หรือนี่จะเป็นอาการของคนที่เจอหนุ่มหล่อหน้าตาดีคนหนึ่งเท่านั้นนะ แต่ทำไมเมื่อตอนที่เธอเจอกับ เว่ยอี้หยาง ถึงไม่ใช่แบบนี้ ถึงแม้ว่าครั้งที่เธอเจอกับอี้หยางเธอจะใจเต้นแรงแต่มันไม่รุนแรงต่อความรู้สึกเธอมากเพียงนี้
จู่ ๆ มันกลับทำให้น้ำตาของเธอพานจะไหลเอาเสียดื้อๆ ภาพเหตุการณ์บางอย่างวิ่งเข้ามาในหัว หากแต่ว่ามันเพียงภาพเลือนลาง ตอนนี้ในหัวเธอเบลอไปหมด ทั้งภาพและเสียงที่ปรากฏขึ้นไม่ชัดเจน ชวนให้ปวดหัวมากมายอะไรขนาดนี้กันนะ
" เล่อเยียน " เพียงไม่นานเหอหมี่เมี่ยนก็ตะโกนเรียกด้วยความตกใจที่จู่ ๆ หลี่เล่อเยียนก็เป็นลมไปต่อหน้า
" ทุกคนหลบไปก่อน อย่ามุง " เสียงของเลขาคณะกรรมการหนุ่มตะโกนขึ้น พร้อมกับรีบวิ่งมาอุ้มร่างที่ไม่มีสติของเล่อเยียนขึ้น เพื่อพาเธอกลับไปยังบ้านพัก
ท่ามกลางเสียงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนเดาว่าเล่อเยียนที่ร่างกายอ่อนแอเมื่อตากฝน จึงอาจจะทำให้ตัวเธอนั้นไม่สบายเอาได้ หลังจากนั้นนายทหารก็ได้ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปพักผ่อนยังบ้านพักของตัวเอง
เมื่อมาถึงยังบ้านพัก เลขาหนุ่มทำได้เพียงวางเธอลงยังเตียงนอนเท่านั้น ที่เหลือต้องให้หม่ายวี่ไท่และเหอหมี่เมี่ยนจัดการ ทั้งสองรีบจัดการทำความสะอาดตัวของเล่อเยียน เนื่องจากเนื้อตัวของพวกเธอเลอะโคลนด้วยทุกอย่างจึงค่อนข้างที่จะทุลักทุเลมากทีเดียว
หม่ายวี่ไท่และเลขาหนุ่มรับหน้าที่เป็นคนตักน้ำมาให้เพื่อทำการเช็ดตัวและล้างผม ต้องบอกว่าล้างผมเพราะตอนนี้ผมของหลี่เล่อเยียนเต็มไปด้วยโคลนหนาเตอะ ขนาดฟ่านเหมยเหมยที่ไม่เคยสนใจสิ่งใด นอกจากของกินยังมาช่วยขนน้ำในครั้งนี้ด้วย
ใช้เวลาค่อนข้างนานพอสมควรในการล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ ถ้าหากว่าหลี่เล่อเยียนไม่หายใจ เหอหมี่เมี่ยนคงคิดว่าเธอตายไปแล้ว เพราะในขณะที่ทำการล้างผมให้อยู่นั้น หลี่เล่อเยียนยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เหอหมี่เมี่ยนจึงใช้สายตาบอกเลขาหนุ่มว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ควรกลับไปได้แล้วยังไงซะที่นี่ก็มีแต่ผู้หญิง
" เลขาเตียว นี่ก็ดึกมากแล้วไม่รบกวนคุณเลขาดีกว่าพวกเราดูแลเล่อเยียนต่อเองได้ค่ะ " เหอหมี่เมี่ยนใช้สายตาก็แล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าเลขาหนุ่มจะขยับจึงได้แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพที่สุด
" ผมรอจนกว่าเล่อเยียนจะฟื้นดีกว่า เธอหลับไปนานแล้ว จนป่านนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา หากเธอเป็นอะไรไป มีผมอยู่จะได้ช่วยได้ทัน " เลขาหนุ่มยืนยันกระต่ายขาเดียว อย่างไรเขาก็ยังวางใจไม่ได้ รอจนกว่าเจ้าตัวฟื้นขึ้นมาดีกว่า
" คุณอยู่จะช่วยอะไรได้ ก็เห็นกันอยู่ว่าตอนนี้พวกเราก็ทำกันเอง หนุ่มสาวอยู่บ้านด้วยกันมันไม่เหมาะสมนะคะ " เหอหมี่เมี่ยนที่เหนื่อยกับการดูแลชำระล้างตัวให้หลี่เล่อเยียน เผลอตะคอกขึ้น ไม่ใช่แค่เขาเสียเมื่อไหร่ที่เป็นห่วง เธอก็ห่วงเพื่อนเธอจะแย่อยู่แล้ว แต่จะให้มานั่งมองหน้ากันเพื่อประโยชน์อันใดกัน อย่างไรเขาก็เข้าห้องของเพื่อนเธอไม่ได้อยู่แล้ว
" ถ้าเช่นนั้นผมออกไปรอข้างนอกบ้านก็แล้วกัน พวกคุณล็อกบ้านพักผ่อนเถอะ มีอะไรก็เรียกผมได้ตลอดเลยนะครับ " เตียวซวูอี้ถึงแม้ว่าเขาจะตกใจกับน้ำเสียง และท่าทางของเหอหมี่เมี่ยน เพราะเดิมทีหล่อนเป็นคนอารมณ์ดี พูดจาอ่อนหวาน มาวันนี้น้ำเสียงกลับแปลกเปลี่ยนไป เขารับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ที่หล่อนมีให้เล่อเยียนจึงไม่อยากจะดื้อรั้น จึงยอมเดินคอตกออกมานั่งรอด้านนอกของบ้านพัก
" เธอฉันว่าพูดแรงเกินไปไหม ยวี่ไท่ " หมี่เมี่ยนพูดเสียงอ่อยๆ เมื่อเหลือเพียงเธอกับหม่ายวี่ไท่ในห้องของเล่อเยียน
" ไม่หรอก เลขาซวูอี้คงจะเป็นห่วงเล่อเยียนมากเลยไม่ทันคิดเรื่องความเหมาะสม
เธอเองก็คงเหนื่อย และตกใจกับเรื่องนี้พอสมควร เธอนอนพักเถอะฉันจะนั่งเฝ้าเล่อเยียนเอง " หม่ายวี่ไท่พูดปลอบใจหมี่เมี่ยน ตนเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเตียวซวูอี้ดี
" ฉันยังไม่ง่วงหรอก เธอว่าเล่อเยียนจะเป็นอะไรมากไหม จนป่านนี้แล้วทำไมเล่อเยียนถึงยังไม่ฟื้นเลยล่ะ " หมี่เมี่ยนที่ตอนนี้กำลังจะร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ที่พูดแรงๆ ใส่เขาหรือเป็นห่วงเพื่อน เธอเริ่มแยกไม่ออกแล้วล่ะ
" หายใจสม่ำเสมอแบบนี้ คงไม่เป็นอะไรมากหรอกแต่ฉันรู้สึกว่าเล่อเยียนจะตัวอุ่นๆ นะ " หม่ายวี่ไท่จับตัวหลี่เล่อเยียนพร้อมกับขมวดคิ้ว เพราะกังวลว่าเธอกำลังจะมีไข้
" ถ้าอย่างนั้นคงต้องเช็ดตัวบ่อย ๆ ให้ไข้ลด " หมี่เมี่ยนบอกพร้อมกับเริ่มเช็ดตัวให้เล่อเยียนอีกครั้ง
ปัง....... เสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างแรงทำให้หม่ายวี่ไท่และเหอหมี่เมี่ยนที่กำลังจะเคลิ้มหลับตื่นเต็มตาอีกครั้งด้วยความตกใจ
" ค่ะ คุณ "
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก