LOGINบทที่ 08
เด็กฝึกงาน
หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท
รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม
“ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว”
วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย
“ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง
ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
เขาก้าวเข้ามาในลิฟท์ผู้บริหาร เลขาสาวก้าวตามเข้าไป เธอเริ่มอธิบายตารางงานต่าง ๆ กับเขาอย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ประชุมตอนบ่ายกับทีมโครงการใหม่ พรุ่งนี้ก็จะมีเด็กฝึกงานมาร่วมด้วย รายชื่อเด็กฝึกงาน ฉันวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณคับ”
ประตูลิฟท์เปิดออกมาถึงขึ้น 21 วารีนำเขาไปยังห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก็หยิบแฟ้มรายชื่อเด็กฝึกงานขึ้นมาเปิดดู และในนั้นมีชื่อหนึ่งสะดุดตาเขาอย่างจัง
‘มาลาริน รักษ์แดนดิน’
ปลายนิ้วของเขาชะงักค้างอยู่ที่ขอบแฟ้ม ชวลิตเงยหน้ามองวารี
“ผมต้องการให้คุณตัดชื่อเด็กฝึกงานที่ชื่อมาลารินออกไป” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แววตาจริงจัง
“ท่านประธานใหญ่เป็นคนส่งเธอมาค่ะ” วารีรายงานตามตรง ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเด็กฝึกงานที่ชื่อมาลารินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไร แต่คิดว่าชวลิตไม่พอใจเธอมาก ๆ
เขาโบกมือให้วารีออกไป ใบหน้าหล่อเหลานั้นเครียดขึง กรามหนาขบกันแน่น ในใจของเขาเริ่มคุกรุ่น ดูเหมือนว่ามาลารินจะกล้าดีเกินไปแล้ว
ณ ห้องนั่งเล่นภายในเรือนหลังที่อนงค์อยู่ประจำ หญิงชรานั่งอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล มือข้างหนึ่งถือถ้วยชา อีกข้างหนึ่งเปิดแฟ้มเอกสารที่ส่งมาจากสำนักงานใหญ่ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นอ่านเอกสารอย่างพินิจ ก่อนจะเงยหน้ามองมาลารินที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า
“พรุ่งนี้ไปแต่เช้านะลาริน” อนงค์เอ่ยเสียงเรียบ จิบชาเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตั้งใจเรียนรู้ให้มากล่ะ ฝึกงานเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยนะ”
“ค่ะคุณท่าน ขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่ให้โอกาสหนู”
มาลารินยกมือไหว้อนงค์ด้วยความรู้สึกขอบคุณ แม้ในใจลึก ๆ เธอจะไม่ได้ยินดีกับการเข้าไปฝึกงานที่นี่ก็ตาม จริง ๆ แล้วมาลารินยื่นเอกสารฝึกงานไปที่อื่นแล้ว แต่เธอต้องยกเลิกไป เพราะอนงค์ได้จัดการให้เธอไปฝึกงานที่บริษัทสุรีย์ฉายแล้ว
เธอรู้ในความหวังดีของอนงค์ รู้มาตลอดว่าอนงค์เมตตาเธอขนาดไหน อนงค์ให้ที่พักพิง ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงินเธอใช้ตลอดทุกเดือน ส่งเสียเธอเรียนจนถึงปริญญาตรี ดังนั้น มาลารินจึงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของอนงค์สักนิด
“ถ้าธารินทำการบ้านเสร็จแล้ว เรียกมาหาฉันด้วย ฉันมีขนมจะให้” อนงค์บอกด้วยรอยยิ้ม
มาลารินพยักหน้าก่อนจะค่อย ๆ ออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม เธอนั้นรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของอนงค์เสมอ ยิ่งกับมาธาริน น้องชายของเธอ อนงค์เอ็นดูมาธารินมาก ๆ มักจะคอยเรียกหาน้องชายเธอเสมอ และมักจะบอกให้น้องชายเธอไปนอนเป็นเพื่อนบ่อย ๆ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจ บอกกับตัวเองว่า แม้จะไม่มีโอกาสตอบแทน แต่จะไม่ลืมพระคุณของอนงค์ไปตลอดชีวิต
เธอเดินกลับมายังบ้านพักหลังเล็ก ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่ แฟ้มเอกสารก็ลอยลิ่วเฉียดศีรษะของเธอไป
มาลารินใจหายวาบ หันไปมองชวลิตที่เดินออกมาจากสวนเล็ก ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังรอคอยที่จะจัดการบางอย่างกับเธออยู่แล้ว
“อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย?” เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน กรามหนาบดแน่น “นอกจากจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ที่นี่แล้ว ยังกล้าเสนอหน้าไปที่บริษัทอีกหรือไงวะ!”
มาลารินสะดุ้งกับเสียงตวาดลั่นของเขา มือบางประสานเข้าหากันแน่น ไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ เขานิ่วหน้าเธอที่เอาแต่นิ่ง ร่างสูงก้าวไปหาเธอด้วยความโกรธ แต่ต้องชะงักเมื่อได้เสียงหนึ่งดังขึ้น...
“ลาริน...”
มาธารินยืนมองพี่สาวของเขาที่ยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มาลารินตกใจ รีบเดินไปหามาธาริน ใช้ตัวเองบังน้องชายเอาไว้
“คุณท่านให้ไปหาน่ะ รีบไปเร็ว” มาลารินกระซิบบอกน้องชาย หมุนตัวให้อีกฝ่ายวิ่งไปทางหลังบ้าน
ชวลิตนิ่วหน้า หัวใจของเขาเต้นโครมคราม แม้ได้สบตากับเด็กชายคนนั้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกเข้าที่กลางใจของเขาอย่างจัง
“เด็กคนนั้นเป็นใคร?”
“น้องชายฉันค่ะ” มาลารินตอบโดยไม่มองหน้า ราวกับคนกำลังปกปิดความผิด
ชวลิตไม่พูดอะไร เขาเดินหันหลังกลับไปง่าย ๆ เหมือนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง มาลารินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอหวังว่าเขาจะไม่สงสัยอะไร
ชวลิตก้าวเท้าช้า ๆ มาตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนหลังเล็ก เขาหยุดเดินเล็กน้อย หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นเพียงหลังคาของเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ภาพในอดีตก็หวนกลับเข้ามาในใจ
ครั้งหนึ่ง ที่แห่งนั้นเคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่วันนี้เขารู้สึกว่าบรรยากาศนั้นเงียบเหงา เขาก้าวเดินต่อไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง
เขาเดินผ่านประตูไม้ของเรือนหลังเล็ก เสียงบทสนทนาเบา ๆ ดังแว่วมาจากด้านใน เป็นเสียงของอนงค์กับเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง เธอเขาคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
“อร่อยมั้ยธาริน” เสียงของอนงค์ฟังดูอบอุ่น
“อร่อยมากเลยครับคุณท่าน” น้ำเสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง
ชวลิตยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจของเขาเต้นระรัว พลันใบหน้าของเด็กชายคนนั้นที่เห็นเพียงเสี้ยวนาทีก็ปรากฏชัด เขาเข้าใจบางเรื่องได้ทันที
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้เบื้องหลัง ราวกับไม่อยากจะสนใจมันอีก...
โต๊ะสีเข้มกลางห้องล้อมด้วยเก้าอี้ เสียงหน้าจอโฮโลแกรมแสดงกราฟรายงานยอดขายไตรมาสก่อนยังดังแผ่ว ขณะที่ทีมพัฒนาธุรกิจกำลังทยอยเข้าสู่ห้องประชุม
ชวลิตนั่งอยู่หัวโต๊ะในชุดสูทสีเข้ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเรียบเฉย ท่วงท่าของเขาสงบนิ่งดูน่าเคารพ
“วันนี้เรามีเด็กฝึกงานมาร่วมทีมด้วยครับ” ธนา หัวหน้าแผนกพัฒนาธุรกิจเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางประตู เด็กฝึกงานสองคนเดินเข้ามา เป็นนักศึกษาหญิงหนึ่งคน นักศึกษาชายหนึ่งคน
“สวัสดีครับท่านรองฯ ผมกรกฏ เพิ่มพูนทรัพย์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” นักศึกษาหนุ่มรายงานตัวอย่างกระตือรือร้น
ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ ขณะที่มาลารินยืนนิ่งสูดหายใจลึก เธอก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย
"สวัสดีค่ะ ดิฉันมาลาริน...”
ยังไม่ทันที่มาลารินจะกล่าวแนะนำตัวเสร็จ ชวลิตก็หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดู บรรยากาศในห้องประชุมก็เงียบลงทันที ทุกสายตาหันมามองมาลารินเป็นตาเดียว
“เริ่มประชุมเลยครับ” ชวลิตกล่าวเสียงเรียบ
มาลารินยืนนิ่งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก เธอรู้สึกอายแต่ต้องฝืนยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน เธอหันไปสบตาวารี เลขาส่วนตัวของชวลิต หล่อนพยักเพยิดหน้าบอกให้เธอไปนั่งยังมุมที่จัดให้ไว้สำหรับนักศึกษาฝึกงาน และการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
“สวัสดี เราก้องนะ เธอชื่ออะไร?” กรกฏหันมาทักทายมาลารินอย่างเป็นมิตร
มาลารินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน “สวัสดีนะก้อง เธอเรียกเราลารินก็ได้”
เด็กฝึกงานสองคนเริ่มผูกมิตรกันผ่านบทสนทนาเล็ก ๆ พวกเขาคิดว่าสามเดือนต่อจากนี้จะต้องทำงานร่วมกัน แผนกนี้มีเด็กฝึกงานสองคน คงมีพวกเขาสองคนที่จะสนิทกันที่สุด
ขณะที่กำลังพูดคุยกันเบา ๆ มาลารินก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้อง เมื่อหันไปทางหัวโต๊ะที่ชวลิตนั่งอยู่ เธอก็เห็นสายตาคมกริบเขามองมา แววตาคู่นั้นไร้แววอ่อนโยน มีเพียงความเกลียดชังที่แผ่กระจายออกมาจนเธอรู้สึกเย็นเยียบลงกระดูกสันหลัง
มาลารินสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องเบือนหน้าหนี ความรู้สึกเหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ทั้งที่อยากทำใจให้เคยชิน แต่มาลารินก็ยังทำไม่ได้เสียที...
บทที่ 34ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?มาลารินมองมือของชวลิตที่จับมือของเธอไว้แน่น ทุกย่างก้าวที่เขานำพาเธอไป หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงรถเขาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ส่วนเขาอ้อมไปฝั่งคนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วขับรถออกไปโดยไม่รอรีบรรยากาศภายในรถเงียบงันจนมาลารินรู้สึกอึดอัด เหลือบสายตามองคนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเลือดสีแดงเป็นรอยยาวจากหางคิ้วจนถึงขมับ ความทรงจำเมื่อครู่ย้อนกลับเข้ามา มาลารินไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนที่เอาแต่พร่ำบอกว่าเกลียดเธอถึงพุ่งเข้ามากอดเธอไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า แววตาของเขาเรียบนิ่งยากจะคาดเดา และหางตาของเขาก็รับรู้ถึงสายตาของคนข้างกายที่เอาแต่จับจ้องเขาอยู่ “มองอะไร?” เขาเหลือบมองเธอเล็กน้อย มาลารินยกมือขึ้นแตะเบา ๆ ที่หางคิ้วของตัวเองเป็นสัญญาณบอกเขา ชวลิตเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกมองหลัง เห็นเลือดไหลเป็นทางยาว เขาใช้มือเช็ดมันลวก ๆ อย่างไม่ใส่ใจ “คุณต้องทำแผลนะ” “ช่างมัน...” มาลารินไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปด้านนอก สองข้างทางเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอไม่รู
บทที่ 33สัญชาตญาณ ในช่วงบ่าย ณ วัดหลวงเก่าแก่กลางเมือง แม้ว่าแดดจะแผดเผาสักเพียงใด ทว่าผู้คนยังหลั่งไหลเข้ามาในงานศพอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนในเครื่องแบบ ข้าราชการ นักการเมือง รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ นั้นก็ร่วมส่งอนงค์เป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางคนมากมายนั้น มาลารินยืนปะปนอยู่กับผู้คน เธอสวมเดรสสีดำเรียบสนิท ใบหน้าราบเรียบ ทว่าดวงตานั้นมีร่องรอยความเศร้าชัดเจน “นั่นลารินหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดึงขึ้นจากกลุ่มคนรับใช้ที่บ้านสุรีย์ฉายที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหนึ่ง สมจิตรหันไปตามสายตาของพวกหล่อน เมื่อเห็นมาลารินเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่สมจิตรส่งข้อความบอกมาลารินเรื่องอนงค์ไป หลายคืนที่ผ่านมาเธอก็ไม่เคยเห็นมาลารินปรากฏตัวที่งานศพสักคืน จนกระทั่งวันสุดท้ายนี้ เธอรอลุ้นทุกวินาทีให้มาลารินมา และมาลารินก็มาจริง ๆ มือของมาลารินกำดอกไม้จันทน์ไว้แน่น เธอก้าวขึ้นบันได้เมรุจนมาถึงหน้าโลงศพที่วางบนแท่น เธอยกขึ้นไหว้ช้า ๆ ก่อนโน้มตัววางดอกไม้จันทน์หน้าเตาเผา หลับตาพูดในใจ “เดินทางปลอดภัยนะคะคุณท่าน...” เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัย
บทที่ 32ความจริงอันเจ็บปวดบรรยากาศในเรือนกระจกเงียบลง ๆ ลมอ่อนจากช่องระบายอากาศพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ลอยวนอยู่ในอากาศ คล้ายกับมวลความรู้สึกบางอย่างนั้นก่อตัวขึ้นมาในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่คมของชวลิตจ้องมองไปยังใบหน้าสวยหวานของเธอ ผมยาวสลวยพลิ้วไหวเบา ๆ คลอเคลียข้างแก้มใส ทำให้เธอดูอ่อนโยนงดงามราวกับภาพวาดจนเขาไม่อาจละสายตา ดวงตาที่สะท้อนภาพของมาลารินนั้นเปล่งประกาย ชวลิตรู้สึกว่าหญิงสาวดูดีขึ้นมาก ๆ ร่างกายที่เคยผอมบางของเธอนั้นดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผิวพรรณก็ดูสดใส นัยน์ตาคู่สวยก็ดูสุกสกาวกว่าเมื่อก่อน การได้เห็นเธอเป็น ๆ มากกว่ามองดูผ่านรูปถ่าย มันรู้สึกดีมากจริง ๆ และตอนนี้มันมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา อยากถามว่าเธอสบายดีไหม เธอเป็นอย่างไรบ้าง และมีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย ทว่าเขาเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่มีสักคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเขา เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้คาดหวังว่าเจอเขา พอได้เจอดวงตาคู่นี้ก็สั่นไหวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็พยายามเก็บมันเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขณะที่เธอสังเกตว่าเขานั้นเปลี่ยนไป ใบหน้าของชว
บทที่ 31ที่ที่ไม่อยากกลับไปที่สุด รถแท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ที่รอบล้อมด้วยรั้วปูนสีขาว หญิงสาวก้าวลงมาจากรถพร้อมกับน้องชายวัยสิบขวบ ประตูเหล็กบานเล็กที่อยู่ตรงหน้า หวนให้เธอนึกถึงเรื่องราวที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูนั้น สถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทำให้วันที่เดินจากมา เธอก็ไม่คิดที่อยากจะหวนกลับมาอีก หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่ออกมาจากบ้านสุรีย์ฉาย มาลารินไม่เคยได้รับโทรศัพท์จากสมจิตรอีกเลย กระทั่งเมื่อวานที่อีกฝ่ายโทรมาหาเธอ คำพูดคำจาแปลก ๆ เกี่ยวกับอนงค์ทำให้เธอไม่อาจวางใจลงได้ เธอเป็นห่วงอนงค์อย่างสุดซึ้ง จึงตัดสินใจลางาน และมาธารินหยุดเรียนเพื่อจะมาเยี่ยมอนงค์สักครั้ง ประตูเหล็กบานเล็กเปิดออก สมจิตรยืนรออยู่ เมื่อได้เห็นสองพี่น้องหญิงชราก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เอ็งสบายดีจริง ๆ สินะลาริน” สมจิตรลูบศีรษะมาลารินเบา ๆ เมื่อได้เห็นแววตาที่สว่างไสวกว่าเมื่อก่อนก็ทำให้เธอเบาใจ สิ่งที่สมจิตรปรารถนามีเพียงให้สองพี่น้องประสบพบกับความสุขเท่านั้น “ไม่เจอนาน เอ็งสูงขึ้นแล้วนะธาริน” “ใช่ครับย
บทที่ 30สังหรณ์ใจ ผ่านมากว่าสองสัปดาห์สำหรับการเรียนรู้งานจากมาลาริน วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาลารินจะให้พีรพลฝึกรับสายจากลูกค้าจริง “ทำใจให้สบายนะคะ” มาลารินเอ่ยกับเขายิ้ม ๆ “ทำใจให้สบายนี่ ฟังดูแปลก ๆ นะคุณ” พีรพลเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เขาหยิบหูฟังแบบครอบหูขึ้นมาสวมใส่ ท่าทางมั่นใจเต็มร้อย “แต่ผมสบาย ๆ อยู่แล้ว” “โอเค” มาลารินพยักหน้าเบา ๆ เธอกดปุ่มเริ่มระบบการทำงานให้กับเขา และสายแรกดังเข้ามาทันที “สวัสดีครับ บริษัท...พีรพลรับสาย ยินดีให้บริการครับ” น้ำเสียงที่ชัดเจนฟังดูมั่นใจของพีรพลดังไปตามสาย “จ่ายตังค์ค่าเน็ตไปแล้ว ทำไมยังใช้งานไม่ได้วะ!” น้ำเสียงห้วนจัดของลูกค้าดังตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำให้พีรพลสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขายังเก็บอาการ “ไม่ทราบว่าผมเรียนสายกับคุณผู้ชายอะไรครับ” พีรพลถามกลับไปอย่างสุภาพ “มึงไม่แหกตาดูเลยหรือไง กูโทรไปชื่อกูก็ต้องขึ้นดิ!” ลูกค้าที่อยู่ปลายสายเริ่มหยาบคาย พีรพลหันมาสบตามาลารินอย่างขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าเธอฟังสายไปพร้อมกับเขา เธอหยิบหูฟังขึ้นมาแล้วกดโอนสายของลูกค้ามาที่
บทที่ 29ฝันร้าย สุขภาพของอนงค์ย่ำแย่ลงไปทุกวัน เธอเบื่ออาหาร ทั้งยังนอนหลับไม่สนิท เหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ พูดน้อยลงและมักถอนหายใจบ่อยครั้งเวลาอยู่คนเดียว เธอผ่ายผอมจนหนังแทบหุ้มกระดูก และแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่อาการอ่อนแรงของอนงค์กลับไม่ทุเลาลงเลย ร่างผอมเกร็งนอนอยู่บนเตียงกว้าง เธอมองเพดานสีขาวนวล อนงค์รู้สึกว่ารอบกายของเธอนั้นเงียบเกินไป กระทั่งเธอได้ยินเสียงประตูห้องค่อย ๆ เปิดออก เสียงฝีเท้านุ่ม ๆ ดังบนพื้นพรม อนงค์ผินหน้าหันไปมองทางประตู ขวัญเรือนเดินเข้ามา หญิงสาวอยู่ในชุดแม่บ้าน สะอาดสะอ้าน ท่าทางของเธอเรียบร้อยและแสดงความอ่อนน้อมต่ออนงค์ “คุณท่านอยากได้อะไรหรือเปล่าคะ?” ขวัญเรือนเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย อนงค์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเธอค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของขวัญเรือนชัด ๆ ใจเธอสั่นรัว มือเย็นเฉียบลงโดยไม่รู้ตัว “ขวัญเรือน” ริมฝีปากแห้งผากของอนงค์เรียกชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตาสะท้อนความหวาดกลัวออกมา “นะ...นี่เธอ” ขวัญเรือนยิ้ม เธอเดินผ่านหน้าอนงค์ออกไปยัง







