ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำ
จากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ
" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้
ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่อง
เวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพียงเท่านั้น เธอผิดเองที่กะเวลาไม่ถูกอีกทั้งยังไม่รอบคอบ วันนี้เธอกับหมี่เมี่ยนนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าแขนไปตามๆ กัน
เล่อเยียนคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไร ถึงจะทำขนมในช่วงกลางคืนได้ ไม่ใช่ว่าเธอทำขนมที่บ้านไม่ได้แต่ถ้าหากทำเยอะขนาดนั้นใครจะไม่สงสัยกัน
" ทำไมทั่วทั้งบ้านถึงมีแต่กลิ่นหอมขนาดนี้ " ฟ่านเหมยเหมยพูดเสียงดัง ขณะที่กำลังเดินกลับจากทุ่งนา ก่อนที่พวกเธอจะมาถึง เล่อเยียนและหมี่เมี่ยนก็ขนกล่องขนมไปเก็บไว้ในห้องของเล่อเยียนเรียบร้อยแล้ว
" กลิ่นคล้ายๆ ขนมที่แม่เล่อเยียนทำเมื่อครั้งก่อนเลย " ฮุ่ยหลินออกความเห็น พร้อมทั้งกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อที่จะตามสูดดมกลิ่นขนมไปราวกับว่าแค่ดมกลิ่นก็อิ่มแล้ว
" พวกเธอทำขนมกันหรือ ไหนบอกว่าไม่สบาย " เหมยเหมยที่ช่วงนี้เฝ้าจับตามองเล่อเยียน แต่ไม่เห็นว่าหล่อนจะผิดสังเกตอะไร ซ้ำยังไม่ไปทำงานที่ที่ทำงานของคณะกรรมการเหมือนก่อน แต่เลือกลงไปทำงานที่ทุ่งนาเหมือนกับพวกเธอซะอย่างนั้น
" ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม มีข้อห้ามไม่ให้ทำขนมหรืออย่างไรกัน " เล่อเยียนพูดจายียวนกวนประสาท ฟ่านเหมยเหมยที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการวุ่นวาย ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของบ้าน
" นี่หล่อน.... ฉันก็แค่ถามไม่ได้จะจับผิดอะไรเสียหน่อย แค่แปลกใจ ไหนบอกไม่สบายถึงกับต้องให้หมี่เมี่ยนลางานมาเฝ้า แต่ลุกมาทำขนมได้ ดีจริงๆ กินแรงคนอื่น " ท้ายประโยคเหมยเหมยพูดเสียงเบาๆ คล้ายประชดประชัน เธอแค่อิจฉาที่เล่อเยียนทำเหมือนไม่สนใจแต้มค่าแรง อยากจะหยุดวันไหนก็หยุด ซ้ำยังมีของกินไม่ขาด กินดีอยู่ดีราวกับไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลยสักนิด ต่างจากเธอที่อยากจะหยุดพักผ่อนใจแทบขาดแต่ก็กลัวจะไม่พอกิน
" ฉันไปกินแรงคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ทำงานแล้วแต้มค่าแรงหล่อนลดลงหรือไงกัน ทำไมถึงต้องคอยแต่โทษคนอื่น " เดิมทีเล่อเยียนกะว่าจะแบ่งขนมให้คนในบ้านกินเผื่อว่าอะไรๆ มันจะทำง่ายขึ้น แต่พอมาเจอคำพูดแบบนี้เธอก็ไม่คิดจะไว้หน้าใครเหมือนกัน
" ใช่สิ หล่อนมีเลขาเตียวคอยช่วยนี่ เหอะ..มีใครเขาหยุดได้ตามอำเภอใจอย่างหล่อนบ้างเล่า" ฟ่านเหมยเหมยไม่คิดยอมแพ้นางจิ้งจอก ดูก็รู้ว่าไม่ได้ป่วยจริง นี่มันหลอกลวงกันชัดๆ
" เอาล่ะๆ ฉันเป็นคนทำขนมนี้เอง เล่อเยียนนึกอยากจะกินเลยขอให้ฉันช่วยทำให้กิน ยังมีส่วนของพวกเธอด้วยนะ มารับไปสิ " หมี่เมี่ยนรีบมาห้ามทัพ ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ แผนกระชับมิตรที่เล่อเยียนคิดไว้ ดูท่าจะพังตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
" อย่าคิดว่าจะเอาขนมมาฟาดหัวกันได้นะ " เหมยเหมยทำเมินขนมแสนหอมนั้น ทั้ง ๆ ที่อยากจะเข้าไปตะคลุบซะเต็มที่
" ถ้าอย่างนั้นฉันเอานะขอบคุณมากนะที่มีน้ำใจ วันนี้ฉันคงไม่เข้าครัวแล้วล่ะ แค่กินขนมนี่ก็อิ่มแล้วตามสบายเลยนะจ๊ะ " ฮุ่ยหลินรู้วิธีที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ ถ้าอยากจะมีของดีๆ อร่อยๆ กิน ไม่ควรจะไปงัดข้อกับหลี่เล่อเยียน ถึงแม้เธอจะดูเป็นคนไม่สนใจใคร แต่เรื่องกินนับว่าเธอใจกว้างมากทีเดียว
" ยัยผู้หญิงเห็นแก่กิน หล่อนไม่ทำอาหารแล้วฉันจะกินอะไรล่ะ " เหมยเหมยยืนย่ำเท้าอยู่กับที่ เจ็บใจนักเชียว ทำไมคนในบ้านถึงมีแต่คนโง่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของนางจิ้งจอกนั่นกันนะ
" ครั้งนี้จะถือว่าเห็นแก่หมี่เมี่ยนที่มีน้ำใจ ถ้าเป็นของคนอื่นฉันไม่รับแน่นอน " พูดจบเธอคว้าหมับที่จานใส่ขนม ใช่แล้วล่ะ เธอคว้าไปทั้งจานไม่ได้หยิบเพียงชิ้นเดียวเหมือนกับฮุ่ยหลิน
เมื่อทางสะดวก หม่ายวี่ไท่ที่จัดการกับร่างกายตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามาช่วยเปลี่ยนเล่อเยียน ให้เธอได้พักมือบ้างเพราะเธอนวดแป้งมาทั้งวัน
สามสาวใช้เวลานึ่งขนมจนล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนก็ทำได้ถึง 100 กล่อง เล่อเยียนที่เห็นว่าดึกมากแล้ว เธอจึงให้ทั้งสองคนไปนอน เธอจะเก็บล้างอุปกรณ์เอง สองสาวไม่อิดออด ยวี่ไท่ที่เหนื่อยจากงานในทุ่งนาทั้งวัน เธอล้าเต็มทีแล้ว ส่วนหมี่เมี่ยนนั้นพรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานในไร่ก็ต้องนอนพักเอาแรงเช่นกัน
เล่อเยียนเก็บกวาดเสร็จก็เข้านอน ทำการเก็บขนมเข้าไปในมิติ เพื่อคงความสดของขนม รักษาสภาพให้เหมือนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เธอนอนไม่หลับแน่ ถ้าไม่ได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย ว่าแล้วก็เดินไปยังห้องน้ำหลังบ้าน
ฟ่านเหมยเหมย ที่จ้องจับผิดทั้งสามคนว่าทำอะไรกันดึกป่านนี้ถึงยังไม่นอน ก็ได้แอบย่องเข้าไปในห้องของเล่อเยียน แต่ไม่พบความผิดปกติอะไร จะเจอก็แต่ขนมโก๋แสนอร่อยนี่มีอยู่ 2-3 กล่อง
'จริงๆ แล้วหล่อนไปซื้อมาสินะ เหอะ ...ถึงว่าทำไมมันถึงได้ละมุนลิ้นเพียงนั้น คนอย่างหลี่เล่อเยียนไม่มีทางที่จะทำขนมแสนอร่อยนั่นได้ '
เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไรเธอก็เข้าห้องไปนอนอย่างสบายใจ
เช้ามาเล่อเยียนและยวี่ไท่ก็รีบทำขนม ตกเย็นมาก็ทำอาหารอร่อยๆ เผื่อแผ่ไปยังกาฝากสองคนนั้นด้วย จะได้ไม่พูดมาก ฮุ่ยหลินนั้นไม่คิดมาก มีให้กินก็กิน เธอเข็ดกับเรื่องที่ก่อไว้ครั้งนั้น เพราะความอดอยากและความริษยา อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองแท้ๆ ตอนนี้เธอคิดได้แล้ว อยู่มีชีวิตให้ครบกำหนดก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าไม่รู้ว่านานแค่ไหนก็ตาม
ถึงแม้ว่าของกินจะช่วยปิดปากของเหมยเหมยได้ แต่มันไม่เพียงพอที่จะปิดความอยากรู้อยากเห็นได้ พวกนั้นจะกินขนมกันทั้งคืนเชียวหรือ จะออกไปก็ไม่กล้าเพราะพวกหล่อนปิดประตูในครัวมันต้องมีอะไรสิ
ทำไมถึงทำตัวมีลับลมคมใน เธอไม่มีทางเชื่อว่าเล่อเยียนจะมีน้ำใจโดยไม่หวังผล ผู้หญิงคนนี้หมาป่าจิ้งจอกเข้าสิงชัดๆ
รุ่งสางเล่อเยียนออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 04.30 น.เธอไม่รอให้หมี่เมี่ยนและยวี่ไท่ตามไปด้วย เพราะมันจะเป็นที่สะดุดตาเกินไป ขนม 200 กล่องจะเอาไปอย่างไรถึงจะหมด ถ้าไม่อาศัยมิติของเธอ
ไม่รอช้าเล่อเยียนรีบเร่งฝีเท้าไปให้ทันเวลา เธอนัดหมายเวลาคือก่อนที่เว่ยอี้หยางจะเข้างานตอนเช้า นั่นคือก่อน 07.30 น.แต่เธอต้องรีบไปหาที่นำขนมออกจากมิติ แล้วขนไปที่โรงงานของอี้หยาง มันไม่ง่ายเหมือนกับที่แอบขายของในตลาดมืดเลย ทำไมหนทางรวยของเธอถึงลำบากเพียงนี้ เธอไม่กลัวความลำบากแต่กลัวความลับถูกเปิดเผยมากกว่าเพราะทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐ เธอรีบมากจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนแอบสะกดรอยตาม
ใกล้ถึงกำหนดส่งขนมตามที่นัดกันเอาไว้แล้ว ทั้งสามคนเริ่มตามแผนการคือ เล่อเยียนแกล้งป่วยขอลางาน หมี่เมี่ยนขอลาด้วยให้เหตุผลว่าไม่มีคนดูแลเล่อเยียน ส่วนหม่ายวี่ไท่ลากเหมยเหมยและฮุ่ยหลินออกจากบ้านพักตั้งแต่เช้า ก่อนที่เสียงระฆังจะเตือนให้ลงพื้นที่ด้วยซ้ำจากนั้นเล่อเยียนเริ่มขนอุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบออกมาจากห้อง พร้อมทั้งบอกหมี่เมี่ยนว่าซื้อมาตั้งแต่ติดเกวียนของลุงในหมู่บ้านเข้าเมือง หมี่เมี่ยนถามเล่อเยียนว่าไม่กลัวเธอจะขโมยสูตรไปทำขายบ้างหรือ" ถ้าเธออยากทำขายฉันก็ไม่ขัดหรอก ขอแค่อย่าแย่งลูกค้ากันก็พอ " แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ หมี่เมี่ยนจะทำขายได้ เพราะทุกอย่างต้องใช้เงินลงทุน อาศัยเพียงแค่สูตรอย่างเดียวไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง กลิ่นของขนมโก๋ช่างหอมยั่วยวนเหลือเกิน กลิ่นมันหอมไปทั่วบริเวณบ้าน เพราะพวกเธอทำในปริมาณที่มาก วันแรกผ่านไปด้วยดีทั้งสองคนช่วยกันทำจัดขนมใส่กล่องเวลาในการทำขนมแต่ละครั้งใช้เวลานึ่งประมาณ 45 นาที นึ่งครั้งหนึ่งได้ประมาณครั้งละ 6 ชิ้น เมื่อนับแล้ววันนี้ทำขนมได้ทั้งหมด 50 กล่อง เป็นแบบนี้ทำไม่ทันแน่นอนเพราะเธอทำได้แค่เฉพาะกลางวันเพ
เมื่อจัดการทุกอย่างที่บ้านหลี่เรียบร้อยแล้ว หยางหมิงเฉิงก็ต้องเข้ากรมแลกวันหยุดกับเพื่อน เพื่อที่จะเดินทางไปหาหลี่เล่อเยียนอีกครั้ง ครั้งนี้เขามั่นใจเต็มสิบส่วน ว่าคนที่เจอที่ร้านบะหมี่คือเธอแน่นอน แต่อาจจะต้องสืบอีกทีว่าเธออยู่ที่หมู่บ้านไหนเขาได้เรียนรู้แล้วว่าการที่เขาเงียบไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้พ่อของเล่อเยียนก็เข้าใจลูกสาวแล้ว และเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดในครั้งนี้ หลี่ฮ่าวตูอาสาจะเป็นคนไปแทนเล่อเยียน แล้วให้น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยว่าจะทำได้ส่วนสองแม่ลูกหนูนั้นก็ถูกคาดโทษ เพราะการกระทำของคนเป็นแม่ เธอสารภาพว่าแผนการทุกอย่าง เธอนั้นลงมือทำเองคนเดียว ลูกสาวอย่างหรูฟางเซียนนั้นไม่รู้เห็นเรื่องนี้กับเธอด้วยกล่าวตามที่แม่เลี้ยงหรูรับสารภาพ ว่าเธอทำเรื่องน่าอายในงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของ หยางหมิงเฉิงและซุยเถาหยวน ทั้งสองมาเลี้ยงฉลองที่บ้านของตระกูลหลี่ เพราะมีข่าวแว่วมาว่าทางการจะเกณฑ์พวกนักศึกษาจบใหม่ หรือที่กำลังเรียนอยู่นั้นไปเข้าค่ายชนบทห่างไกล เพื่อทำงานแลกแต้มค่าแรงว่ากันตามตรงคือคนที่เหมาะสมที่สุดคงหนีไม่พ้นหลี่
" อืม ฉันจะไปคุยกับคุณลุงเอง " หยางหมิงเฉิงคิดตำหนิตัวเองที่ไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน ปล่อยให้เรื่องราวเลวร้ายจนทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งรอจนเวลาพลบค่ำ หลี่ฉินผู้เป็นพ่อของหลี่เล่อเยียนก็กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เขาเจอกับหยางหมิงเฉิงก็ตกใจไม่น้อยเพราะระหว่างเขาและหมิงเฉิงนั้นมีสัญญาใจกันอยู่ แต่จะให้เขาทำเช่นไรได้ล่ะ เพราะลูกสาวของตนเป็นคนไม่ดีเอง เขาผู้เป็นคนกลางจึงต้องให้ความยุติธรรมที่สุด" สวัสดีครับคุณลุง ไม่เจอกันนานสบายดีนะครับ " หยางหมิงเฉิงเป็นฝ่ายกล่าวทักทายผู้ใหญ่ก่อน พ่อของเล่อเยียนดูผอมลงเล็กน้อยเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ" นั่งสิ กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ " หลี่ฉินตั้งสติได้ก็เริ่มบทสนทนา ท่าทางสุขุมของเขาที่ต้องทำงานพบปะผู้คนมากมาย พอจะช่วยลดอาการประหม่า เวลาที่เจอกับผู้ชายตรงหน้าเขาได้ รังสีของชายชาติทหารมันแผ่ออกมาโดยที่หยางหมิงเฉิงนั้นไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็ดูน่าเกรงขาม" ครับ พึ่งมาถึงเมื่อคืนผมเห็นว่าดึกแล้วน่ะครับเลยไม่ได้มาหาคุณลุงก่อน " หลี่ฉินพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเข้าเรื่อง" เธอไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาไม่ได้ " หลี่ฉินเอามือประสานกั
กล่าวถึงนายทหารหนุ่มที่ร้อนใจขออนุญาตผู้บังคับบัญชา มุ่งหน้ากลับสู่เมืองหลวงก่อนกำหนดเดิม โดยรายงานว่ามีเหตุจำเป็นสำคัญ นายทหารยศใหญ่เดิมทีชอบในฝีมือและผลงานของเขา อีกทั้งยังหมายตาให้เป็นว่าที่ลูกเขย จึงพยายามที่จะสนับสนุนเต็มที่ ครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาในการขอลากิจด่วน อีกอย่างภารกิจก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่มีอะไรน่ากังวลหยางหมิงเฉิงเดินทางโดยรถไฟ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากไปบ้าง แต่เพื่อให้หายขับข้องใจถึงอย่างไรเขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมืองชนบทเขาพยายามตามหาเธอจนทั่วทุกที่ที่เขาคิดว่าเธอจะไป แม้กระทั่งในค่ายชนบทของเหล่าปัญญาชน เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ เพราะคิดว่าครอบครัวของเธออย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้มาเป็นแน่เธอมีพี่ชายที่ทั้งรักและหวงแหนเธอดั่งแก้วตาดวงใจขนาดนั้น เขาจะทนให้เธอมาลำบากได้อย่างไรกัน แต่เขาคิดไม่ตกสำหรับผู้หญิงที่เจอที่ร้านบะหมี่ ทำไมเขาถึงไม่เดินไปหาเธอให้รู้เรื่องกันนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่ต้องมานั่งร้อนใจ เพราะเป็นห่วงเช่นนี้ระยะเวลา 3 วัน 3 คืน ที่เขานั้นเดินทางมา ในที่สุดก็ถึงปักกิ่ง แต่ขอบอกว่าเวลานี้นั้น ปักกิ่งไม่น่าอยู่เลยสักนิด ม
อี้หยางที่นั่งนิ่งๆ ตักข้าวกินไปด้วยพร้อมกับสังเกตเล่อเยียนไปด้วย เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ นี่มันแร้งลงโต๊ะกินข้าวหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงเป็นกันได้เพียงนี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเขา นี่พวกเขาอดอยากกันมากถึงเพียงนี้เชียวหรือแม่เฒ่าเว่ยเก็บอาการโมโหไว้ในใจ ลำพังพวกบรรดาลูกสะใภ้หล่อนจัดการสั่งสอนทีหลังได้ แต่แม่หนูฟ่านเหมยเหมยนี่อะไรกัน หล่อนเป็นหมูมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมถึงได้กินมูมมามเสียงดังเพียงนี้ ทั้งยังกินแต่จานเนื้อ ไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำ หนูเล่อเยียนรึหล่อนหยิบแต่จานผัก อาหารที่หล่อนนำมาเธอยังไม่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้แตะมันเลยแม้แต่น้อย"นี่พวกเธอไปอดอยากจากที่ไหนมากัน ไม่อายแขกของฉันกับอี้หยางบ้างเลยหรืออย่างไร " สุดท้ายแม่เฒ่าเว่ยก็ทนไม่ไหว จำต้องแสดงด้านโหดออกมาให้เล่อเยียนเห็น" เหลือไว้ให้คนอื่นเขากินบ้าง อาหารในปากก็เคี้ยวให้หมดเสีย ก่อนที่มันจะติดคอเพราะยัดไม่เลือก" แม่เฒ่าเว่ยโมโหจนตัวสั่น อีกทั้งเธอยังว่ากระทบฟ่านเหมยเหมยอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าว่าต่อหน้าก็ตาม" ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนกินกันเลยค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบเนื้อเท่าไหร่ " หลี่เล่อเยียนตอบออกมายิ้มแบบฝืนๆ ใจจริงเธออยากจะบอ
เมื่อไปถึงบ้านเว่ย แม่เฒ่าเว่ยก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว วันนี้เธอจะต้องได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ให้ได้เธอให้ลูกสะใภ้ทั้งสองเตรียมอาหารเนื้อชุดใหญ่ เพราะลูกชายเธอเป็นคนซื้อเนื้อมาเอง ถึงแม้ว่าเว่ยอี้หยางจะยังไม่แยกบ้าน แต่เขาก็พอมีเงินเก็บส่วนตัวบ้าง ไม่ได้ส่งให้แม่ไปจนหมดเผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่ลำบากเมื่อทั้งสามคนไปถึง อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมกินได้แล้วสมาชิกบ้านเว่ยมีทั้งหมด 10 คน ผู้ใหญ่ 7 คน เมื่อหลี่เล่อเยียนและฟ่านเหมยเหมยมาร่วมกินด้วย เด็ก ๆ จึงแยกโต๊ะ รวมถึงลูกสาวคนเล็กคนเดียวของบ้านเว่ยด้วย แม้ว่าเธอจะมีอายุเท่ากับเล่อเยียนก็ตาม" กับข้าววันนี้พี่เขาซื้อมาจากในเมือง หนูเล่อเยียนกินให้อร่อยนะจ๊ะ""จริงสิแล้วนี่ใครกันหรือ ป้าเหมือนจะเคยเห็นหน้า แต่ไม่รู้จักชื่อเพื่อนของหนูเล่อเยียนเองหรอกหรือจ๊ะ" แม่เฒ่าเว่ยว่าจะถามตั้งแต่เข้ามาในบ้าน แต่ก็มัวลืมรีบพาเล่อเยียนไปนั่งที่โต๊ะอาหาร กลัวว่าหล่อนจะลุกวิ่งหนีไปอีกเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา"หนูชื่อฟ่านเหมยเหมย เป็นเพื่อนของเล่อเยียนค่ะคุณป้า เอ่อ..พอดีหนูมาเป็นเพื่อนเธอน่ะค่ะ ให้เล่อเยียนมาคนเดียวเห็นจะดูไม่เหมาะสัก