 LOGIN
LOGINซูจิ้งหนานยังอยู่ในรถยนต์ที่หรูหรามาก ๆ ในใจคิดว่าเจ้าของร่างคนเก่าโง่งมมากแท้ ๆ มีขาทองคำอย่างคุณยายอยู่ยังไปทนให้พ่อเฮงซวยทุบตีเพราะเห็นโจรเป็นพ่อ เห็นคนชั่วเป็นคนดีไปได้อย่างไรกัน
‘นางร้ายก็ไม่ควรโง่นะ’
บางทีนักเขียนก็ใจร้ายกับซูจิ้งหนานเกินไป แต่การที่ต้องตายไร้คนเหลียวแลมันก็ไม่ทำให้เธอที่มาใช้ชีวิตแทนซูจิ้งหนานหายแค้นหรอกนะ แต่ว่าเรื่องราวทั้งหมดก็ควรจะเป็นหลังจากนี้
หลังจากที่เธอควรมีชีวิตต่อ ไม่ได้ตายก่อนนางเอกของเรื่องจะสมหวัง
ขณะที่ซูจิ้งหนานคิดถึงความแค้นของนางร้ายในนิยาย มือที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของคุณยายพร้อมกับเสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างปลอบใจเธอ
“หลานอย่าได้กังวลใจไปหากหลานไม่อยากอยู่บ้านที่ชานเมือง ยายมีบ้านอีกหลังเป็นของแม่ของหนู จะไปอยู่ที่นั่นก็ได้”
ซูจิ้งหนานที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกถึงความอุ่นวาบจากมือที่เหี่ยวเฉาตามกาลเวลาแต่กลับพร้อมจะโอบอุ้มยามเธอหกล้ม กับเสียงนุ่มที่เปล่งออกมาปลอบใจราวกับต้องการโอ๋ให้เธอให้หายเจ็บปวด จนทำให้จมูกเล็กเชิดรั้นของเธอแสบ นิด ๆ คล้ายกับจะร้องไห้ กับม่านตาที่อยู่ ๆ ก็มีหยาดคลอด้วยน้ำใส
“คุณยายคะ” ซูจิ้งหนานโผร่างเข้าหาคุณยายหลิว หรือสวี่เซียนหรู ที่ชอบความเรียบง่าย และไม่ชอบเข้าสังคม ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทชานเมืองพร้อมกับโรงงานทอผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ
ร่างเดิมนักเขียนให้นางร้ายรังเกียจกลิ่นดิน กลิ่นสีย้อมผ้า แต่ทว่าจิ้งหนานคนนี้ไม่ใช่
“หนูอยากอยู่กับคุณยายที่ชานเมืองค่ะ อยากอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ อยู่ที่บ้านพ่อวุ่นวายมาก ห้องหนูแม่บ้านไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเดือน ๆ ต้องนอนกับฝุ่น แถมกินข้าวก็ต้องกินคนเดียวไม่มีใครอยากกินด้วย”
เมื่อได้โอกาสเธอก็ฟ้อง...ใช่สิต้องฟ้อง นางร้ายคนเดิมน่าสงสารจะตายไป ทำไมคนเอาแต่ว่าร้ายซูจิ้งหนาน แต่คนที่ทำให้ซูจิ้งหนานต้องร้ายไม่เห็นมีใครประณามเลยสักนิด มันยุติธรรมกับเธอที่ไหนกัน
“ได้สิหลานยาย...ยายต้องทำให้หลานสบายใจที่สุด อยากสอบเข้าที่ไหนบอกยายเลยนะ”
“ได้ค่ะคุณยาย”
ยุคนี้สตรีต้องพึ่งสามี ส่วนมากเรียนจบมัธยมก็ต้องแต่งงาน เดิมซูจิ้งหนานที่ไม่อยากโดนกดขี่อยู่ในบ้านของพ่อ ที่แม่เลี้ยงเป็นใหญ่ จึงพยายามตะเกียกตะกายคบหาคนที่มีหน้ามีตา เพื่อที่จะกดข่มลูกของแม่เลี้ยง
แต่เธอไม่ใช่...ต่อให้เธอคิดจะเล็งนายพลเย็นชาคนนั้นเอาไว้ก็จริง แต่ว่าเธอก็ต้องมีสมองด้วย เพื่อที่แต่งงานไป เธอจะได้ไม่ต้องก้มหัวอย่างเดียว แล้วอีกอย่างก็คือไม่แน่ว่านายพลคนนั้นจะสนใจเธอด้วยซ้ำ
ดังนั้นเธอไม่ประมาทดีที่สุด
“แวะที่ตระกูลอวิ๋น” เสียงเฉียบขาดของคุณยายสั่งคนขับรถให้เข้าไปทางตระกูลอวิ๋น ซึ่งเป็นตระกูลการค้าผ้าไหม ใบชา สมุนไพร อีกอย่างยังเป็นเจ้าของห้างที่ใหญ่และโด่งดังอีกด้วย
ซูจิ้งหนานจำได้ว่าตระกูลที่ควบคุมเมืองเซี่ยงไฮประกอบด้วยสี่ตระกูลใหญ่ โดยมีตระกูลอวิ๋น คือตระกูลการค้าและห้างสรรพสินค้า มีคุณชายใหญ่ อวิ๋นไห่เฉินจะเป็นผู้นำตระกูลรุ่นถัดไป
ตระกูลที่สองคือ ตระกูลหลี่ เป็นตระกูลที่เกี่ยวข้องกับการทหารและตำรวจ รวมถึงพรรคเก่ามีเส้นสายในหน่วยข่าวกรองระดับประเทศ ผู้นำตระกูลทุกรุ่นล้วนเป็นนายพลทั้งนั้น และนายพลรุ่นใหม่คือ หลี่เหวินอวี้คุณชายใหญ่หลี่ ซึ่งอีกสามวันเธอต้องตายเพราะเขา
ตระกูลซ่ง เป็นตระกูลที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ใหญ่และเจ้าของสถานีวิทยุ รวมถึงโรงเรียนชื่อดังและมหาวิทยาลัย เรียกได้ว่าครอบคลุมทั้งการศึกษาและสื่อรวมทั้งข่าวต่าง ๆ ที่ถูกสร้างที่นี่และเผยแพร่ออกมาให้ประชาชนรับรู้ โดยมี ซ่งเยี่ยนซิน คุณชายรองซ่งเป็นผู้สืบทอด ซึ่งแน่นอนว่าทั้งเธอและซูเหยียนหลิงต่างหมายปอง และซูจิ้งหนานก็ขยันสร้างข่าวกับคุณชายซ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าเขาเกลียดซูจิ้งหนานที่สุด
ตระกูลสุดท้ายคือ ตระกูลหาน เป็นเจ้าของท่าเรือและระบบขนส่งทั้งหมด ทั้งบนดิน บนน้ำ หรืออากาศ เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่รวมถึงฐานะการเงินก็ไม่ด้อยอีกด้วย แต่ทว่าค่อนข้างลึกลับ ว่ากันว่ามีคุณชายใหญ่กับคุณชายรองเป็นหัวเรือของคนรุ่นใหม่ แต่คุณชายใหญ่ผู้นั้นกลับไม่เคยปรากฏตัว และทุกครั้งที่ออกงานมักจะเป็นคุณชายรอง หานอวี้เฉิง ที่ออกหน้าแทน
แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยและไม่ค่อยเป็นมิตรนัก รวมทั้งดวงตาแข็งกร้าวบวกกับประกายเย็นชายามมองไปที่ผู้ใด ส่งผลให้เขามักไม่มีคนคอยไปทำความรู้จักเท่าไหร่นัก รวมทั้งซูจิ้งหนานด้วย
แต่ทั้งสี่ตระกูลเหล่าผู้นำคนรุ่นใหม่ล้วนเป็นสหายกันและมักเห็นทั้งสี่ปรากฏตัวด้วยกันในงานเลี้ยง มักพูดคุยกันเพียงเท่านั้น แต่ก็เรียกสายตาของทั้งงานได้ เพราะเป็นเทพบุตรที่หล่อเหลาที่สุดในยุคนี้
ขณะที่เธอคิดไปเรื่อยเปื่อยเรื่องเหล่าสี่ตระกูล รถยุโรปสีดำสนิทก็ตบไฟเลี้ยวหักเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลอวิ๋น แต่แล้วกลับไม่ได้จอดที่หน้าคฤหาสน์ ยังมุ่งตรงไปยังเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไป เป็นเขตหวงห้ามก็ว่าได้ เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยมางานเลี้ยงตระกูลนี้กับพ่อและแม่ เกือบจะวิ่งซนไปยังเขตหวงห้าม หากไม่ใช่อวิ๋นไห่เฉินลากตัวเธอออกมาเสียก่อน
จำได้ว่าเขาโกรธเธอมาก แต่เมื่อแม่ของเธอมารับตัว ทุกคนต่างก้มหัวให้ราวกับเกรงใจ ตอนนั้นยังเด็กไม่รู้ว่านั่นคืออะไรและความทรงจำนั้นกลับมาทำให้เธอเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอวิ๋นและตระกูลหลิว
นักเขียนไม่ได้เล่ารายละเอียดเอาไว้ ดังนั้นเธอต้องรู้มันด้วยตนเอง ในตอนนั้นแม้ยังเด็กมาก แต่เธอก็สงสัยมาตลอดว่ามีอะไรกันที่อยู่ตรงนั้น แต่ก็ลืมเลือนไปแล้วจนกระทั่งวันนี้ วันที่เธอได้ก้าวเข้ามาในตระกูลอวิ๋นอีกครั้ง แต่ในฐานะหลานคุณยาย ไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลซู
ใบหน้าของเธอเกร็งเล็กน้อย พลันคิดว่าเธอร้องไห้จนใบหน้าทรุดโทรมเกินไปไหม จนคิดได้ว่าในห้วงมิติที่เธอเปิดหนังสือสามารถหยิบของอะไรก็ได้นี่นา จนกระทั่งเธอนึกขึ้นได้
“คุณยายคะ หนูน่าเกลียดหรือเปล่าคะ”
แน่นอนว่าอาการรักสวยรักงามของเธอเกิดกำเริบ เพราะเธอทำงานด้านแฟชั่น ยามอยู่ด้านนอกลุคที่ปรากฏตัว ต่อสาธารณะย่อมสำคัญกับเธอ
แต่คุณยายกลับลูบหัวของเธอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หนูสวยเหมือนแม่หนูมาก ๆ”
น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเล็ก ๆ ทำให้ซูจิ้งหนานรับรู้ได้ทันทีว่า คุณยายรักคุณแม่แค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นคุณยายต้องรักหนานหนานเยอะ ๆ นะคะ รักให้มากกว่าคุณแม่ด้วย” ร่างเล็กโผเข้าออดอ้อนอย่างน่ารักเพื่อให้คุณยายหลงรักเธอมาก ๆ อย่างน้อยก็ชดเชยในสิ่งที่เจ้าของร่างเคยทำไม่ดีเอาไว้
“แน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลหลิวต่อไปจะเป็นของหลาน”
ซูจิ้งหนานยิ้มทันที หากตระกูลหลิวเป็นของเธอเท่ากับกิจการทอผ้าและโรงทอทั้งหมดก็เป็นของเธอน่ะสิ
‘ว้าว เธอนี่มันนกกระจอกที่จะได้เลื่อนเป็นหงส์แล้ว แท้ ๆ ให้ตายเถอะ ฉันจะไม่ทำให้คุณยายผิดหวังเลยทีเดียว’
แต่ขณะที่กำลังออดอ้อนคุณยายอยู่ที่เบาะหลังอย่างน่าเอ็นดู ด้านนอกพลันมีเงาดำเงาหนึ่งโน้มเข้ามาใกล้กระจกจากหน้าต่างด้านข้าง แสงอาทิตย์ยามบ่ายทอดผ่านเงานั้นลงมาพอดิบพอดี…
และในจังหวะนั้นเอง ใบหน้าคมคายราวสลักจากหยกดำก็ปรากฏขึ้นในกรอบสายตาของซูจิ้งหนาน
เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากยืนนิ่ง แต่ความหล่อเหลาของเขากลับสะท้อนเข้าตาเธอราวกับมีแรงกระแทกบางอย่างพุ่งใส่
เส้นผมสีดำขลับรับกับโหนกแก้มเด่น ดวงตาคู่นั้นทอประกายนิ่งราวกับรู้ทุกอย่างแต่ไม่จำเป็นต้องพูด แต่คนนอกมองเข้าไปกลับเห็นแต่เพียงความลึกลับ ไม่สามารถอ่านออก
ขณะที่รอยแดงจาง ๆ ที่ข้างแก้มกลับไม่ได้ทำให้เขาดูดุ…หากยิ่งเพิ่มความน่าค้นหาเสียยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่รู้รอยนั้นได้มาอย่างไร
และในวินาทีนั้นเอง หัวใจของซูจิ้งหนานเหมือนถูกหยุดไว้หนึ่งจังหวะกับความครบเครื่องในความหล่อที่อยู่ ๆ ก็มาปรากฏตรงหน้าอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว
หล่อบ้าอะไรขนาดนี้…เธอเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังเล่นบทหลานที่น่ารักอยู่ต่อหน้าคุณยาย หากเป็นโลกปัจจุบันสาบานว่าเธอกรี๊ดจนแก้วหูแตก!

เวลาก้าวผ่านสู่ปีที่สี่ที่ได้แต่งงานกัน กิจการโรงทอตระกูลหลิวรุดหน้าไปมาก ทั้งยังเป็นโรงทอที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง มีเครื่องจักรที่ทำงานใหญ่โตรวมทั้งทอผ้าอย่างมีคุณภาพ จิ้งหนานยังซื้อพื้นที่ในการปลูกฝ้ายแบบพิเศษที่คิดค้นพันธุ์โดยเธอเอง และยังรับซื้อฝ้ายจากทั่วประเทศอีกด้วย ทำให้หมู่บ้านชนบทแถบชานเมืองที่อยู่ติดโรงทอที่ขยายใหญ่เริ่มมีความเจริญเข้ามามากขึ้น ถนนหนทางสร้างใหญ่โตรองรับอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น แต่ทว่าในหมู่บ้านของจิ้งหนานยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติงดงาม เพราะเป็นที่ดินตระกูลหลิวเกือบทั้งหมด ดังนั้นยังเงียบสงบและคนในหมู่บ้านยังมีวิถีชีวิตเรียบง่ายอยู่ ร้านค้ายังมีระบบสหกรณ์และการซื้อขายใช้คูปองอยู่ ซึ่งข้าว น้ำตาล น้ำมัน ยังมีใช้เงินคู่กับคูปอง แต่ทว่าตระกูลหลิวไม่ได้ขาดแคลนคูปองเท่ากับชาวบ้าน ดังนั้นเพื่อรองรอบความเจริญที่เธอได้เปรียบคือรู้ก่อนจึงคิดกับสามีในการจัดตั้งโรงงานน้ำมันโดยที่เริ่มแรกรัฐควบคุมก่อน เพราะอีกไม่กี่ปีจากนี้ก็จะเข้าสู่การค้าเสรี เมื่อนั้นก็จะมีพร้อมทุกอย่าง โรงทอตระกูลหลิวที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นยังต้องปันส่วนจ่ายภาษีให้รัฐบาล และได้รับสิทธิพิเศษหลาย
ระยะเวลาผ่านไปจนกระทั่งจิ้งหนานคลอดลูกชายตัวขาวอวบออกมาสร้างความชื่นมื่นให้กับครอบครัว คุณปู่หานรับขวัญเหลนคนแรกด้วยที่ดินทำเลทองในเมืองเซี่ยงไฮ และท่าเรือนเฟตใหม่ของตระกูล คุณปู่อวิ๋นก็ไม่ได้น้อยหน้า ต่อให้ไม่ใช่เหลนสายตรง แต่เพราะรักหลานอย่างหนานหนานมาก ดังนั้นการค้าแห่งใหม่จึงถูกใส่ชื่อของเหลนตัวน้อยเอาไว้ส่วนคุณปู่คนอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้า ทั้งเงินและทองล้วนวางรายรอบตัวของลูกชายตัวขาวอวบเหมือนก้อนซาลาเปาของจิ้งหนาน ทำให้คนเป็นแม่ยิ้มดีใจที่ลูกชายของเธอเกิดมาสุขสบายและมีคนสนับสนุนอย่างดี“คุณปู่ตั้งชื่อเหลนให้หน่อยได้ไหมคะ” จิ้งหนานอยากให้คุณปู่อวิ๋นช่วยตั้งชื่อให้ เพราะตอนมาเกิดใหม่เธอก็ได้คุณปู่อวิ๋นยืนข้างเธอจนเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายคล้อยตาม“ไม่ได้...ปู่ก็ต้องตั้งด้วย”เธอคิดเอาไว้แล้วว่าปู่หานต้องไม่เห็นด้วย ก็เหลนสายตรงนี่เนอะ แต่เธอเตรียมหาทางเอาไว้แล้ว“เอาไว้เหลนคนต่อไปดีไหมคะ”คำว่าเหลนคนต่อไปทำให้หานอวี้เฉิงยิ้มหน้าบาน คนที่อยากมีลูกหลาย ๆ คนอย่างเขาชอบคำนี้ที่สุด ครั้งหน้าเขาต้องพยายามให้มากกว่านี้“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ตาเฒ่าอวิ๋น จะตั้งชื่อหลานว่าอะไรล่ะ” ปู่หานถาม“อวี้หรง แ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างในห้องนอนที่ไม่ได้รั้งม่านให้สนิท จิ้งหนานขยับตัวเล็กน้อยควานหาความอบอุ่นรอบตัวก่อนจะผลิยิ้มเมื่อสัมผัสที่โหยหากอดกระชับจากร่างหนาที่แนบชิดกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มือเรียวเล็กได้รูปลูบไล้แผ่นอกหนาแผ่วเบาพลางซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นที่พักพิงใจของเธอ ดวงตาเล็กพริ้มตาหลับอย่างมีความสุขเพราะเมื่อคืนสามีเอาอกเอาใจทั้งปรนเปรอบำเรอรักให้เธออย่างสุขสม สมกับการที่เข้าอกเข้าใจกันดีแล้ว ปลายจมูกโด่งของสามีซุกเข้าหากลุ่มผมพลางสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูเข้าเต็มปอดพลันให้ดวงตาหวานซ่อนความเจ้าเล่ห์ในฉบับจิ้งจอกน้อยขยับเปิดเปลือกตาขึ้น ‘เขาคือสามีของเธอ’ คนที่หล่อเหลาขนาดนี้เป็นของเธอนะ ด้วยเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างที่ลงตัวให้เธอได้เกิดใหม่มาเป็นคู่ของเขา ทั้งการสืบทอดตระกูลหลิว ทั้งเขาที่เลือกจะตามอกตามใจเธอจนเธอรู้ว่าโชคดีที่สุดแล้วที่ได้เขามาเป็นสามี “สามี...เคยคิดมากไหมคะว่าฉันไม่ได้มีการศึกษาที่สูงเหมือน ๆ เหล่าคุณหนูคนอื่น” จิ้งหนานถามขณะนิ้วยังวนเวียนอยู่แถวหน้าอกของสามี เรื่องนี้จะว่าไปเธอก็ไม่อยากเสียเวลาเรียนอะไรที่ซ้ำเดิม
หานอวี้เฉิงใช้ชีวิตอยู่ที่ชานเมืองเป็นส่วนใหญ่ โดยหนึ่งสัปดาห์จะมาทานข้าวที่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสจะมารวมตัวกัน ซึ่งบ้านที่เสนอตัวจัดการงานนี้ก็ยังไม่พ้นบ้านตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นครอบครัวที่รับหนานหนานเป็นลูกสาวบุญธรรม ตอนที่หานอวี้เฉิงไปทำภารกิจบางอย่างที่ท่าเรือค่อนข้างเสี่ยงอันตราย และแน่นอนว่ามีการบาดเจ็บขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเขาปกปิดเอาไว้ไม่ให้ภรรยาที่น่ารักของเขาได้รับรู้กลัวจะเป็นห่วง ส่วนพี่ใหญ่ที่วิ่งมารับกระสุนแทนเขาต้องเก็บตัวอยู่สักพักกว่าจะออกมาพบหน้าผู้คนได้อีก แต่ถึงให้ปกปิดอย่างไรก็ดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ช่างสังเกตก็รู้อยู่ดี แล้วเขาก็โดนสั่งให้ดูแลตัวเองให้ดี เพราะว่าหากให้เลิกทำงานนี้คงยาก เขาที่รับปากอย่างดีว่าจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อจะอยู่เป็นสามีเธอไปจนกว่าเราจะแก่ไปด้วยกัน ความรักอันแสนหวานชื่นของพวกเราก็เป็นไปด้วยดีเสมอมาจนกระทั่งผมที่ได้ยินเสียงนินทาเรื่องของภรรยาอีกแล้ว แน่นอนผมควรชินได้แล้วหากไม่ใช่ว่าคืนหนึ่งผมตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วได้ยินเสียงหนึ่ง ‘พี่เหวินอวี้’ เสียงครา
วันนั้นจิ้งหนานไม่ได้บอกใครถึงการกระทำร้ายกาจของตนเอง และไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะฟ้องใคร แต่เธอรู้เพียงว่าได้สั่งสอนให้กับคนที่สมควรสั่งสอน เธอมันเป็นประเภทตาต่อตาฟันต่อฟัน และตลอดห้าวันที่มาอยู่ที่ในเมือง เธอวุ่นวายเรื่องเสื้อผ้าในฤดูหนาวที่กำลังจะออก มียอดสั่งล่วงหน้าเอาไว้จนต้องอยู่จัดการด้วยตนเองให้เสร็จ ดังนั้นก็คิดว่าจะรอสามีอยู่ที่นี่เลย จะได้ไม่เสียเวลาเจอหน้ากัน แต่วันนี้พี่เหวินอวี้เดินเข้ามาด้วยเครื่องแบบเต็มยศพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเธอ “สวัสดีค่ะพี่ชาย...วันนี้ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้คะ หรือว่านัดสาวคนไหนเอาไว้บอกได้ไหม” จิ้งหนานมักจะหยอกล้อนายพลสุดหล่อเป็นที่หมายปองของเหล่าสาว ๆ เสมอ “คุณพ่อคุณแม่ และคุณปู่บอกให้ไปนอนที่บ้านครับ ให้พี่มาตาม” หลี่เหวินอวี้รู้ว่าเธอมาที่ในเมือง แต่น้องสาวบุญธรรมคนเก่งกลับเลือกจะพักบ้านตระกูลหลิวอีกหลังทำเอาเหล่าอาวุโสน้อยใจกันเป็นแถว ๆ “คิวค้างคืนยาวมากเลยค่ะ ต้องต่อแถวนะคะ” เธอว่าพลางหัวเราะคิก ๆ อย่างน่าเอ็นดูจนหลี่เหวินอวี้ยกมือขึ้นยีหัวเล่น “เป็นยังไงล่ะ คิดถึงอวี้เฉิงล่ะสิ” จิ้งหนานหุบยิ
หลังจากสามีบอกว่าต้องไปจัดการงานบางอย่างที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย สีหน้าของเธอก็ไม่ค่อยดี แต่ทว่าอวี้เฉิงก็รับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีและจะกลับมาหาเธอให้เร็วที่สุด แต่เธอก็เอาแต่กอดเขาเอาไว้แน่น ๆ อย่างเป็นห่วงพลางคิดว่าในห้องมิติของเธอมีอะไรบ้าง จึงหยิบมันขึ้นมาเปิดต่อหน้าสามีเสียเลย เธอเองก็ไม่อยากปิดบังเขา เพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน ต้องมีสักวันที่ความลับแตก“พี่อวี้เฉิง...รอสักครู่นะคะ ฉันหยิบของให้พี่ก่อน”จิ้งหนานรู้ว่ามิติของเธอเมื่อนึกของที่ต้องการมันก็จะออกมาให้ เธอจึงเรียกเสื้อเกราะออกมา อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยป้องกันอันตรายให้เขาก็ยังดีแต่ทว่าอวี้เฉิงมองเธออย่างตกตะลึง เขารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเดิมตามที่หลี่เหวินอวี้บอก แต่ไม่นึกว่าจะมีอะไรประหลาดแบบนี้ด้วย“เสื้อนี้จะกันกระสุนได้ พี่ใส่เอาไว้นะคะ ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อ ตัวนี้เอาไปเผื่อพี่เหิง เผื่อต้องใช้เหมือนกัน” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ยิ่งเห็นเขามองด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามเธอจึงตัดตอน“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่เอาไว้พี่กลับมาแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เชื่อฉันนะคะ พี่ต้องใส่ พี่เหิงก็ด้วย”อวี้เฉิงยิ้มให้เธอและ








