Share

บทที่ 3

Author: กวนอวิ๋นเจี้ยน
นางปฏิเสธเขาเพื่อไปเลือกคนแบบนี้งั้นหรือ?

หางตาปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนฉายแววเย็นเยียบ ยิ่งรู้สึกว่าศิษย์หญิงที่มีนามว่าอวี้หลานชิงคนนี้ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง

เจ้าสำนักอวิ๋นไห่มองอวี้หลานชิงและถามอีกครั้ง “เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือ?”

อวี้หลานชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง น้ำเสียงแน่วแน่ “ท่านผู้อาวุโสเสิ่นสง่างามห่างโลกีย์ วางตนอยู่เหนือโลกหล้า ศิษย์นับถือมานาน ยินดีเข้ารับการฝึกฝนภายใต้การสอนสั่งของเขา!”

บรรดาผู้อาวุโสในตำหนักหันไปมองบุรุษที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ตามสายตาเคารพชื่นชมของอวี้หลานชิง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นถึงความ “สง่างาม” และ “อยู่เหนือโลก”

อวี้หลานชิงคงถูกปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนยั่วโมโหจนเสียสติไปแล้วกระมัง!

ดูสิว่ากำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่?

แต่ถึงแม้จะโมโหอย่างไร ที่นี่ก็คือตำหนักใหญ่ของสำนักกระบี่เสวียนเทียน ผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนล้วนแต่มีตำแหน่งในสำนัก

คำพูดใดที่เอื้อนเอ่ยออกไปแล้ว ไม่อาจกลับคำได้อีก

ดวงตาของเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ฉายแววเสียดายแวบหนึ่ง โบกมือว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็ก้าวออกมาคำนับท่านอาจารย์ของเจ้าเถอะ”

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” อวี้หลานชิงประสานมือแน่น โค้งคำนับไปทางเจ้าสำนักอวิ๋นไห่ด้วยความจริงใจ

จากนั้นสืบเท้ายาว ๆ ไปทางตำแหน่งของเสิ่นหวยจั๋วที่อยู่ทางด้านซ้าย เดินไปถึงปลายบันไดที่อยู่ตรงหน้าเก้าอี้ของเขาพอดี ถึงค่อยหยุดฝีเท้าลง

นางคุกเข่าลงพื้นดัง “ตุบ” อย่างมั่นคง

“ศิษย์ อวี้หลานชิง คำนับท่านอาจารย์!”

เสียงดังฟังชัดก้องกังวาน

ทำเอาเสิ่นหวยจั๋วที่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้สะดุ้งโหยงและรีบนั่งหลังตรงโดยพลัน

ครั้นลืมตามองก็เห็นเงาร่างบางในชุดสีเขียวนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

เพ่งมองดูดี ๆ แล้ว…

หืม?

นี่มันศิษย์จากเมื่อหลายปีก่อนที่ถูกยกย่องว่ามีพรสวรรค์ด้านกระบี่มากที่สุดในสำนักรองจากฉางยวนมิใช่หรือ?

จริงสิ วันนี้ฉางยวนออกฌานแล้ว

ควรเป็นวันที่ศิษย์คนนี้ได้เข้าพิธีคำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ

แต่ปัญหาก็คือ ผู้ที่นางควรคำนับคือฉางยวนมิใช่หรือ?

เหตุใดจึงมาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา?

“ไม่ได้ ๆ ถึงแม้ลำดับศักดิ์ของข้าจะอาวุโส แต่เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ปู่ก็พอ ไม่ต้องทำความเคารพขนาดนี้”

ลมเย็นสายหนึ่งลอยออกจากปลายนิ้วของเสิ่นหวยจั๋ว พยุงร่างของหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่างให้ลุกขึ้น

แต่เข่าทั้งสองข้างที่คุกอยู่บนพื้นนั้น ราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นหยกของตำหนักก็มิปาน

พยุงไม่ขึ้น!

ผู้อาวุโสในตำหนักต่างหันหน้าหนีอย่างทนมองไม่ไหว ไม่อยากยอมรับว่าเสิ่นหวยจั๋วเป็นหนึ่งในพวกตัวเอง

นี่มัน…น่าขายหน้าจริง ๆ

แค่หลับในตำหนักต่อหน้าทุกคนก็น่าอายแล้ว ตอนนี้วิชาที่ใช้ยังจะถูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาแค่ห้าปีสลายออกอีก

หากไม่ใช่เพราะลำดับศักดิ์ของเสิ่นหวยจั๋ว พวกเขาก็ไม่อยากยอมรับจริง ๆ ว่านี่เป็นประมุขยอดเขาคนหนึ่งของสำนัก!

“ศิษย์ อวี้หลานชิง คารวะท่านอาจารย์!”

อวี้หลานชิงไม่รีบร้อน รักษาท่วงท่าเช่นเดิม เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง

เสิ่นหวยจั๋วเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ชี้ไปที่นางแล้วชี้กลับมาที่ตัวเอง “ข้าหรือ?”

“เจ้าจะคำนับข้าเป็นอาจารย์?”

“เจ้าค่ะ” อวี้หลานชิงเงยหน้ามองชายหนุ่มที่บัดนี้นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้

ปกเสื้อสีขาวนวลของเขาดูหย่อนคล้อยและเอียงเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอน มวยผมคลายออกเช่นกัน ยิ่งดูเสเพลไร้ระเบียบ

ดูแตกต่างจากผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสำนักกระบี่เสวียนเทียนที่มีท่าทีสง่างามโดยสิ้นเชิง

แต่อวี้หลานชิงกลับรู้ว่า บุรุษที่ดูไร้ความสามารถและเกียจคร้านผู้นี้ คือคนที่เที่ยงธรรมที่สุด

เมื่อชาติก่อน นางมีคะแนนสะสมมากที่สุดจากการแข่งขันในดินแดนลับที่หลายสำนักร่วมกันเปิดขึ้น ได้รับโอสถกระดูกเหล็กผิวหยกเม็ดหนึ่งเป็นรางวัล แต่แล้วท่านอาจารย์กับผู้อาวุโสหลายคนกลับต้องการให้นาง มอบโอสถเม็ดนี้ให้กับจี้ฝูเหยาที่ต้องการมันมากกว่านาง

ในตอนที่ทุกคนต่างเข้าข้างจี้ฝูเหยาและมองว่านางใจแคบ บุรุษตรงหน้านางตอนนี้กลับขยี้ตาลุกขึ้นจากการสัปหงกมาช่วยพูดปกป้องนางอย่างเป็นธรรม พูดจนเหล่าผู้อาวุโสไม่อาจโต้เถียงได้อีก

ต่อมานางบังเอิญได้ยินท่านอาจารย์กล่าวถึงตัวเอง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ก็เป็นบุรุษผู้นี้อีกเช่นกันที่ด่าให้นางได้สติ

เขาเย้ยหยันว่านางดูแลยอดเขาหลิงเซียวเหมือนยายแก่ ให้ความสำคัญกับทุกคนมากกว่าตัวเอง สมควรแล้วที่จะถูกมองข้าม

และยังบอกนางด้วยว่า คนเราเกิดมาทั้งทีก็ควรใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี มีชีวิตเพื่อตัวเอง!

แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นนางราวกับถูกมารเข้าสิง ดึงดันที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกว่าจี้ฝูเหยา ไม่ได้เข้าใจคำพูดที่ดูเหมือนเย้ยหยันแต่แท้จริงแล้วเป็นคำเตือนอันแสนจริงใจ ทำลายความหวังดีของเขา

จนสุดท้ายต้องตายด้วยกระบี่ของท่านอาจารย์และจี้ฝูเหยา

ส่วนบุรุษเบื้องหน้านั้น เขาจากไปก่อนนางเสียอีก…

จำได้ว่าวันนั้นนางอยากนำข่าวดีเรื่องที่ตัวเองฝึกแก่นกระบี่เล่มแรกสำเร็จไปบอกกับเขา แต่แล้วกลับพบว่ายอดเขาชิงจู๋มีเพียงความเงียบเหงาอ้างว้าง

ครั้นสอบถามโดยละเอียดถึงได้รู้ว่า ที่แท้เขาถูกวางแผนเล่นงานระหว่างออกไปตามหาสมบัติ พลัดหลงเข้าไปในซากโบราณสถานและหายสาบสูญไปนับแต่นั้น ส่วนป้ายหยกชะตาที่อยู่ในสำนักก็ปรากฏรอยร้าวหลายจุด

อวี้หลานชิงวางแผนไว้ว่าชนะการประลองครั้งใหญ่ในสำนักแล้วจะออกจากสำนักไปท่องใต้หล้า เวลาเดียวกันก็จะตามหาร่องรอยของเขา

แต่ไหนเลยจะคิด ว่าชีวิตของนางจะต้องจบสิ้นลงในการประลองครั้งใหญ่ของสำนัก

ไม่มีโอกาสได้ตามหาเขาอีก

กระนั้นก็ไม่เป็นไร นางได้ย้อนเวลากลับมาแล้ว

นางจะนับถือเขาเป็นอาจารย์โดยตรง!

มีนางคอยจับตาดูอยู่ ชาตินี้จะไม่ให้เขาถูกวางแผนเล่นงานจนต้องบาดเจ็บและหายตัวไปอีกเด็ดขาด ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณที่เขาเคยชี้แนะนางเมื่อชาติก่อน

เมื่อสองสายตาสบเข้าด้วยกัน เสิ่นหวยจั๋วก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหลายอย่างจากดวงตาใสคู่นั้น

มีความซาบซึ้งใจ ความเสียดาย นอกจากนี้ยังแฝงไว้ซึ่งความเศร้าโศกและสงสาร…

ความรู้สึกภายในแววตาหลากหลายจนมองไม่ออก

ทว่าสิ่งหนึ่งที่มองออกคือ “ความจริงจัง”

ศิษย์หญิงนางนี้ไม่ได้ล้อเล่น นางไม่อยากคำนับฉางยวนเป็นอาจารย์จริง ๆ

แต่ต้องการคำนับเขา เสิ่นหวยจั๋ว เป็นอาจารย์!

นี่มันบ้าไปแล้ว!

ปฏิกิริยาแรกของเสิ่นหวยจั๋วคือปฏิเสธ

การดูแลศิษย์สักคนก็หมายถึงปัญหาที่ไม่รู้จักจบสิ้น

โดยเฉพาะ “ศิษย์” ผู้นี้ที่มีพรสวรรค์สูงลิ่ว

พรสวรรค์ยิ่งสูงก็ยิ่งพัฒนาได้เร็ว เรียนรู้อะไรได้มากกว่าคนอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะต้องชี้แนะและสั่งสอนบ่อยขึ้นตาม

ยอดเขาชิงจู๋ไม่เคยมีศิษย์มาก่อน เป็นเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรับศิษย์หรือ?

แน่นอนว่าไม่ใช่ ต่อให้เจ้าสำนักอวิ๋นไห่จะไม่ยอมยกศิษย์ฝีมือดีให้เขา แต่ศิษย์ที่ฝีมือทั่วไปก็มีให้เลือกเยอะแยะมิใช่หรือ?

อย่างไรเขาก็เป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของเจ้าสำนักกระบี่เสวียนเทียนรุ่นก่อนเชียวนะ หากว่าด้วยลำดับศักดิ์แล้ว แม้แต่พวกฉางยวนก็ยังต้องเรียกเขาว่าท่านอาจารย์อา!

ที่เขาไม่เคยมีลูกศิษย์ มันเป็นเพราะเขามีไม่ได้หรือ?

ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะเขาไม่อยากมีต่างหาก!

อุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมานาน เขาไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปกับผู้อื่น

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่เคยมีลูกศิษย์ เกรงว่าจะทำให้ศิษย์ชั้นดีแบบนี้เสียโอกาส ข้าคิดว่า…”

ไม่รอให้เสิ่นหวยจั๋วคิดออกว่าจะยกศิษย์ให้ผู้ใด อวี้หลานชิงที่กำลังจะถูกเขายกให้ผู้อื่นก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยเสียงดังฟังชัด “ศิษย์ได้ท่องจำวิชาพลังภายในและเคล็ดวิชากระบี่ของระดับหลอมปราณที่อยู่ในหอคัมภีร์ได้หมดแล้ว ช่วงกลางวันจะฝึกเคล็ดวิชากระบี่ที่หอกระบี่ ตกกลางคืนจะฝึกพลังภายในที่ห้อง แต่ละอย่างใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วยาม ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการฝึกฝนเจ้าค่ะ”

ฮึ่ม!

ใต้หล้านี้มีศิษย์ที่เลี้ยงง่ายขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?

ภายในใจเสิ่นหวยจั๋วเริ่มหวั่นไหว กระนั้นก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าดังเดิม “ยอดเขาชิงจู๋มีบุปผาต้นหญ้าประหลาดมากมาย บ้างก็มีฤทธิ์พิเศษ หากเผลอทำอันตรายต่อเจ้า หรือไม่ก็เจ้าเผลอไปทำอะไรพวกมัน…”

“ก่อนที่จะเข้าสำนักกระบี่เสวียนเทียน ศิษย์มาจากไร่สมุนไพรในเมืองไป๋เฉ่า เคยดูแลบุปผาและสมุนไพรวิญญาณ!”

ภายในใจเสิ่นหวยจั๋วหวั่นไหวมากขึ้นอีก เพื่อไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวไปมากกว่านี้ เขากลั้นใจพูดออกไปตรง ๆ ว่า “หากมีคนเพิ่ม ก็ยิ่งมากปัญหา”

“หลังจากที่เข้าสำนัก ศิษย์ได้ช่วยดูแลกิจการภายในของยอดเขาหลิงเซียวมาเป็นเวลาห้าปี หากมีศิษย์อยู่ ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหากวนใจเลยเจ้าค่ะ!”

ใจที่หวั่นไหวของเสิ่นหวยจั๋วทนไม่ไหวอีกต่อไป

ศิษย์ที่ดูแลตัวเองได้และทำงานหนักขนาดนี้ มันเหมือนเกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะชัด ๆ!

เมื่อมีศิษย์แบบนี้ เขาจะได้นอนที่ยอดเขาชิงจู๋ได้สบายกว่าเดิม

หากยังปฏิเสธอีก มันคงเป็นเขาที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!

มีสายลมเย็นชื่นลอยออกจากปลายนิ้วของเสิ่นหวยจั๋วอีกครั้ง

ใบหน้ารูปงามหาเปรียบมิได้ของเขาปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนมีเมตตา พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ศิษย์รัก ลุกขึ้นเร็วเข้า พื้นมันเย็นนะ!”

------------------

[1] เก้าอี้ไท่ซือ หมายถึง เก้าอี้แบบโบราณของจีน ด้านหลังมีพนักพิง ด้านข้างมีที่เท้าแขน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 62

    สายตาของผู้คนล้วนติดตามผีเสื้อที่กลายร่างจากแสงวิญญาณ ไปหยุดอยู่ที่อวี้หลานชิงลั่วอู๋ซางพลันนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่ตนจะลงมือเป็นครั้งที่สอง ศิษย์หญิงผู้นี้เองที่แอบ “ปลดปล่อย” ศิษย์สำนักกระบี่หลายคนซึ่งถูกแรงกดดันกดทับไว้ต่อหน้าต่อตาเขาก็จริงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงชมพูที่อาจเกี่ยวพันกับการตายของศิษย์ตน เอะอะก็ตาแดง แสร้งทำเป็นน่าสงสาร นางยังชวนให้พึงใจยิ่งกว่า“เอาเถิด ข้าจะเห็นแก่สำนักกระบี่เสวียนเทียน คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายถอยออกไปได้”มือที่ลั่วอู๋ซางยกขึ้นยังคงชี้ไปที่จี้ฝูเหยา น้ำเสียงเย็นชาไร้ปรานี “ข้าจะไต่สวนเพียงนางผู้เดียว”ร่างของจี้ฝูเหยาสั่นเทาเล็กน้อย มองไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่พึ่งศิษย์ร่วมสำนักที่นางมองไปหา ต่างพากันหลบสายตาแม้แต่เจินเหรินระดับแก่นปราณหลายคนที่ก่อนหน้านี้ยังคอยปกป้องนาง เวลานี้กลับพากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมาพูดแทนนางอีกจี้ฝูเหยากำฝ่ามือแน่น ตัดใจเด็ดขาดหันไปทางเสิ่นหวยจั๋ว “ผู้อาวุโสเสิ่น อาจารย์ปู่…ท่านอาจารย์ของศิษย์ยังมาไม่ถึง ท่านจะทอดทิ้งศิษย์มิได้!”เสิ่นหวยจั๋วชิงชังที่สุดในชีวิตก็คือการมีผู้ใดมาข่มขู่ตนเองสายตาท

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 61

    ต่อหน้าธารกำนัล เขานั่งลงบนเก้าอี้เมฆาตัวหนึ่งในนั้นอย่างไม่ลังเลจากนั้นก็ผลักเก้าอี้อีกตัวไปข้างหน้า โอบล้อมด้วยสายลมบริสุทธิ์ ส่งตรงไปยังด้านหลังของลั่วอู๋ซางศิษย์จากสี่สำนักที่อยู่ด้านล่าง ต่างก็มองจนตะลึงงันผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เสวียนเทียนท่านนี้ กำลังคิดจะทำสิ่งใดกัน?นี่มันยามใดแล้ว ยังจะมีกะจิตกะใจนั่งลงสนทนากันอีก!เหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียน ยิ่งร้อนใจหนัก พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าผู้อาวุโสเสิ่นคิดจะงัดกลอุบายอันใดออกมาเกรงว่าการกระทำของผู้อาวุโสเสิ่นอาจยิ่งยั่วโทสะลั่วอู๋ซาง ทำให้ทุกคนต้องพลอยรับเคราะห์หนักหนาสาหัสกว่าเดิมท่ามกลางแววตาสงสัยของผู้คนมากมาย เสิ่นหวยจั๋วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวกับลั่วอู๋ซางว่า “สหายโปรดนั่ง เรื่องราวในวันนี้ ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ข้ามิได้โน้มน้าวให้ท่านคลายโทสะ เพียงแต่อยากพูดคุยด้วยเหตุผลกับท่านเท่านั้น”เขาไม่เคยคิดจะประมือกับลั่วอู๋ซางเลยสักครั้ง เสิ่นหวยจั๋วผู้นี้ เป็นคนที่ยึดถือเหตุผลเสมอมาเป็นครั้งแรกที่ลั่วอู๋ซางต้องเผชิญกับคนที่เล่นนอกกติกาเช่นนี้อย่างไรเสียสองสำนักก็ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีงามอยู่ อีกทั้ง

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 60

    “ปรมาจารย์กระบี่ฉางยวนห่วงใยความปลอดภัยของศิษย์น้องหญิงจี้จริงดังคาด เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นาน ก็รีบมาด้วยตัวเองแล้ว”ส่วนลั่วอู๋ซางแห่งสำนักอู๋จี๋เตี้ยน มาเร็วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้นแต่ดูจากแสงสีขาววาบเดียวเมื่อครู่นั้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำลายแรงกดดันของลั่วอู๋ซางได้ พลังนั้นชัดเจนว่าย่อมมีได้เมื่อร่างจริงมาถึงเท่านั้นต่างเป็นระดับเทพจุติเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงร่างแยก ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฏกายมาด้วยร่างจริง...ใครแพ้ใครชนะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนต่างถอนหายใจโล่งอกในที่สุดเหล่าเจินเหรินที่เมื่อครู่ยังรู้สึกไม่พอใจที่จี้ฝูเหยายั่วโมโหลั่วอู๋ซาง บัดนี้ต่างก็สงบความขุ่นเคืองใจลงแล้วอย่างไรเสีย จี้ฝูเหยาก็เป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์กระบี่ ไม่เห็นหรือว่าแค่นางเกิดปัญหาเล็กน้อย ปรมาจารย์กระบี่ก็รีบรุดมาด้วยตัวเอง?เพียงเท่านี้ ก็มากพอให้นางมีทุนที่จะเอาแต่ใจแล้วเช่นเดียวกับทุกคน จี้ฝูเหยาก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามทิศทางที่แสงสีขาวพุ่งมา บนหมู่เมฆที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ปรากฏร่างหนึ่งยืนอยู่จี้ฝูเหยากำยันต์หยกไว้ในฝ่ามื

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 59

    ทั้งสองคนนี้อวี้หลานชิงไม่รู้จักเลย พียงเลือกคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเท่านั้นขณะที่นางยื่นมือช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนักใกล้ตัวต้านแรงกดดัน ทางด้านนั้น ลั่วอู๋ซางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกจี้ฝูเหยาทั้งสี่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่า จี้ฝูเหยาต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจได้ในบรรดาทั้งสี่คนและไม่สนใจว่าคนอื่นจะกล่าวว่าเขารังแกคนอ่อนแอกว่า สายตาจ้องเขม็งไปที่จี้ฝูเหยา มองจากที่สูงลงมาอย่างดูถูก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา หลังจากเจ้าพบเฉินถงแล้วไปที่ไหน แยกจากกันเมื่อใด หลังจากนั้นเจ้าพบเขาอีกหรือไม่?”ใบหน้าจี้ฝูเหยาซีดเผือดภายใต้สายตาอำมหิตของยอดฝีมือระดับเทพจุติ นางตัวสั่นระริก จนไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาแต่หาใช่เพราะแรงกดดันไม่ นางมีของวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบไว้ติดตัว จึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันของลั่วอู๋ซางที่ปกคลุมเหนือหัวของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่เสวียนเทียนเพียงแต่นางมีระดับพลังยุทธ์เพียงขั้นหลอมปราณช่วงกลางเท่านั้น การถูกยอดฝีมือระดับเทพจุติจ้องด้วยสายตาอำมหิต ความกดดันเช่นนี้เพียงพอจะทำลายแนวป้องกันในจิตใจของนางได้นางหลับตาลงเบา ๆ กำยันต์หยกที่ท่านอาจารย์มอบให้ตนเอง สัมผัสถึงความอบอุ่นจา

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 58

    ภายในเตาหลอมใหญ่พลันปรากฏเงาร่างขึ้นมา แรกเห็นยังคงเลือนราง แต่เพียงพริบตาก็แน่ชัดเป็นรูปเป็นร่างอาภรณ์ดำ ผมสีเพลิง ปกเสื้อหลวมโครก เสื้อคลุมยับย่น ดูไม่งามตา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเห็นเขาก้าวย่างอันองอาจ ก้าวข้ามออกมาจากเตาหลอมผมยาวสีเพลิงนั้น ถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยผ้าคาดผมสีขาว ในจังหวะที่เขาขยับกาย ผ้าคาดผมที่หลวมโครกนั้นก็ขาดสะบั้น ผมยาวสีเพลิงปลิวสยายออก พลิ้วไหวโดยไร้ลม ราวกับเพลิงโทสะที่ลุกโชนในดวงตาของเขา เพียงสบมองก็ทำให้ผู้คนพลันเกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งหัวใจนี่แหละความน่าเกรงขามของยอดฝีมือระดับเทพจุติแม้เป็นเพียงร่างแยกสายเดียว ก็สามารถทำให้คนนับร้อยตรึงอยู่กับที่พร้อมกัน อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“ผู้ใดบังอาจลงมือทำร้ายศิษย์ของข้า?” ลั่วอู๋ซางมองไปรอบทิศด้วยแววตาอันดุดันสายตาทอดไปที่ใด ก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าสบตาหลิงสวินเฟิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ท่านอาจารย์ ท่านมาถึงเร็วเกินไป ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบสาเหตุที่ศิษย์น้องหายตัวไปขอรับ”“แล้วเหตุใดไม่รีบตรวจสอบต่อไปเล่า!”ลั่วอู๋ซางตวาดก้อง พูดจบแล้วก็ยกมือขึ้น พลังจิตวิญญาณสายหนึ่งพุ่งห่อหุ้มเ

  • เกิดใหม่ครานี้ ข้าขอถีบอาจารย์ผู้ลำเอียงทิ้ง   บทที่ 57

    ก่อนที่ผู้อาวุโสจะมาถึง เจินเหรินหลายท่านของสำนักอู๋จี๋เตี้ยนยังคงสอบถามสำนักต่าง ๆ ว่ามีใครเคยพบศิษย์สองคนนั้นอีกบ้าง“สำนักอู๋จี๋เตี้ยนก็เหลือเกิน ตอนมาก็ให้คนรอ ตอนกลับก็ยังต้องรออีก ทำตัวใหญ่โตเสียจริง!”“แล้วคนเมื่อครู่นั้นก็ด้วย ท่าทีอย่างไรกัน กล้าพูดกับศิษย์น้องหญิงจี้แบบนี้ได้อย่างไร”ผู้คนที่อยู่รอบตัวจี้ฝูเหยา พากันเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางสายตาของอวี้หลานชิงก็จับอยู่ที่จี้ฝูเหยาเช่นกันนางนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ในแดนลับ ตอนที่ขัดขวางจี้ฝูเหยาไม่ให้ใช้ค่ายกลเข็มทิศสอดส่องเข้าไปยังแดนลับใหญ่ ข้างกายจี้ฝูเหยามีผู้ติดตามอยู่หลายคนนอกจากลูกศิษย์ชั้นนอกสามคนของยอดเขาหลิงเซียวที่ยังยืนเคียงข้างจี้ฝูเหยาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนตัวสูงคนหนึ่งตัวเตี้ยคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งกายหรูหรา สีหน้าหยิ่งยโส สองคนนั้นน่าจะเป็นเฉินถงและหนานกงที่สำนักอู๋จี๋เตี้ยนกำลังตามหาในตอนนั้นแดนลับเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงห้าวัน ระดับพลังยุทธ์ของจี้ฝูเหยายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นดึงลมปราณเข้าร่างสัญชาตญาณบอกนางว่า จี้ฝูเหยาดูไม่ชอบมาพากลแต่ ณ เวลานั้นนางไม่อาจบอกได้ว่า ไม่ชอบมาพากลตรงไหนกันแน่“อาจารย์อาอวี้”เมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status