บทที่ 08
เด็กฝึกงาน
หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท
รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม
“ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว”
วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย
“ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง
ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
เขาก้าวเข้ามาในลิฟท์ผู้บริหาร เลขาสาวก้าวตามเข้าไป เธอเริ่มอธิบายตารางงานต่าง ๆ กับเขาอย่างคล่องแคล่ว
“วันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ประชุมตอนบ่ายกับทีมโครงการใหม่ พรุ่งนี้ก็จะมีเด็กฝึกงานมาร่วมด้วย รายชื่อเด็กฝึกงาน ฉันวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ขอบคุณคับ”
ประตูลิฟท์เปิดออกมาถึงขึ้น 21 วารีนำเขาไปยังห้องทำงานส่วนตัว เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ก็หยิบแฟ้มรายชื่อเด็กฝึกงานขึ้นมาเปิดดู และในนั้นมีชื่อหนึ่งสะดุดตาเขาอย่างจัง
‘มาลาริน รักษ์แดนดิน’
ปลายนิ้วของเขาชะงักค้างอยู่ที่ขอบแฟ้ม ชวลิตเงยหน้ามองวารี
“ผมต้องการให้คุณตัดชื่อเด็กฝึกงานที่ชื่อมาลารินออกไป” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แววตาจริงจัง
“ท่านประธานใหญ่เป็นคนส่งเธอมาค่ะ” วารีรายงานตามตรง ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเด็กฝึกงานที่ชื่อมาลารินนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไร แต่คิดว่าชวลิตไม่พอใจเธอมาก ๆ
เขาโบกมือให้วารีออกไป ใบหน้าหล่อเหลานั้นเครียดขึง กรามหนาขบกันแน่น ในใจของเขาเริ่มคุกรุ่น ดูเหมือนว่ามาลารินจะกล้าดีเกินไปแล้ว
ณ ห้องนั่งเล่นภายในเรือนหลังที่อนงค์อยู่ประจำ หญิงชรานั่งอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล มือข้างหนึ่งถือถ้วยชา อีกข้างหนึ่งเปิดแฟ้มเอกสารที่ส่งมาจากสำนักงานใหญ่ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นอ่านเอกสารอย่างพินิจ ก่อนจะเงยหน้ามองมาลารินที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า
“พรุ่งนี้ไปแต่เช้านะลาริน” อนงค์เอ่ยเสียงเรียบ จิบชาเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ตั้งใจเรียนรู้ให้มากล่ะ ฝึกงานเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยนะ”
“ค่ะคุณท่าน ขอบพระคุณคุณท่านมากนะคะที่ให้โอกาสหนู”
มาลารินยกมือไหว้อนงค์ด้วยความรู้สึกขอบคุณ แม้ในใจลึก ๆ เธอจะไม่ได้ยินดีกับการเข้าไปฝึกงานที่นี่ก็ตาม จริง ๆ แล้วมาลารินยื่นเอกสารฝึกงานไปที่อื่นแล้ว แต่เธอต้องยกเลิกไป เพราะอนงค์ได้จัดการให้เธอไปฝึกงานที่บริษัทสุรีย์ฉายแล้ว
เธอรู้ในความหวังดีของอนงค์ รู้มาตลอดว่าอนงค์เมตตาเธอขนาดไหน อนงค์ให้ที่พักพิง ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงินเธอใช้ตลอดทุกเดือน ส่งเสียเธอเรียนจนถึงปริญญาตรี ดังนั้น มาลารินจึงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจของอนงค์สักนิด
“ถ้าธารินทำการบ้านเสร็จแล้ว เรียกมาหาฉันด้วย ฉันมีขนมจะให้” อนงค์บอกด้วยรอยยิ้ม
มาลารินพยักหน้าก่อนจะค่อย ๆ ออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม เธอนั้นรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของอนงค์เสมอ ยิ่งกับมาธาริน น้องชายของเธอ อนงค์เอ็นดูมาธารินมาก ๆ มักจะคอยเรียกหาน้องชายเธอเสมอ และมักจะบอกให้น้องชายเธอไปนอนเป็นเพื่อนบ่อย ๆ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจ บอกกับตัวเองว่า แม้จะไม่มีโอกาสตอบแทน แต่จะไม่ลืมพระคุณของอนงค์ไปตลอดชีวิต
เธอเดินกลับมายังบ้านพักหลังเล็ก ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่ แฟ้มเอกสารก็ลอยลิ่วเฉียดศีรษะของเธอไป
มาลารินใจหายวาบ หันไปมองชวลิตที่เดินออกมาจากสวนเล็ก ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังรอคอยที่จะจัดการบางอย่างกับเธออยู่แล้ว
“อยากลองดีกับฉันใช่มั้ย?” เขาเค้นเสียงลอดไรฟัน กรามหนาบดแน่น “นอกจากจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ที่นี่แล้ว ยังกล้าเสนอหน้าไปที่บริษัทอีกหรือไงวะ!”
มาลารินสะดุ้งกับเสียงตวาดลั่นของเขา มือบางประสานเข้าหากันแน่น ไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ เขานิ่วหน้าเธอที่เอาแต่นิ่ง ร่างสูงก้าวไปหาเธอด้วยความโกรธ แต่ต้องชะงักเมื่อได้เสียงหนึ่งดังขึ้น...
“ลาริน...”
มาธารินยืนมองพี่สาวของเขาที่ยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มาลารินตกใจ รีบเดินไปหามาธาริน ใช้ตัวเองบังน้องชายเอาไว้
“คุณท่านให้ไปหาน่ะ รีบไปเร็ว” มาลารินกระซิบบอกน้องชาย หมุนตัวให้อีกฝ่ายวิ่งไปทางหลังบ้าน
ชวลิตนิ่วหน้า หัวใจของเขาเต้นโครมคราม แม้ได้สบตากับเด็กชายคนนั้นเพียงเสี้ยววินาที แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกเข้าที่กลางใจของเขาอย่างจัง
“เด็กคนนั้นเป็นใคร?”
“น้องชายฉันค่ะ” มาลารินตอบโดยไม่มองหน้า ราวกับคนกำลังปกปิดความผิด
ชวลิตไม่พูดอะไร เขาเดินหันหลังกลับไปง่าย ๆ เหมือนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง มาลารินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เธอหวังว่าเขาจะไม่สงสัยอะไร
ชวลิตก้าวเท้าช้า ๆ มาตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนหลังเล็ก เขาหยุดเดินเล็กน้อย หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นเพียงหลังคาของเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ภาพในอดีตก็หวนกลับเข้ามาในใจ
ครั้งหนึ่ง ที่แห่งนั้นเคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ เต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่วันนี้เขารู้สึกว่าบรรยากาศนั้นเงียบเหงา เขาก้าวเดินต่อไปด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง
เขาเดินผ่านประตูไม้ของเรือนหลังเล็ก เสียงบทสนทนาเบา ๆ ดังแว่วมาจากด้านใน เป็นเสียงของอนงค์กับเสียงของเด็กชายคนหนึ่ง เธอเขาคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
“อร่อยมั้ยธาริน” เสียงของอนงค์ฟังดูอบอุ่น
“อร่อยมากเลยครับคุณท่าน” น้ำเสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง
ชวลิตยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจของเขาเต้นระรัว พลันใบหน้าของเด็กชายคนนั้นที่เห็นเพียงเสี้ยวนาทีก็ปรากฏชัด เขาเข้าใจบางเรื่องได้ทันที
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป ทิ้งความรู้สึกบางอย่างไว้เบื้องหลัง ราวกับไม่อยากจะสนใจมันอีก...
โต๊ะสีเข้มกลางห้องล้อมด้วยเก้าอี้ เสียงหน้าจอโฮโลแกรมแสดงกราฟรายงานยอดขายไตรมาสก่อนยังดังแผ่ว ขณะที่ทีมพัฒนาธุรกิจกำลังทยอยเข้าสู่ห้องประชุม
ชวลิตนั่งอยู่หัวโต๊ะในชุดสูทสีเข้ม ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเรียบเฉย ท่วงท่าของเขาสงบนิ่งดูน่าเคารพ
“วันนี้เรามีเด็กฝึกงานมาร่วมทีมด้วยครับ” ธนา หัวหน้าแผนกพัฒนาธุรกิจเอ่ยขึ้น พลางหันไปทางประตู เด็กฝึกงานสองคนเดินเข้ามา เป็นนักศึกษาหญิงหนึ่งคน นักศึกษาชายหนึ่งคน
“สวัสดีครับท่านรองฯ ผมกรกฏ เพิ่มพูนทรัพย์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” นักศึกษาหนุ่มรายงานตัวอย่างกระตือรือร้น
ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ ขณะที่มาลารินยืนนิ่งสูดหายใจลึก เธอก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย
"สวัสดีค่ะ ดิฉันมาลาริน...”
ยังไม่ทันที่มาลารินจะกล่าวแนะนำตัวเสร็จ ชวลิตก็หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดู บรรยากาศในห้องประชุมก็เงียบลงทันที ทุกสายตาหันมามองมาลารินเป็นตาเดียว
“เริ่มประชุมเลยครับ” ชวลิตกล่าวเสียงเรียบ
มาลารินยืนนิ่งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก เธอรู้สึกอายแต่ต้องฝืนยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน เธอหันไปสบตาวารี เลขาส่วนตัวของชวลิต หล่อนพยักเพยิดหน้าบอกให้เธอไปนั่งยังมุมที่จัดให้ไว้สำหรับนักศึกษาฝึกงาน และการประชุมก็เริ่มต้นขึ้น
“สวัสดี เราก้องนะ เธอชื่ออะไร?” กรกฏหันมาทักทายมาลารินอย่างเป็นมิตร
มาลารินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน “สวัสดีนะก้อง เธอเรียกเราลารินก็ได้”
เด็กฝึกงานสองคนเริ่มผูกมิตรกันผ่านบทสนทนาเล็ก ๆ พวกเขาคิดว่าสามเดือนต่อจากนี้จะต้องทำงานร่วมกัน แผนกนี้มีเด็กฝึกงานสองคน คงมีพวกเขาสองคนที่จะสนิทกันที่สุด
ขณะที่กำลังพูดคุยกันเบา ๆ มาลารินก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้อง เมื่อหันไปทางหัวโต๊ะที่ชวลิตนั่งอยู่ เธอก็เห็นสายตาคมกริบเขามองมา แววตาคู่นั้นไร้แววอ่อนโยน มีเพียงความเกลียดชังที่แผ่กระจายออกมาจนเธอรู้สึกเย็นเยียบลงกระดูกสันหลัง
มาลารินสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องเบือนหน้าหนี ความรู้สึกเหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ทั้งที่อยากทำใจให้เคยชิน แต่มาลารินก็ยังทำไม่ได้เสียที...
บทที่ 10ทั้งที่เอา...แต่พูดว่าเกลียด “ต้องการสิ ฉันจะไม่ต้องการเธอได้ยังไง...” มาลารินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะนำพาเธอสู่ห้วงอดีตที่เคยแนบชิดกันในยามค่ำคืน มือบางแตะที่ต้นขาเขาเบา ๆ สัมผัสนั้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เขาลอบลอบน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นรัวอย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงของเขา เธอไม่ได้รีบร้อน ตั้งใจสัมผัสเขาอย่างนุ่มนวล ทว่าแฝงไปด้วยปรารถนาซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเธอมานาน แท่งร้อนใหญ่คลายออกมาช้า ๆ มาลารินใช้ริมฝีปากนุ่มสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา เสียงลมหายใจของเขาดังสะท้อนอยู่ในห้องเงียบ ๆ ชายกัดฟันแน่นเมื่อปลายลิ้นเล็ก ๆ ของเธอแตะตรงส่วนหัวหยักบานของเขา “อืม...” ชายหนุ่มครางตำอยู่ในลำคอ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปกอบกุมช่อผมของเธอที่มันเป็นหางม้าสูง ขณะที่เธอค่อย ๆ กลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทีละน้อย จังหวะเนิบนาบ แต่แนบแน่น กล้ามเนื้อหน้าท้องเกร็งจ สายตาของเขาที่เคยมองเธออย่างชิงชัง บัดนี้กลับพร่าเลือนไปด้วยไฟแห่งราคะ แม้หญิงสาวจะห่างหายจากเรื่องอย่างว่ามานานนับปี ตั้งแต่เขาไม่มา
บทที่ 09ขวางหูขวางตา ผ่านมากกว่าสองสัปดาห์สำหรับชีวิตการฝึกงาน มาลารินกับกรกฏได้เรียนรู้งานต่าง ๆ ผ่านงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย มาลารินนั้นตั้งใจทำงานอย่างรอบคอบ เธอไม่ใช่คนพูดมากนัก ขณะที่กรกฏค่อนข้างร่าเริง พูดเก่ง และมักชวนมาลารินพูดคุยเสมอ ทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว จนทำให้พี่ ๆ ในแผนกแซวว่าพวกเขานั้นเข้ากันได้ดี มาลารินไม่ได้สนใจคำพูดพวกนั้นมากนัก เธอรู้ดีแก่ใจว่าตนกับกรกฏนั้นเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ที่สำคัญ กรกฏนั้นมีแฟนอยู่แล้ว เธอกับเขาไม่มีทางเกินเลยกันไปมากกว่านี้แน่ ในช่วงที่ผ่านมานั้น มาลารินก็รู้สึกหายใจหายคอสะดวกขึ้น เพราะการฝึกงานของเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชวลิตโดยตรง แค่เป็นเด็กฝึกงานภายใต้โครงการที่เขาดูแลอยู่เท่านั้น ไม่ได้เจอเขาเลย แม้จะที่บ้านก็ตาม แต่กระทั่งวันหนึ่งที่มีประชุมใหญ่ เด็กฝึกงานอย่างพวกเธอก็ต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อเรียนรู้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องพบเจอเขาในวันนี้ เสียงพูดคุยในห้องประชุมดังขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่ม บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อพี่ ๆ ในทีมหันมาหยอกล้อเด็กฝึกงานสองคนที่นั่งอย
บทที่ 08เด็กฝึกงาน หลังจากกลับไทย ชวลิตใช้เวลาพักผ่อนถึงสองสัปดาห์เต็ม ก่อนที่จะเริ่มเข้ามารับตำแหน่งรองกรรมผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ที่เขาจะเขามาช่วยดูแลโครงการใหม่ของบริษัท รถยุโรปคันสีดำแล่นเข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทสุรีย์ฉาย ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือของครอบครัว พนักงานบางส่วนยืนรอต้อนรับด้านหน้า เมื่อร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทเรียหรูสีกรมท่าก้าวลงมา เขาก็ดูโดดเด่นได้โดยไม่ต้องพยายาม “ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญที่ชั้น 21 ได้เลยค่ะ ดิฉันเตรียมห้องทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว” วารี เลขาสาววัยสามสิบปีในชุดสูทสีดำยิ้มอย่างเปิดเผย หล่อนเป็นผู้ชายเขาตั้งแต่ดูแลสาขาที่ลอนดอน เมื่อเขากลับมาที่ไทย ชวลิตจึงให้เอกลับมาช่วยงานที่นี่ด้วย “ครับ” ชวลิตพยักหน้าเบา ๆ เท้าของเขาก้าวเข้าไปในตึกอย่างมั่นคง ภายในล็อบบี้ พนักงานต่างพากันเงยหน้า สายตามองเขาอย่างตื่นเต้น เขาหันมายิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในหมู่พนักงานหญิงที่ชื่นชมในความหล่อและดูดีในภาพลักษณ์ของเขา ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้ไม่ยาก
บทที่ 07ก็อาจจะเกลียดน้อยลง เมื่อสองปีก่อน... คืนนั้นลมหนาวพัดผ่านเงาไม้ของเรือนหลังใหญ่ กลิ่นหอมของใบไม้แห้งคลอเคล้ากับเสียงหัวเราะครื้นเครงของกลุ่มเพื่อนของชวลิตที่นั่งอยู่ในด้วยกันในงานปาร์ตี้เล็ก ๆ ริมสระว่ายน้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชวลิตกลับมาเยี่ยมบ้าน คืนนั้นเขาจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อพบปะกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่นัดรวมตัวกัน เครื่องดื่มหลายขวดถูกเปิดส่งต่อกันไม่ขาด เสียงดังคลอไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คืนนั้นแม่บ้านหลายคนป่วย สมจิตรจึงให้มาลารินมาคอยช่วยงานในครัว โดยคืนนั้นมาธารินจึงไปนอนกับอนงค์ที่เรือนหลังเล็ก “ยกอาหารตรงนี้ไปเพิ่มหน่อยลาริน แล้วก็รีบกลับเข้ามาล่ะ อย่าอยู่เกะกะสายตาคุณต้น เสร็จแล้วก็กลับไปพัก พรุ่งนี้ค่อยมาเก็บล้างก็ได้” สมจิตรเอ่ยเสียงเรียบ “จ้ะยาย” แม้มาลารินจะปรากฏในงานเลี้ยงด้วยชุดเรียบ ๆ ผมมัดไว้อย่างลวก ๆ แต่ใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอก็ดูโดดเด่น เสียงแซวจากเพื่อนชายของชวลิตก็ดังขึ้น “โหต้น แม่บ้านที่น่ารักเกิ๊น” เพื่อนของเขาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่ชวลิตกลับดูไม่สนใจ
บทที่ 06หน้าด้านหน้าทน แสงไฟอบอุ่นจากโคมระย้าสาดส่องไปทั่วห้องโถงใหญ่ บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงพูดคุยของแขกที่มาเยือน ทั้งญาติผู้ใหญ่ คนในครอบครัว และเพื่อนพี่น้องของชวลิตที่ต่างมาร่วมกันสังสรรค์ต้อนรับการกลับมาอย่างเป็นทางการของเขา เมื่อหลายปีก่อน ชวลิตไปเรียนต่อด้านธุรกิจและด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังเรียนจบเขาก็ได้รับหน้าที่ดูแลสาขาย่อยของบริษัทใหญ่ในต่างแดน และตอนนี้บริษัทที่ไทยนั้นมีโปรเจคใหญ่ เขาจึงกลับมาช่วยงานที่นี่ ชวลิตในวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้า บุคลิกสุขุม สง่า ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของเขาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชายหนุ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนได้โดยไม่ต้องพยายาม ในขณะที่เขายืนโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ท่ามกลางผู้คนรุมล้อม มาลารินกลับซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ๆ ตรงหลังม่านสีขาว เธอไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในงาน แต่แค่อยากจะมาเห็นเขาสักครั้ง แค่นิดเดียวก็ยังดี... “นี่แกเข้ามาได้ยังไง!” มาลารินหันกลับไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นนวล หญิงรับใช้คนสนิทของตรีอัปสรที่กำลังจ้องเธอด้วยสายตาถมึงทึง “คุณท่านให้มาช่วยงา
บทที่ 05มืดมน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอิฐกับตรีอัปสรลุกลามใหญ่โต พวกเขาทะเลาะกันอย่างหนักเป็นครั้งแรก จนในที่สุดอิฐเอ่ยปากขอหย่ากับเธอ ทำให้ตรีอัปสรกรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ชลธิชาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อน เธอร้องไห้ด้วยความกลัวและเสียใจ โดยมีชวลิตคอยปลอบโยน “พี่ต้น ฮือ ๆๆ เต้ยเกลียดพวกมันสองคน ฮือ ๆๆ” ในใจของชวลิตก็เจ็บปวดและเสียใจไปไม่น้อยกว่าชลธิชาเลย แต่เขาก็ต้องเข้มแข็งแล้วกอดน้องสาวเอาไว้ “คุณเป็นคนผิดนะอิฐ! ทำไมถึงพูดแบบนี้” เสียงของตรีอัปสรดังลั่นไปทั่วบ้าน อิฐก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย “ผมผิดจริง ๆ ตรี...” “ฉันจะคุยกับคุณแม่เรื่องนี้” ตรีอัปสรยกมือขึ้นปาดน้ำตา “คุณแม่ไม่เอาพวกมันไว้แน่” ตรีอัปสรหันหลังออกจากบ้าน วิ่งไปที่เรือนใหญ่ เธอจะไปคุยกับอนงค์ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที “คุณแม่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ตรีนะคะ” ตรีอัปสรเอ่ยทั้งน้ำตา อนงค์นั่งนิ่งอยู่ภายในห้องนอนของเธอ หลังจากรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเธอก็เป็นลมล้มไปทันที ไม่คิดว่าลูกชายที่เ