Share

บทที่ 3

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
นางปฏิเสธเขาเพื่อไปเลือกคนแบบนี้งั้นหรือ?

หางตาปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนฉายแววเย็นเยียบ ยิ่งรู้สึกว่าศิษย์หญิงที่มีนามว่าอวี้หลานชิงคนนี้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่มองอวี้หลานชิงและถามอีกครั้ง “เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือ?”

อวี้หลานชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง น้ำเสียงแน่วแน่ “ท่านผู้อาวุโสเสิ่นสง่างามห่างโลกีย์ วางตนอยู่เหนือโลกหล้า ศิษย์นับถือมานาน ยินดีเข้ารับการฝึกฝนภายใต้การสอนสั่งของเขา!”

บรรดาผู้อาวุโสในตำหนักหันไปมองบุรุษที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ตามสายตาเคารพชื่นชมของอวี้หลานชิง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นถึงความ “สง่างาม” และ “อยู่เหนือโลก”

อวี้หลานชิงคงถูกปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนยั่วโมโหจนเสียสติไปแล้วกระมัง!

ดูสิว่ากำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่?

แต่ถึงแม้จะโมโหอย่างไร ที่นี่ก็คือตำหนักใหญ่ของสำนักกระบี่เสวียนเทียน ผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนล้วนแต่มีตำแหน่งในสำนัก

คำพูดใดที่เอื้อนเอ่ยออกไปแล้ว ไม่อาจกลับคำได้อีก

ดวงตาของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ฉายแววเสียดายแวบหนึ่ง โบกมือว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ก้าวออกมาคำนับท่านอาจารย์ของเจ้าเถอะ”

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” อวี้หลานชิงประสานมือแน่น โค้งคำนับไปทางเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ด้วยความจริงใจ

จากนั้นสืบเท้ายาว ๆ ไปทางตำแหน่งของเสิ่นหวยจั๋วที่อยู่ทางด้านซ้าย เดินไปถึงปลายบันไดที่อยู่ตรงหน้าเก้าอี้ของเขาพอดี ถึงค่อยหยุดฝีเท้าลง

นางคุกเข่าลงพื้นดัง “ตุบ” อย่างมั่นคง

“ศิษย์ อวี้หลานชิง คำนับท่านอาจารย์!”

เสียงดังฟังชัดก้องกังวาน

ทำเอาเสิ่นหวยจั๋วที่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้สะดุ้งโหยงและรีบนั่งหลังตรงโดยพลัน

ครั้นลืมตามองก็เห็นเงาร่างบางในชุดสีเขียวนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

เพ่งมองดูดี ๆ แล้ว…

หืม?

นี่มันศิษย์จากเมื่อหลายปีก่อนที่ถูกยกย่องว่ามีพรสวรรค์ด้านกระบี่มากที่สุดในสำนักรองจากฉางยวนมิใช่หรือ?

จริงสิ วันนี้ฉางยวนออกฌานแล้ว

ควรเป็นวันที่ศิษย์คนนี้ได้เข้าพิธีคำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ

แต่ปัญหาก็คือ ผู้ที่นางควรคำนับคือฉางยวนมิใช่หรือ?

เหตุใดจึงมาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา?

“ไม่ได้ ๆ ถึงแม้ลำดับศักดิ์ของข้าจะอาวุโส แต่เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ปู่ก็พอ ไม่ต้องทำความเคารพขนาดนี้”

ลมเย็นสายหนึ่งลอยออกจากปลายนิ้วของเสิ่นหวยจั๋ว พยุงร่างของหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างให้ลุกขึ้น

แต่เข่าทั้งสองข้างที่คุกอยู่บนพื้นนั้น ราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นหยกของตำหนักก็มิปาน

พยุงไม่ขึ้น!

ผู้อาวุโสในตำหนักต่างหันหน้าหนีอย่างทนมองไม่ไหว ไม่อยากยอมรับว่าเสิ่นหวยจั๋วเป็นหนึ่งในพวกตัวเอง

นี่มัน…น่าขายหน้าจริง ๆ

แค่หลับในตำหนักต่อหน้าทุกคนก็น่าอายแล้ว ตอนนี้วิชาที่ใช้ยังจะถูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาแค่ห้าปีสลายออกอีก

หากไม่ใช่เพราะลำดับศักดิ์ของเสิ่นหวยจั๋ว พวกเขาก็ไม่อยากยอมรับจริง ๆ ว่านี่เป็นประมุขยอดเขาคนหนึ่งของสำนัก!

“ศิษย์ อวี้หลานชิง คารวะท่านอาจารย์!”

อวี้หลานชิงไม่รีบร้อน รักษาท่วงท่าเช่นเดิม เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง

เสิ่นหวยจั๋วเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ชี้ไปที่นางแล้วชี้กลับมาที่ตัวเอง “ข้าหรือ?”

“เจ้าจะคำนับข้าเป็นอาจารย์?”

“เจ้าค่ะ” อวี้หลานชิงเงยหน้ามองชายหนุ่มที่บัดนี้นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้

ปกเสื้อสีขาวนวลของเขาดูหย่อนคล้อยและเอียงเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอน มวยผมคลายออกเช่นกัน ยิ่งดูเสเพลไร้ระเบียบ

ดูแตกต่างจากผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสำนักกระบี่เสวียนเทียนที่มีท่าทีสง่างามโดยสิ้นเชิง

แต่อวี้หลานชิงกลับรู้ว่า บุรุษที่ดูไร้ความสามารถและเกียจคร้านผู้นี้ คือคนที่เที่ยงธรรมที่สุด

เมื่อชาติก่อน นางมีคะแนนสะสมมากที่สุดจากการแข่งขันในดินแดนลับที่หลายสำนักร่วมกันเปิดขึ้น ได้รับโอสถกระดูกเหล็กผิวหยกเม็ดหนึ่งเป็นรางวัล แต่แล้วท่านอาจารย์กับผู้อาวุโสหลายคนกลับต้องการให้นาง มอบโอสถเม็ดนี้ให้กับจี้ฝูเหยาที่ต้องการมันมากกว่านาง

ในตอนที่ทุกคนต่างเข้าข้างจี้ฝูเหยาและมองว่านางใจแคบ บุรุษตรงหน้านางตอนนี้กลับขยี้ตาลุกขึ้นจากการสัปหงกมาช่วยพูดปกป้องนางอย่างเป็นธรรม พูดจนเหล่าผู้อาวุโสไม่อาจโต้เถียงได้อีก

ต่อมานางบังเอิญได้ยินท่านอาจารย์กล่าวถึงตัวเอง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ก็เป็นบุรุษผู้นี้อีกเช่นกันที่ด่าให้นางได้สติ

เขาเย้ยหยันว่านางดูแลยอดเขาหลิงเซียวเหมือนยายแก่ ให้ความสำคัญกับทุกคนมากกว่าตัวเอง สมควรแล้วที่จะถูกมองข้าม

และยังบอกนางด้วยว่า คนเราเกิดมาทั้งทีก็ควรใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี มีชีวิตเพื่อตัวเอง!

แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นนางราวกับถูกมารเข้าสิง ดึงดันที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกว่าจี้ฝูเหยา ไม่ได้เข้าใจคำพูดที่ดูเหมือนเย้ยหยันแต่แท้จริงแล้วเป็นคำเตือนอันแสนจริงใจ ทำลายความหวังดีของเขา

จนสุดท้ายต้องตายด้วยกระบี่ของท่านอาจารย์และจี้ฝูเหยา

ส่วนบุรุษเบื้องหน้านั้น เขาจากไปก่อนนางเสียอีก…

จำได้ว่าวันนั้นนางอยากนำข่าวดีเรื่องที่ตัวเองฝึกแก่นกระบี่เล่มแรกสำเร็จไปบอกกับเขา แต่แล้วกลับพบว่ายอดเขาชิงจู๋มีเพียงความเงียบเหงาอ้างว้าง

ครั้นสอบถามโดยละเอียดถึงได้รู้ว่า ที่แท้เขาถูกวางแผนเล่นงานระหว่างออกไปตามหาสมบัติ พลัดหลงเข้าไปในซากโบราณสถานและหายสาบสูญไปนับแต่นั้น ส่วนป้ายหยกชะตาที่อยู่ในสำนักก็ปรากฏรอยร้าวหลายจุด

อวี้หลานชิงวางแผนไว้ว่าชนะการประลองครั้งใหญ่ในสำนักแล้วจะออกจากสำนักไปท่องใต้หล้า เวลาเดียวกันก็จะตามหาร่องรอยของเขา

แต่ไหนเลยจะคิด ว่าชีวิตของนางจะต้องจบสิ้นลงในการประลองครั้งใหญ่ของสำนัก

ไม่มีโอกาสได้ตามหาเขาอีก

กระนั้นก็ไม่เป็นไร นางได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว

นางจะนับถือเขาเป็นอาจารย์โดยตรง!

มีนางคอยจับตาดูอยู่ ชาตินี้จะไม่ให้เขาถูกวางแผนเล่นงานจนต้องบาดเจ็บและหายตัวไปอีกเด็ดขาด ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณที่เขาเคยชี้แนะนางเมื่อชาติก่อน

เมื่อสองสายตาสบเข้าด้วยกัน เสิ่นหวยจั๋วก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลายอย่างจากดวงตาใสคู่นั้น

มีความซาบซึ้งใจ ความเสียดาย นอกจากนี้ยังแฝงไว้ซึ่งความเศร้าโศกและสงสาร…

ความรู้สึกภายในแววตาหลากหลายจนมองไม่ออก

ทว่าสิ่งหนึ่งที่มองออกคือ “ความจริงจัง”

ศิษย์หญิงนางนี้ไม่ได้ล้อเล่น นางไม่อยากคำนับฉางยวนเป็นอาจารย์จริง ๆ

แต่ต้องการคำนับเขา เสิ่นหวยจั๋ว เป็นอาจารย์!

นี่มันบ้าไปแล้ว!

ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นหวยจั๋วคือปฏิเสธ

การดูแลศิษย์สักคนก็หมายถึงปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น

โดยเฉพาะ “ศิษย์” ผู้นี้ที่มีพรสวรรค์สูงลิ่ว

พรสวรรค์ยิ่งสูงก็ยิ่งพัฒนาได้เร็ว เรียนรู้อะไรได้มากกว่าคนอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะต้องชี้แนะและสั่งสอนบ่อยขึ้นตาม

ยอดเขาชิงจู๋ไม่เคยมีศิษย์มาก่อน เป็นเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรับศิษย์หรือ?

แน่นอนว่าไม่ใช่ ต่อให้เจ้าสำนักอวิ๋นไห่จะไม่ยอมยกศิษย์ฝีมือดีให้เขา แต่ศิษย์ที่ฝีมือทั่วไปก็มีให้เลือกเยอะแยะมิใช่หรือ?

อย่างไรเขาก็เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเจ้าสำนักกระบี่เสวียนเทียนรุ่นก่อนเชียวนะ หากว่าด้วยลำดับศักดิ์แล้ว แม้แต่พวกฉางยวนก็ยังต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์อา!

ที่เขาไม่เคยมีลูกศิษย์ มันเป็นเพราะเขามีไม่ได้หรือ?

ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะเขาไม่อยากมีต่างหาก!

อุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมานาน เขาไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปกับผู้อื่น

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์ เกรงว่าจะทำให้ศิษย์ชั้นดีแบบนี้เสียโอกาส ข้าคิดว่า…”

ไม่รอให้เสิ่นหวยจั๋วคิดออกว่าจะยกศิษย์ให้ผู้ใด อวี้หลานชิงที่กำลังจะถูกเขายกให้ผู้อื่นก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงดังฟังชัด “ศิษย์ได้ท่องจำวิชาพลังภายในและเคล็ดวิชากระบี่ของระดับหลอมปราณที่อยู่ในหอคัมภีร์ได้หมดแล้ว ช่วงกลางวันจะฝึกเคล็ดวิชากระบี่ที่หอกระบี่ ตกกลางคืนจะฝึกพลังภายในที่ห้อง แต่ละอย่างใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วยาม ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการฝึกฝนเจ้าค่ะ”

ฮึ่ม!

ใต้หล้านี้มีศิษย์ที่เลี้ยงง่ายขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?

ภายในใจเสิ่นหวยจั๋วเริ่มหวั่นไหว กระนั้นก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าดังเดิม “ยอดเขาชิงจู๋มีบุปผาต้นหญ้าประหลาดมากมาย บ้างก็มีฤทธิ์พิเศษ หากเผลอทำอันตรายต่อเจ้า หรือไม่ก็เจ้าเผลอไปทำอะไรพวกมัน…”

“ก่อนที่จะเข้าสำนักกระบี่เสวียนเทียน ศิษย์มาจากไร่สมุนไพรในเมืองไป๋เฉ่า เคยดูแลบุปผาและสมุนไพรวิญญาณ!”

ภายในใจเสิ่นหวยจั๋วหวั่นไหวมากขึ้นอีก เพื่อไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ เขากลั้นใจพูดออกไปตรง ๆ ว่า “หากมีคนเพิ่ม ก็ยิ่งมากปัญหา”

“หลังจากที่เข้าสำนัก ศิษย์ได้ช่วยดูแลกิจการภายในของยอดเขาหลิงเซียวมาเป็นเวลาห้าปี หากมีศิษย์อยู่ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหากวนใจเลยเจ้าค่ะ!”

ใจที่หวั่นไหวของเสิ่นหวยจั๋วทนไม่ไหวอีกต่อไป

ศิษย์ที่ดูแลตัวเองได้และทำงานหนักขนาดนี้ มันเหมือนเกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะชัด ๆ!

เมื่อมีศิษย์แบบนี้ เขาจะได้นอนที่ยอดเขาชิงจู๋ได้สบายกว่าเดิม

หากยังปฏิเสธอีก มันคงเป็นเขาที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!

มีสายลมเย็นชื่นลอยออกจากปลายนิ้วของเสิ่นหวยจั๋วอีกครั้ง

ใบหน้ารูปงามหาเปรียบมิได้ของเขาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนมีเมตตา พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์รัก ลุกขึ้นเร็วเข้า พื้นมันเย็นนะ!”

------------------

[1] เก้าอี้ไท่ซือ หมายถึง เก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่เท้าแขน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 100

    บรรดาสำนักที่เมื่อครู่นี้ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เวลานี้ได้ยึดครองตำแหน่งที่ดีที่สุดบนอัฒจันทร์แล้ว ส่วนสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กที่เหลือก็แทรกตัวเข้าไปในช่องว่างที่สำนักใหญ่เหลือไว้ อวี้หลานชิงนั่งอยู่บนที่นั่งของศิษย์สายตรงชั้นใน นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ทอดสายตามองไปยังเบื้องล่างที่มีศีรษะผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่นผู้ฝึกตนในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนมีเกือบหนึ่งแสนคนเลยทีเดียวเมื่อรอให้ทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว แสงที่เปล่งออกมาจากเสาค้ำฟ้าโดยรอบก็รวมตัวเข้าด้วยกันชายชราผมขาวโพลนดุจหิมะคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวมังกร ดูสง่างามดั่งเซียนมากกว่าอวี้ชิงจื่อจากสำนักอวี้ซวีก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทุกก้าวที่เดิน ร่างก็เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าเดินมาจากท่ามกลางความว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ตรงใจกลางสนามเมื่อเขาปรากฏตัว เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่บนที่นั่งสูงสุดของอัฒจันทร์โดยรอบก็พากันลุกขึ้น ประสานมือคารวะชายชราผู้นั้นแล้วร้องเรียกว่า “ผู้อาวุโสเช่อ” “ผู้อาวุโสเช่อผู้นี้เป็นใครกัน?” จิตวิญญาณของอวี้หลานชิงอยู่แค่ระดับหลอมแก่นปราณเท่านั้น ไม่อาจมองทะลุระดับพลังยุทธ์ของชายชราได้ คนท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 99

    เวลานี้เอง ฉากที่อยู่ด้านนอกเสาค้ำฟ้าแทบจะเป็นภาพจำลองของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด เมืองที่รองรับผู้คนได้หลายแสนคนแห่งนี้ ทุกคนในเมืองล้วนเฝ้าติดตามสถานการณ์ของทางเสาค้ำฟ้าตรงใจกลางเมือง ศิษย์สำนักใหญ่ที่นำโดยอาจารย์จากสำนัก ต่างก็ยืนอยู่บนอาวุธวิเศษเหาะเหินขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงแวววาวของสำนักต่าง ๆ ส่วนลูกศิษย์ของสำนักขนาดกลางและขนาดเล็กก็ยืนอยู่บนพื้นดิน รออยู่รอบ ๆ เสาค้ำฟ้าอย่างเงียบเชียบถัดออกไปด้านนอก ยังมีผู้ฝึกตนอิสระนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิทธิ์เข้างานชุมนุมใหญ่ของสำนักเซียนกำลังชะเง้อคอมองสถานการณ์ในนี้ แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและความหลงใหลใฝ่ฝันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่หมอกจาง ๆ ที่ปกคลุมเสาค้ำฟ้าจะสลายหายไป สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังบรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอัดฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในเสาค้ำฟ้า ผู้ที่ยืนตระหง่านกลางอากาศปลดปล่อยพลังอันมหาศาลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่วนมากก้าวเข้าสู่ระดับทารกวิญญาณช่วงปลายแล้ว ยังมีบางส่วนที่ครอบครองพลังของระดับเทพจุติด้วยผู้ทรงพลังที่มีคว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 98

    บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้จี้ฝูเหยายังเยาว์วัย ยังไม่เข้าใจการเก็บงำอารมณ์โดยสมบูรณ์ หรืออาจเป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมมาสองชาติ ทำให้อวี้หลานชิงเข้าใจนางดีเกินไป เมื่อจิตสัมผัสรู้สึกได้ถึงสายตาของจี้ฝูเหยาที่มองตามหลังอีกฝ่ายไป อวี้หลานชิงก็คาดเดาการกระทำต่อไปของนางได้แล้ว นางทำเช่นนี้เป็นประจำใช้ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา คำนึงถึงผู้อื่นมาดึงดูดทุกคนที่มีประโยชน์ต่อนาง ชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะกระบี่ที่ทะลวงหัวใจในตอนสุดท้าย อวี้หลานชิงก็คงถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อวี้หลานชิงไม่อยากใช้คำพูดที่ร้ายกาจมาบรรยายจี้ฝูเหยา แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่แสดงออกมาเลย สายตาของปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนน่าเป็นห่วงยิ่งนักความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ อวี้หลานชิงก็อดไม่ได้ที่จะ “ถุย” อีกครั้ง ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน ศิษย์อาจารย์คู่นั้นชอบพอกันและกัน มีความรักต้องห้าม เรียกได้ว่าเหมือนเต่ามองถั่วเขียว รับสืบทอดสายตาที่ย่ำแย่มา“ไปกันเถิด” อวี้หลานชิงหันหน้ากลับมามอง เจ้าของแผงลอยที่ยังกำถุงเก็บของไว้แน่นเพราะกล

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 97

    อวี้หลานชิงไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง และไม่อยากอธิบายอะไร เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะสังหารสัตว์วิญญาณตัวนี้เลย ในเมื่อจี้ฝูเหยายินดีเข้ามายุ่งเรื่องผู้อื่น ก็ปล่อยให้นางดูแลต่อไปก็พอ “ศิษย์หลานกล่าวมีเหตุผล เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างตามหาเจ้าของสัตว์วิญญาณตัวนี้ก็ยกให้ศิษย์หลานจัดการแล้วกัน” “แต่ว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้มีนิสัยซุกซน ศิษย์หลานต้องคอยจับตาดูหน่อย อย่าให้มันทำร้ายผู้คนอีกเป็นอันขาด” อวี้หลานชิงพูดจบก็เก็บกระบี่ยาว เจ้าของแผงลอยที่อาศัยช่วงเวลาชุลมุนเก็บกล่องบรรจุหญ้าเย็นกระจ่างกลับคืนสู่อ้อมอกอีกครั้ง ก็ฉวยโอกาสที่จี้ฝูเหยาพูดเมื่อครู่นี้เก็บข้าวของบนแผงลอยจนเสร็จเรียบร้อยนานแล้วอวี้หลานชิงส่งสายตา เขาก็เดินตามหลังนางออกจากฝูงชนทันทีจิ้งจอกแดงเพลิงที่ก่อความวุ่นวายไปครึ่งถนนตัวนั้น เมื่อครู่กำลังทำตากลมสุกใสนิ่งอยู่กับที่ มองอวี้หลานชิงกับจี้ฝูเหยาเหมือนชมละครสนุก ๆ ก็ไม่ปานปากยังคงเคี้ยว “หนวดหัวไชเท้า” ที่มันโยนทิ้งไว้บนพื้นลวก ๆ ก่อนหน้านี้อย่างไม่เร่งรีบเมื่อเห็นอวี้หลานชิงและเจ้าของแผงลอยนำสมุนไพรวิญญาณที่มันหมายตาจากไป มันก็อดร้อนใจไม่ได้มันคายหนวดหัว

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 96

    วิญญาณร้ายยังไม่สลายไปสักที ในสมองของอวี้หลานชิงผุดขึ้นมาแปดคำทันที จี้ฝูเหยาที่อยู่ตรงหน้าถือกระบี่ใบหลิวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปลายกระบี่เรียวเล็ก ตรงด้ามกระบี่เคลือบทอง บนนั้นยังฝังอำพันที่ส่องประกายแวววาวสามก้อนตอนที่กระบี่ทั้งสองปะทะกันเมื่อครู่นี้ อวี้หลานชิงรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่เล่มนั้น เป็นลมปราณสายนี้เองที่ต้านทานปราณกระบี่ของนาง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกระบี่เล่มใหม่ที่ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนมอบให้จี้ฝูเหยา แม้จะเทียบไม่ได้กับกระบี่ที่หล่อหลอมปราณกระบี่ของปรมาจารย์กระบี่เยวี่ยหวาเล่มนั้นในชาติก่อน ซึ่งเข้ากับวิชาที่จี้ฝูเหยาฝึกฝนแต่ก็เป็นกระบี่ดีที่หาได้ยากเล่มหนึ่งจริง ๆ อย่างน้อยในแง่ของระดับก็ถือว่าหายากมากนี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษ แต่เป็นอาวุธวิญญาณ แตกต่างกันเพียงคำเดียว แต่ราคาและความล้ำค่าระหว่างทั้งสองนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อาวุธวิญญาณทั่วไปมีราคาแค่หินวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อน แพงอีกแค่ไหนก็แค่พันกว่า แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่มีราคาแต่ไม่มีในตลาดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณเลย ตลอดชีวิตของผู้ฝึกตนระดับห

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 95

    เจ้าของแผลลอยกล่าวจบก็แอบเชยตามองปฏิกิริยาของอวี้หลานชิง จากนั้นก็เห็นนางทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยสักคำเดียวในใจอด “กระตุก” ขึ้นมาไม่ได้ผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้คงไม่ให้เขาคืนหินวิญญาณหรอกนะ?ศิษย์ของสำนักใหญ่ ปกติแล้วจะไม่ยอมเสียหน้ากระมัง?แต่ว่าไม่มีเรื่องอะไรที่แน่นอน เขาตัดสินใจแล้วว่าหากผู้ฝึกตนหญิงตรงหน้าให้เขาคืนหินวิญญาณละก็ เขาจะเก็บแผงหนีไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนที่แล้วค่อยตั้งแผงใหม่ เจ้าของแผงลอยถึงค่อยเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวังว่า “สหายน้อย?” สิ่งที่อวี้หลานชิงคิดไม่ใช่เรื่องขอหินวิญญาณคืน “เมื่อครู่ท่านบอกว่าสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ระงับพิษเพลิงชื่อว่าอะไรนะ?”“หญ้าเย็นกระจ่าง สมุนไพรวิญญาณชั้นสูง หนึ่งต้นสามารถระงับพิษเพลิงได้สามเดือน” ความคิดที่จะหนีไปของเจ้าของแผงลอยถูกโยนทิ้งไว้ที่ด้านหลังสมองทันที ก่อนจะถามด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นว่า “สหายน้อยถามถึงสมุนไพรนี้ แสดงว่า?”“ข้ามีอยู่ต้นหนึ่ง” อวี้หลานชิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกันว่ามีสมุนไพรวิญญาณเช่นนี้อยู่ในแหวนเก็บของของตนเป็นของที่ผู้อาวุโสจวีหยางจากสำนักมอบให้ในพิธีกราบอาจารย์ก่อนหน้านี้ สมุนไพรวิญญาณที่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status