 LOGIN
LOGINหานอวี้เฉิงไม่ได้มีนิสัยชอบสุงสิงกับใครนัก ยิ่งเวลาที่เขาเดินอยู่ในเขตหวงห้ามของตระกูลอวิ๋น ก็ยิ่งต้องการความเงียบสงบมากกว่าคำทักทายใด ๆ จากคนของตระกูลนี้ วันนี้เขาเป็นตัวแทนตระกูลมาหารือกับนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋น
แต่แล้วจังหวะก้าวเท้ากลับต้องหยุดลง
ในมุมสายตา เขาเห็นรถยุโรปสีดำคันหนึ่ง รถประจำตระกูลหลิวที่มีตราสัญลักษณ์พิเศษซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าสู่เขตหวงห้ามของตระกูลอวิ๋นได้โดยไม่ต้องรายงาน
และต่างรู้กันว่านี่คือรถของผู้นำตระกูลหลิวที่ยามนี้คือคุณยายสวี่เซียนหรู หรือนายท่านผู้เฒ่าหลิว สตรีผู้หนึ่งที่เก่งกาจจนเป็นที่นับถือของสี่ตระกูล รวมทั้งตระกูลหานอีกด้วย
แต่ดวงตาคมกลับเห็นว่ามีร่างหนึ่งนั่งพิงเบาะอยู่ข้างใน ใบหน้าที่เคยฉาบทาด้วยเครื่องสำอางที่จัดจ้าน ที่เคยเห็นในงานเลี้ยงต่าง ๆ ยังคงจำได้ดี แต่วันนี้ท่าทางเย่อหยิ่งอวดดีนั้นหายไป
ซูจิ้งหนาน คุณหนูผู้ขึ้นชื่อเรื่องนิสัยเสีย เอาแต่ใจ และช่างหาเรื่องที่สุดในบรรดาบุตรีตระกูลดัง ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะข่าวซุบซิบ แต่เพราะเธอทำตัวเอง และหานอวี้เฉิงมักมองสตรีผู้นี้อยู่ห่าง ๆ
แต่วันนี้…เธอกลับนั่งก้มหน้าซุกอกคุณยายของตนเอง ราวกับเด็กที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายแรงมา สีหน้าของเธออ่อนลง ไหล่ไหวสั่น และดวงตาคู่นั้นเปียกชื้น
‘ร้องไห้?’
หานอวี้เฉิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
มันไม่น่าจะใช่ภาพที่เขาคาดว่าจะได้เห็นจากผู้หญิงคนนี้เลย
เขาจำได้ดีในงานเลี้ยงครั้งก่อน เธอแต่งตัวสะดุดตา และเอาแต่ปั่นหัวคุณชายซ่งแบบไม่มีใครห้ามได้ ทั้งยังกลั่นแกล้งพี่สาวคนเดียวที่เกิดกับเมียนอกทะเบียนของคุณลุงซู จนซ่งเยี่ยนซินต้องเข้าไปปลอบใจ
แต่ตอนนี้…เธอกลับเหมือนคนละคน
เขาขยับเข้าใกล้รถโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงใหญ่สะท้อนกับกระจก เงาเข้มของเขาปรากฏตรงหน้าต่างด้านข้างพอดี เขาต้องการจะมองให้ชัด ๆ ว่าที่ตัวเองนั้นไม่ได้ตาฝาดไป
และเมื่อซูจิ้งหนานเงยหน้าขึ้นมา เธอก็สบตากับเขาเข้าตรง ๆ
…ดวงตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย แต่ว่าม่านน้ำตาที่วาบในดวงตาคู่นั้นเหมือนประกายดาวที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า แม้ว่ายามนี้จะเป็นยามกลางวันก็ตาม
หานอวี้เฉิงมีความรู้สึกสะดุดเล็กน้อย แต่เพียงแค่เศษเสี้ยวของลมหายใจ ก่อนจะดึงอารมณ์เย็นเช่นเดิมกลับคืนมา
เขาไม่ชอบผู้หญิงสวมหน้ากาก แต่แววตาคู่นั้นในตอนนี้ มันดูจริงเสียจนคิดว่าเธอคือคนละคน
เธอพัฒนาการแสดงได้ดีเยี่ยม
เหมือนคนที่ผ่านอะไรบางอย่างมาแล้วจริง ๆ
เขาคิดเงียบ ๆ
ริมฝีปากของเขาขยับแผ่วเบา…
“เด็กนั่นดูเหมือน เปลี่ยนไป”
และเขาไม่แน่ใจว่า…ชอบหรือไม่ชอบ
แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ได้ละสายตาจากเธอเลยสักวินาที ไม่ใช่เพราะสนใจแต่เพราะสงสัยต่างหาก
‘จะมาไม้ไหนอีก’
หานอวี้เฉิงคิดอย่างระแวง ก่อนที่ประตูรถจะเปิดลงมานั้น อวิ๋นไห่เฉินคุณชายใหญ่อวิ๋น สหายของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับทักทายผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณยายหลิว”
“สวัสดี...นี่ไห่เฉินใช่หรือไม่” สวี่เซียนหรูยิ้มให้กับหลานชายตรงหน้า ไม่ได้พบกันเสียนาน โตเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้แล้วหรือนี่ ยิ่งหันไปมองหลานสาวที่หน้าตาน่ารักสดใส ยิ่งทำให้ทอดถอนใจ
แต่เอาเถอะเรื่องนี้ให้หลานสาวของเธอตัดสินใจจะดีกว่า เมื่อมองเลยไปอีกฝั่งก็เห็นบุรุษหนุ่มอีกคน แต่เนื่องจากพบเจอกันบ้างในงานเลี้ยงก็พอจำได้
“หานอวี้เฉิงใช่หรือไม่” สวี่เซียนหรูเอ่ยทักชายหนุ่มท่าทางเย็นชา ที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้วก่อนจะเห็นว่าเขาก้มหัวแล้วทักทายเธอกลับ
“ครับ...สวัสดีครับ”
ซูจิ้งหนานมองสองหนุ่มที่ทักทายคุณยาย ทำให้เธอยืนเงียบ ๆ อย่างมีมารยาท ทั้งไม่เข้าไปพูดแทรกหรือขัดการสนทนา ที่เธอไม่รู้เลยว่าท่าทางอ่อนน้อมของเธอเปลี่ยนไป จนอีกสองหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ แต่ทว่าไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา จนกระทั่งเข้าไปด้านใน พบกับคุณปู่อวิ๋นซูจิ้งหนานจึงเอ่ยปากออกมา
“สวัสดีค่ะคุณปู่อวิ๋น สบายดีนะคะ”
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เธอคิดมารอบคอบแล้ว เพราะคุณปู่อวิ๋นนั้นเอ็นดูหลานสาวเป็นพิเศษ ทั้งตระกูลมีแต่หลานชาย การที่เธอทักทายผู้อาวุโสกว่าก่อนและยิ้มแย้มด้วยใบหน้าที่นอมน้อมทำให้เหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานในบ้านที่มีเงามืดแห่งนี้
อวิ๋นฉ่ายแย้มริมฝีปากกว้างเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นั่นทำให้แม้แต่หานอวี้เฉิงเองก็แปลกใจ หันมองหน้าสหายอย่างอวิ๋นไห่เฉิงคล้ายกับเจอเรื่องมหัศจรรย์
“นั่น...อาอี้หรือ” เสียงแหบพร่าของผู้เฒ่าตระกูลอวิ๋นทำให้สวี่เซียนหรูยกหลังมือปาดน้ำตา คิดถึงลูกสาวที่อายุสั้นต้องจากไปก่อน
ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้ข่าวยังต้องหลังน้ำตาเสียอกเสียใจกับสหายอย่างสวีเซียนหรูด้วยซ้ำ ทั้งไว้ทุกข์อยู่นาน แต่ทว่าเมื่อเห็นซูจิ้งหนานกลับให้นึกถึงเด็กน้อยคนนั้นที่เขาเคยอุ้มตั้งแต่เด็ก
“คุณปู่...นี่หนานหนานเองค่ะ คุณแม่ไปสวรรค์แล้ว” เธอว่าเสียงเครือเช่นกัน เหมือนก้นบึ้งหัวใจของร่างที่คิดถึงคุณแม่ของเธอไม่เปลี่ยน เมื่อเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ก็กักเก็บน้ำตาไว้ไม่ไหว
“นั่นสิเนอะ...ยายเด็กตัวน้อยใจร้ายคนนั้นทิ้งพวกเราไปแล้ว”
สวี่เซียนหรูรู้ดีกว่าใครว่า อวิ๋นฉ่ายเอ็นดูลูกสาวเธอแค่ไหน ทั้งยังเสียใจที่ลูกสาวเลือกผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น
แต่เอาเถอะตอนนี้ก็ได้หลานกลับคืนมาแล้ว
“พี่ฉ่าย...วันนี้ฉันมีเรื่องอยากหารือเรื่องตระกูลซู” ถ้อยคำของสวี่เซียนหรูทำให้สองบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ตั้งท่าจะเดินออก แต่ทว่ากลับถูกรั้งให้อยู่ก่อน
“หลานสองคนนั้นก็อยู่เถอะ”
หานอวี้เฉิงและอวิ๋นไห่เฉินหันหน้ามามองกัน ก่อนจะนั่งลงที่โซฟารับแขกใกล้ ๆ และนั่งฟังเงียบ ๆ โดยไม่ออกความคิดเห็น
“ว่ามาเถอะ”
“พี่ฉ่าย...เรื่องสัญญาการค้าที่หลิวอี้เคยขอร้องพี่เอาไว้ ตอนนี้ฉันเป็นตัวแทนลูกสาว ขอยกเลิกทั้งหมดค่ะ”
อวิ๋นฉ่ายขมวดคิ้วแน่น สัญญานี้ยายเด็กคนนั้นเข้ามาออดอ้อนและดูแลเขาอยู่นานนับเดือน กว่าจะได้ไป แต่ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น
“มีเรื่องอะไรหรือ”
“ซูเหวินเฉียงผู้ชายชั่วคนนั้นมันทำร้ายลูกสาวฉันไม่พอ ยังทุบตีหลานสาวของฉันอีก ฉันว่าฉันอดทนมามากพอแล้วค่ะ”
คำว่าทุบตีทำให้สองบุรุษหนุ่มมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องแบบนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อน คุณลุงซูอาจจะแค่สั่งสอนเด็กดื้ออย่างซูจิ้งหนานก็ได้ ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเธอร้ายกาจแค่ไหน
“บังอาจ”
เพล้ง!
ถ้วยชาบนโต๊ะถูกปัดทิ้งจนแตกกระจายทำให้ทุกคนสะดุ้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณปู่อวิ๋นถึงได้โกรธขนาดนั้น ไม่มีใครรู้ได้นอกเสียจากผู้เฒ่าสองคนนั้นเท่านั้น
“มันทำอะไรหลานฉัน”
คราวนี้เป็นอวิ๋นฉ่ายที่มองหน้าคุณยายสวี่เซียนหรู ทำให้สิ่งต่าง ๆ ถูกบอกเล่าออกมา แม้แต่ซูจิ้งหนานเองก็ไม่คิดว่าคุณยายรับรู้มาตลอด เพียงแต่อดีตนางร้ายคิดว่าไม่มีใครช่วยตัวเองได้ ต้องดิ้นรนกำจัดสองแม่ลูกนั้นด้วยตนเอง
ซูจิ้งหนานจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ถูกแล้วที่เธอคิดว่าเจ้าของร่างแท้จริงเห็นโจรเป็นพ่อ
แต่ทว่าเมื่อสายตาฉ่ำวาวของเธอช้อนสบเข้ากับบุรุษที่ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งในกองหิมะ กลับรับรู้ได้ว่าสายตานั้นมันเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา
ฮึ!
อย่าบอกนะ คุณชายหานผู้ลึกลับอะไรนี่จะมีใจให้แม่นางเอกนั่นด้วยอีกคน นี่คนเหล่านี้มองมารยาสตรียุคนี้ไม่ออกหรือว่าแกล้งโง่เพราะความใสซื่อน่าสงสารกันแน่
อย่างว่าซูจิ้งหนานไม่ใช่สตรีในแบบที่เหล่าบุรุษพวกนี้ให้เกียรติ พวกเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ขอเถอะอย่าคิดว่าเธอสร้างเรื่องมาเรียกร้องความสงสารก็แล้วกัน
“ไม่ต้องใช้แซ่ซูก็ดี...จะมาเป็นหลานบุญธรรมของฉันก็ได้” อวิ๋นฉ่ายกล่าวขึ้นท่ามกลางความตกใจของอวิ๋นไห่เฉิน และซูจิ้งหนานเห็นแววตามองมาอย่างน่ารังเกียจนั้นแล้วก็ถอนหายใจ
ใครอยากแซ่อวิ๋นเหมือนเขากัน
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะคุณปู่ แค่คุณปู่เอ็นดูหนานหนานก็พอแล้ว คนทั้งเมืองมองหนานหนานเป็นคนไม่ดี เดี๋ยวจะพาเสียชื่อเสียงคุณปู่เสียเปล่า ๆ” ซูจิ้งหนานกล่าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว แต่กลับเรียกความสงสารให้กับคนแก่ที่ชอบหลานสาวอย่างอวิ๋นฉ่าย
“ใครกล้าดีก็ลองดู”
ดูเหมือนคุณปู่ก็ดื้อเหมือนกัน แต่เธอไม่ต้องการเป็นปรปักษ์กับคุณชายใหญ่อวิ๋นหรอกนะ จึงเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“คุณยายคะ เรื่องชุดแต่งงานของคุณแม่หนูทราบว่าใช้ไหมทองคำประจำราชวงศ์ถักทอ หนูอยากซ่อมมันด้วยตัวเอง คุณยายจะว่าอะไรไหมคะ” ซูจิ้งหนานแม้ไม่รู้ว่าไหมพวกนี้ได้มาได้อย่างไร แต่เธอพร้อมเรียนรู้และซ่อมชุดแต่งงานที่ล้ำค่านี้ด้วยตัวเอง
“เฮ้อ...ไหมไม่มีอีกแล้วล่ะหลาน”
คุณยายกล่าวอย่างถอดใจ แต่ทว่าคุณปู่กลับไม่คิดเช่นนั้น
“อาเทียน...เอากล่องนั้นมาให้ฉัน”
อาเทียนเป็นผู้ดูแลของคุณปู่อวิ๋น เมื่อได้รับคำสั่งก็โค้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเก็บสมบัติของตระกูล แล้วหยิบกล่องล้ำค่าขึ้นมา นั่นทำให้อวิ๋นไห่เฉินเบิกตากว้าง

เวลาก้าวผ่านสู่ปีที่สี่ที่ได้แต่งงานกัน กิจการโรงทอตระกูลหลิวรุดหน้าไปมาก ทั้งยังเป็นโรงทอที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง มีเครื่องจักรที่ทำงานใหญ่โตรวมทั้งทอผ้าอย่างมีคุณภาพ จิ้งหนานยังซื้อพื้นที่ในการปลูกฝ้ายแบบพิเศษที่คิดค้นพันธุ์โดยเธอเอง และยังรับซื้อฝ้ายจากทั่วประเทศอีกด้วย ทำให้หมู่บ้านชนบทแถบชานเมืองที่อยู่ติดโรงทอที่ขยายใหญ่เริ่มมีความเจริญเข้ามามากขึ้น ถนนหนทางสร้างใหญ่โตรองรับอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น แต่ทว่าในหมู่บ้านของจิ้งหนานยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติงดงาม เพราะเป็นที่ดินตระกูลหลิวเกือบทั้งหมด ดังนั้นยังเงียบสงบและคนในหมู่บ้านยังมีวิถีชีวิตเรียบง่ายอยู่ ร้านค้ายังมีระบบสหกรณ์และการซื้อขายใช้คูปองอยู่ ซึ่งข้าว น้ำตาล น้ำมัน ยังมีใช้เงินคู่กับคูปอง แต่ทว่าตระกูลหลิวไม่ได้ขาดแคลนคูปองเท่ากับชาวบ้าน ดังนั้นเพื่อรองรอบความเจริญที่เธอได้เปรียบคือรู้ก่อนจึงคิดกับสามีในการจัดตั้งโรงงานน้ำมันโดยที่เริ่มแรกรัฐควบคุมก่อน เพราะอีกไม่กี่ปีจากนี้ก็จะเข้าสู่การค้าเสรี เมื่อนั้นก็จะมีพร้อมทุกอย่าง โรงทอตระกูลหลิวที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นยังต้องปันส่วนจ่ายภาษีให้รัฐบาล และได้รับสิทธิพิเศษหลาย
ระยะเวลาผ่านไปจนกระทั่งจิ้งหนานคลอดลูกชายตัวขาวอวบออกมาสร้างความชื่นมื่นให้กับครอบครัว คุณปู่หานรับขวัญเหลนคนแรกด้วยที่ดินทำเลทองในเมืองเซี่ยงไฮ และท่าเรือนเฟตใหม่ของตระกูล คุณปู่อวิ๋นก็ไม่ได้น้อยหน้า ต่อให้ไม่ใช่เหลนสายตรง แต่เพราะรักหลานอย่างหนานหนานมาก ดังนั้นการค้าแห่งใหม่จึงถูกใส่ชื่อของเหลนตัวน้อยเอาไว้ส่วนคุณปู่คนอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้า ทั้งเงินและทองล้วนวางรายรอบตัวของลูกชายตัวขาวอวบเหมือนก้อนซาลาเปาของจิ้งหนาน ทำให้คนเป็นแม่ยิ้มดีใจที่ลูกชายของเธอเกิดมาสุขสบายและมีคนสนับสนุนอย่างดี“คุณปู่ตั้งชื่อเหลนให้หน่อยได้ไหมคะ” จิ้งหนานอยากให้คุณปู่อวิ๋นช่วยตั้งชื่อให้ เพราะตอนมาเกิดใหม่เธอก็ได้คุณปู่อวิ๋นยืนข้างเธอจนเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายคล้อยตาม“ไม่ได้...ปู่ก็ต้องตั้งด้วย”เธอคิดเอาไว้แล้วว่าปู่หานต้องไม่เห็นด้วย ก็เหลนสายตรงนี่เนอะ แต่เธอเตรียมหาทางเอาไว้แล้ว“เอาไว้เหลนคนต่อไปดีไหมคะ”คำว่าเหลนคนต่อไปทำให้หานอวี้เฉิงยิ้มหน้าบาน คนที่อยากมีลูกหลาย ๆ คนอย่างเขาชอบคำนี้ที่สุด ครั้งหน้าเขาต้องพยายามให้มากกว่านี้“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ตาเฒ่าอวิ๋น จะตั้งชื่อหลานว่าอะไรล่ะ” ปู่หานถาม“อวี้หรง แ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างในห้องนอนที่ไม่ได้รั้งม่านให้สนิท จิ้งหนานขยับตัวเล็กน้อยควานหาความอบอุ่นรอบตัวก่อนจะผลิยิ้มเมื่อสัมผัสที่โหยหากอดกระชับจากร่างหนาที่แนบชิดกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มือเรียวเล็กได้รูปลูบไล้แผ่นอกหนาแผ่วเบาพลางซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นที่พักพิงใจของเธอ ดวงตาเล็กพริ้มตาหลับอย่างมีความสุขเพราะเมื่อคืนสามีเอาอกเอาใจทั้งปรนเปรอบำเรอรักให้เธออย่างสุขสม สมกับการที่เข้าอกเข้าใจกันดีแล้ว ปลายจมูกโด่งของสามีซุกเข้าหากลุ่มผมพลางสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูเข้าเต็มปอดพลันให้ดวงตาหวานซ่อนความเจ้าเล่ห์ในฉบับจิ้งจอกน้อยขยับเปิดเปลือกตาขึ้น ‘เขาคือสามีของเธอ’ คนที่หล่อเหลาขนาดนี้เป็นของเธอนะ ด้วยเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ลงตัวให้เธอได้เกิดใหม่มาเป็นคู่ของเขา ทั้งการสืบทอดตระกูลหลิว ทั้งเขาที่เลือกจะตามอกตามใจเธอจนเธอรู้ว่าโชคดีที่สุดแล้วที่ได้เขามาเป็นสามี “สามี...เคยคิดมากไหมคะว่าฉันไม่ได้มีการศึกษาที่สูงเหมือน ๆ เหล่าคุณหนูคนอื่น” จิ้งหนานถามขณะนิ้วยังวนเวียนอยู่แถวหน้าอกของสามี เรื่องนี้จะว่าไปเธอก็ไม่อยากเสียเวลาเรียนอะไรที่ซ้ำเดิม
หานอวี้เฉิงใช้ชีวิตอยู่ที่ชานเมืองเป็นส่วนใหญ่ โดยหนึ่งสัปดาห์จะมาทานข้าวที่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสจะมารวมตัวกัน ซึ่งบ้านที่เสนอตัวจัดการงานนี้ก็ยังไม่พ้นบ้านตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นครอบครัวที่รับหนานหนานเป็นลูกสาวบุญธรรม ตอนที่หานอวี้เฉิงไปทำภารกิจบางอย่างที่ท่าเรือค่อนข้างเสี่ยงอันตราย และแน่นอนว่ามีการบาดเจ็บขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเขาปกปิดเอาไว้ไม่ให้ภรรยาที่น่ารักของเขาได้รับรู้กลัวจะเป็นห่วง ส่วนพี่ใหญ่ที่วิ่งมารับกระสุนแทนเขาต้องเก็บตัวอยู่สักพักกว่าจะออกมาพบหน้าผู้คนได้อีก แต่ถึงให้ปกปิดอย่างไรก็ดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ช่างสังเกตก็รู้อยู่ดี แล้วเขาก็โดนสั่งให้ดูแลตัวเองให้ดี เพราะว่าหากให้เลิกทำงานนี้คงยาก เขาที่รับปากอย่างดีว่าจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อจะอยู่เป็นสามีเธอไปจนกว่าเราจะแก่ไปด้วยกัน ความรักอันแสนหวานชื่นของพวกเราก็เป็นไปด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งผมที่ได้ยินเสียงนินทาเรื่องของภรรยาอีกแล้ว แน่นอนผมควรชินได้แล้วหากไม่ใช่ว่าคืนหนึ่งผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วได้ยินเสียงหนึ่ง ‘พี่เหวินอวี้’ เสียงครา
วันนั้นจิ้งหนานไม่ได้บอกใครถึงการกระทำร้ายกาจของตนเอง และไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะฟ้องใคร แต่เธอรู้เพียงว่าได้สั่งสอนให้กับคนที่สมควรสั่งสอน เธอมันเป็นประเภทตาต่อตาฟันต่อฟัน และตลอดห้าวันที่มาอยู่ที่ในเมือง เธอวุ่นวายเรื่องเสื้อผ้าในฤดูหนาวที่กำลังจะออก มียอดสั่งล่วงหน้าเอาไว้จนต้องอยู่จัดการด้วยตนเองให้เสร็จ ดังนั้นก็คิดว่าจะรอสามีอยู่ที่นี่เลย จะได้ไม่เสียเวลาเจอหน้ากัน แต่วันนี้พี่เหวินอวี้เดินเข้ามาด้วยเครื่องแบบเต็มยศพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเธอ “สวัสดีค่ะพี่ชาย...วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้คะ หรือว่านัดสาวคนไหนเอาไว้บอกได้ไหม” จิ้งหนานมักจะหยอกล้อนายพลสุดหล่อเป็นที่หมายปองของเหล่าสาว ๆ เสมอ “คุณพ่อคุณแม่ และคุณปู่บอกให้ไปนอนที่บ้านครับ ให้พี่มาตาม” หลี่เหวินอวี้รู้ว่าเธอมาที่ในเมือง แต่น้องสาวบุญธรรมคนเก่งกลับเลือกจะพักบ้านตระกูลหลิวอีกหลังทำเอาเหล่าอาวุโสน้อยใจกันเป็นแถว ๆ “คิวค้างคืนยาวมากเลยค่ะ ต้องต่อแถวนะคะ” เธอว่าพลางหัวเราะคิก ๆ อย่างน่าเอ็นดูจนหลี่เหวินอวี้ยกมือขึ้นยีหัวเล่น “เป็นยังไงล่ะ คิดถึงอวี้เฉิงล่ะสิ” จิ้งหนานหุบยิ
หลังจากสามีบอกว่าต้องไปจัดการงานบางอย่างที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย สีหน้าของเธอก็ไม่ค่อยดี แต่ทว่าอวี้เฉิงก็รับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีและจะกลับมาหาเธอให้เร็วที่สุด แต่เธอก็เอาแต่กอดเขาเอาไว้แน่น ๆ อย่างเป็นห่วงพลางคิดว่าในห้องมิติของเธอมีอะไรบ้าง จึงหยิบมันขึ้นมาเปิดต่อหน้าสามีเสียเลย เธอเองก็ไม่อยากปิดบังเขา เพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน ต้องมีสักวันที่ความลับแตก“พี่อวี้เฉิง...รอสักครู่นะคะ ฉันหยิบของให้พี่ก่อน”จิ้งหนานรู้ว่ามิติของเธอเมื่อนึกของที่ต้องการมันก็จะออกมาให้ เธอจึงเรียกเสื้อเกราะออกมา อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยป้องกันอันตรายให้เขาก็ยังดีแต่ทว่าอวี้เฉิงมองเธออย่างตกตะลึง เขารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเดิมตามที่หลี่เหวินอวี้บอก แต่ไม่นึกว่าจะมีอะไรประหลาดแบบนี้ด้วย“เสื้อนี้จะกันกระสุนได้ พี่ใส่เอาไว้นะคะ ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อ ตัวนี้เอาไปเผื่อพี่เหิง เผื่อต้องใช้เหมือนกัน” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยิ่งเห็นเขามองด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามเธอจึงตัดตอน“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่เอาไว้พี่กลับมาแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เชื่อฉันนะคะ พี่ต้องใส่ พี่เหิงก็ด้วย”อวี้เฉิงยิ้มให้เธอและ








