น แม้เส้นผมที่เคยดำขลับจะมีสีขาวขึ้นแซมที่ขมับทั้งสองข้าง ร่องลึกบนใบหน้าเผยให้เห็นถึงกาลเวลาที่ล่วงไป แต่นัยน์ตาคู่คมนั้นยังคงเหมือนคนที่แบกบางสิ่งไว้ตลอดเวลาเสียงประกาศให้ผู้คนทอยขึ้นเมรุเพื่อวางดอกไม้จันทน์ ขบวนของผู้คนค่อย ๆ เคลื่อนย้ายไปช้ายังด้านบนของเมรุ กลีบดอกไม้สีเหลืองนวลในมือของแต่ละคนค่อย ๆ วางลงหน้าโลงที่ประดับด้วยด
บทที่ 43คำขอสุดท้ายบนท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถคันหรูของชวลิตเคลื่อนตัวด้วยความเร็วคงที่ผ่านแสงไฟริมถนนที่ทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองสลับกับเงามืดของต้นไม้ข้างทาง ระหว่างทางนั้น มาลารินได้รับสายจากกรฏที่โทรมา เมื่อกดรับสายได้ กรกฏก็คลายความกังวลและความเป็นห่วงลงมาเล็กน้อย ชวลิตหันมายิ้มให้กับมาลาริน เขาดีใจที่หญิงสาวมีเพื่อนที่ดีคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้าง ความคิดของเขาที่เคยมีต่อกรกฏในเมื่อก่อน ต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตลอดระยะเวลาที่รถเคลื่อนตัวไปนั้น ชวลิตรู้สึกว่ามาลารินมองเขาอยู่เป็นระยะ แม้เธอหลบสายตาทุกครั้งที่เขาหันไป แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจของเขา “มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยถามบางเบา เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู นัยน์ตาของมาลารินที่เหลือบมองเขา มีแววครุ่นคิดบางอย่างที่คล้ายกับว่าเธอยังวางมันไม่ลง ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจของเธอมาโดยตลอด “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ” แววตาของชวลิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาที่จริงจังของหญิงสาว จึงค่อย ๆ ตบไฟเลี้ยวจอดรถลงที่
บทที่ 42ไม่อยากให้ดวงตะวันลับฟ้า ผ้าม่านปลิวไหวเบา ๆ ไปกับสายลม ขณะที่แสงอ่อน ๆ ยามเช้าลอดผ่านเข้ามา สาดลงบนเรือนผมยุ่ง ๆ ของมาลาริน ร่างบางเปลือยเปล่าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ที่มีอ้อมแขนอันอบอุ่นของเขาโอบล้อมเธอไว้อีกชั้นหนึ่ง มาลารินกระพริบตาช้า ๆ แผ่นหลังบอบบางที่นอนอยู่กับอกเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม ทำให้เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ หัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะ เมื่อความทรงจำอันเร่าร้อนในค่ำคืนยังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของเธอ กลิ่นของอากาศสดชื่นลอยมากับสายลมอ่อนยามเช้า เสียงของใบไม้ไหวตามแรงลม บรรดาเจ้านกส่งเสียงเจื้อยแจ้วพูดคุยกันจนเซ็งแซ่ ทว่าหัวใจของเธอกลับสงบลงเพราะยังคงรู้สึกถึงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดเธอไว้ตลอดทั้งคืนเพียงครู่หนึ่ง เปลือยตาของเขาก็ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นแววตาอันบอุ่นที่ยังตื่นไม่เต็มที่นัก เขาชะโงกหน้าขึ้นมามองเธอเล็กน้อย“ตื่นเช้าจัง...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ พร้อมกระชับวงแขนรอบเอวเธอแน่นขึ้น “ไม่เหนื่อยเหรอ”มาลารินหันมายิ้มให้กับเขา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ผมยุ่งฟูดูเป็นธรรมชาติ เธอรู้สึกว่าเช้าวันนี้แสนพิเศษเพ
บทที่ 41ใต้แสงจันทร์ แสงสุดท้ายยามพระอาทิตย์อัสดงลอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลมยามเย็นที่พัดผ่านเข้ามาภายในห้องนอนที่เงียบสงบ ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร่างกายเปลือยเปล่าของมาลารินขยับกายเพียงเล็กน้อย สัมผัสของผ้าปูที่นอนยังอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เร่าร้อนเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาภายในห้องที่แสงสีส้มสาดส่องเข้ามาในความมืดที่สลัวลง เมื่อขยับกายลุกขึ้นนั่ง สายตานั้นก็เลื่อนผ่านบานประตูกระจกใสที่เปิดแง้มไว้สู่ระเบียงกว้างที่ทอดยาวออกไปกลางสวนร่มรื่น แสงไฟสีอุ่นจากโคมบนระเบียงทอดลงบนร่างสูงของชวลิตที่กำลังก้มตัวจัดจานบนโต๊ะกลมไม้สัก มีเสียงเพลงสากลที่เขาเปิดทิ้งไว้คลอเคล้าอยู่ในบรรยากาศ ดวงหน้าของเขาภายใต้แสงไฟนั้นดูอบอุ่นและอ่อนโยน หญิงสาวจับจ้องเขาอยู่สักพัก ราวกับต้องการเก็บภาพนั้นตรึงไว้ในความทรงจำให้นานแสนนาน ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมา แสงสุดท้ายของวันเลือนหายไป มาลารินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมาด้านนอก ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดวงจันทร์เด่นตระหง่านคู่กับดวงดาวที่พร่างพราวระยิบระยับ ท้องฟ้าในคืนนี้งดงามมากจริง ๆ
บทที่ 40ช่วงเวลาของเราช่วงบ่ายวันหนึ่ง อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ทว่าเมื่อรถคันหรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านพักสีขาวสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ และร่มไม้ใหญ่เขียวขจี บรรยากาศโดยรอบนั้นก็ต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิงชวลิตจูงมือมาลารินเข้ามาในบ้านพัก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาเธอมาที่นี่ ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกนั้นต่างไปจากครั้งก่อน เขากระชับมือบางแน่น หันมายิ้มให้กับเธอ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เธอสดใส แต่กลับซ่อนความหม่นเศร้าไว้ในแววตาบรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง ทว่ามันก็คละเคล้าไปกับความเศร้าหมองที่อาจไม่บรรยาย แม้จะอยากอยู่กับปัจจุบันมากเพียงใด แต่เมื่อคิดว่าเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อย ๆ และอาจจะไม่พบเจอกันอีก ก็ทำให้เขาพวกเขาหม่นใจ“ตอนแรกก้องไม่อยากให้ฉันมาเลย” มาลารินเอ่ยขึ้นเบา ๆชวลิตเข้ามาสวมกอดมาลารินจากทางด้านหลัง เขากระชับอ้อมแขนแน่น เกยคางกับบ่าเล็ก ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในหัวใจ เขานั้นอยากจะกอดเธอแบบนี้มาตั้งนานแล้ว“ทำไมล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ“ที่คุณบอกว่าอยากเจอฉันครั้งสุดท้าย ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ เค้าคิดว่าคุณอาจจะทำร้ายฉันน่ะค่ะ”“ฉันคงดูเป็นคนใจร้ายมาก







