ทางฝั่งของหลี่เล่อเยียน หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จก็ไปยังทุ่งนาทำการถอนวัชพืชต่อ ทำเพียงครึ่งวันก็ต้องหยุดเพราะเนื่องจากฝนได้ตกลงมา
" เล่อเยียน รีบกลับเข้าบ้านกันเถอะฝนตกหนักแล้ว " หม่ายวี่ไท่รีบตะโกนเรียกหลี่เล่อเยียนแข่งกับสายฝน
ช่วงเช้าแดดยังแผดเผาแทบจะเป็นหมูหันกันอยู่เลย พอช่วงบ่ายมาฝนดันมาตกหนักแบบไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ ให้ได้ตั้งตัวเลยสักนิด
" ได้ รีบกลับกันเถอะ " ระหว่างที่หลี่เล่อเยียนกำลังตะโกนแข่งกับสายฝนอยู่นั้น ก็ได้พลาดท่าตกลงไปยังร่องน้ำทำให้เนื้อตัวของเธอเลอะโคลน
" เล่อเยียน เป็นอะไรหรือไม่ " เหอหมี่เมี่ยนรีบวิ่งเข้าไปช่วยฉุดให้เธอลุกจากโคลนตม
" เล่อเยียนดูเธอสิ ฮ่าๆ หน้าดำไปหมดเลย ฮ่าๆ" เหอหมี่เมี่ยนที่รู้ว่าเล่อเยียนไม่เป็นอะไรมาก ก็ยืนขำกับหน้าตาของเล่อเยียนในตอนนี้
" ตลกมากใช่ไหม นี่แน่ะนี่แน่ะ ฮ่าๆ " กลายเป็นว่าเหล่าปัญญาชนที่อยู่ละแวกใกล้ๆ โดนลูกหลงในสงครามโคลนนี้ บางคนก็ร่วมวงเล่นน้ำฝนไปด้วยจนลืมไปว่าตากฝนกันอยู่
ท่ามกลางอากาศอันแสนอบอ้าวก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลม ทำให้ร่างกายนั้นคลายร้อนได้บ้าง ทำให้หลายๆ คนสนุกสนานกันมาก เพียงไม่นานฟ้าฝนที่เทลงมายังกับห่าฝนก็ได้หยุดลง ทั้งหมดจึงพากันเดินกลับไปยังบ้านพัก
" พวกเรารบกวนมาทางด้านนี้หน่อย มีพวกทหารมาน่ะรีบไปดูกันเถอะ " สมาชิกปัญญาชนคนหนึ่งตะโกนเรียกพร้อมกับเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่มิด จะไม่ให้ตื่นเต้นตกใจได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อมีนายทหารยศใหญ่มานี่นาไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
" ว่าไงนะ รีบไปกันเถอะ" หม่ายวี่ไท่ที่ตอนนี้สภาพแทบดูไม่ได้ หัวเปื้อนโคลน ใบหน้านั้นเคลือบไปด้วยโคลนตมเหลือเพียงลูกตา
หลี่เล่อเยียนใช่ว่าจะน้อยหน้าถ้าไม่ได้ยินเสียงคงดูไม่ออกว่าเป็นเธอ ตอนนี้คงเหลือเพียงลูกตาเท่านั้นที่ไม่เลอะ เธอบอกกับเพื่อนๆ ว่าสปาโคลนนั้นดีมากทีเดียว ช่วยทำให้ใบหน้านั้นนุ่มชุ่มชื้น ผิวพรรณเรียบเนียน
มีใครบ้างจะไม่อยากสวยเหมือนหลี่เล่อเยียน ทั้งหมดจึงพากันจงใจไม่เช็ดคราบโคลนที่เปื้อนตามใบหน้าออก เมื่อไปถึงยังลานกว้างเหล่านายทหารต่างพากันอึ้งกับสภาพปัญญาชนทั้งหลาย นี่พวกเธอโดนใช้แรงงานกันหนักถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงอย่างไรพวกเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เรียนจบสูงมากคนหนึ่ง มองๆ ดูก็น่าเห็นใจไม่น้อย
" ปัญญาชนทั้งหลาย วันนี้พวกเราได้รับเกียรติที่พวกท่านมีน้ำใจมาเยี่ยมเยียนให้คลายหายคิดถึงบ้านไปบ้าง พวกเราทำความเคารพ " สมาชิกคณะกรรมการคนหนึ่งเอ่ยบอกกลายๆ ให้ทุกคนเคารพคนเหล่านั้น
ทุกคนต่างพากันโค้งคำนับก้มหัวกันอย่างถ้วนหน้า หลี่เล่อเยียนเองก็พลอยทำตามไปด้วย ต้องตามน้ำไปก่อนเธอไม่อยากเป็นจุดเด่นอีกต่อไป เล่อเยียนได้เรียนรู้มาว่า ถ้าอยากมีชีวิตที่เรียบสงบจะต้องไม่ทำตัวโดนเด่น ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุดเพราะเธอมีใบหน้าที่โดดเด่นก็เป็นที่อิจฉาของใครหลายๆ คนมากพอแล้ว
" ทุกคนคงลำบากมาก ผมขอให้พวกคุณทุกคนอดทนอีกไม่นานผมจะพาพวกคุณกลับบ้าน " นายทหารท่านหนึ่งกล่าวออกมาวาจาเสียงดังฟังชัดน้ำเสียงหนักแน่น แววตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ แต่ลำพังเพียงเสียงของเขาเพียงคนเดียวไหนเลยจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้
ทุกคนที่ได้ฟังต่างพากันน้ำตาซึม แม้จะเป็นคำพูดไม่กี่คำแต่ทุกคนเข้าใจความหมายของมันอย่างลึกซึ้งทีเดียว
ในระหว่างที่นายทหารอยู่ในช่วงถามไถ่สมาชิกคนอื่น ๆ อย่างเป็นกันเอง หลี่เล่อเยียนบังเอิญสบตากับนายทหารคนหนึ่งเข้า ทำเอาใจของเธอเต้นแรงคล้ายจะหายใจไม่ออก เธอมั่นใจว่าไม่เคยพบเจอเขาคนนั้นมาก่อนแน่ ๆ แต่ไม่เข้าใจปฏิกิริยาของร่างกาย เธอรู้สึกหนาวสั่นมือเย็น ชาจนแทบไม่มีความรู้สึก อีกทั้งตอนนี้หูของเธอไม่รับรู้เสียงอะไรอีกต่อไปแล้ว เขายืนนิ่งแต่สายตากลับจ้องเธอตาไม่กะพริบ
เล่อเยียนที่เห็นภาพเข้ามาในหัว สมองสั่งให้วิ่งหนีแต่ก็ก้าวขาไม่ออก เธอไม่สามารถละสายตาจากผู้ชายคนนั้นได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันแต่ความรู้สึกลึกๆ แล้ว เหมือนเธอจะดีใจที่ได้เจอเขาคนนั้น
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก