บทที่ 5
zuó yè xiaǒ lóu yóu dōng fēng
เมื่อลมบูรพาผัดผ่านอีกครั้ง
si shi nián jiā guó sān qiān li di shōu rú shui náng zhōng
สี่สิบปีแห่งอาณาจักรบ้านเกิด ดินแดนสามพันลี่ ถูกผู้อื่นยึดครองแล้ว
nán gē zi li chàng yà shēng duàn le pi pá huà zhēng
บทเพลงแห่งแดนใต้ ถูกขับร้องด้วยเสียงแหบแห้ง สายผีผาและกู่เจิงขาดสะบั้น
xian shàng xiè hóng wú suô shi cóng
สายนั้นอาบไปด้วยโลหิต จนไม่รู้ต้องทำอย่างไร
yī yàng wu xiù huàn tàng gōng
นักคีตร่ายรำเช่นเดียวกับในวังถัง
yân kàn tā rú wǒ jiāng shān zuò yōng
มองดูเขาเช่นที่ข้าเคยมี นั่งบัลลังก์ปกครองแผ่นดินนี้
wǒ què rù fēi péng
บัดนี้ข้าเป็นเพียงหญ้าป่าที่ล่อลอยอยู่
เสียงดีดกู่เจิงและขับร้องบทเพลงจากคุณหนูจูบุตรสาวของเจ้าของเหลา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เหลาอาหารขึ้นชื่อผู้คนมากมายต่างรู้จัก หากใครมายื่นเมืองหยิ่งตู่ แล้วไม่มาฟังคุณหนูจูไป๋เสวี่ยขับร้องย่อมมาไม่ถึง นางจะมาเพียงสัปดาห์ล่ะ 1 วันเท่านั้น ทำให้ยิ่งเป็นจุดขายให้เหลาอาหาร ผู้คนนักเดินทางต่างพากันจับจองล่วงหน้านับเดือนเพื่อจะมาฟังนางร้องซักครั้ง
“คุณหนู คุณชายของข้าอยากเชิญท่านร่วมโต๊ะอาหาร”
“ข้าน้อยขออภัยคุณชายของท่านด้วย ข้าน้อยมีเพียงหน้าที่ขับกล่อมบทเพลงและเล่นดนตรีเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่รับรองลูกค้า” จูไป๋เสวี่ยปฏิเสธด้วยท่าทางนอบน้อม หลังจากเดินลงจากเวทีการแสดงก็มีชายแปลกหน้าเข้ามาทัก
“คุณหนูจู คุณชายข้าเดินทางมาจากเมืองหลวงเพื่อมาฟังท่านร้องเพียงไม่กี่เพลง ให้เหมาเหลานี้ทั้งเดือนถุงเงินคุณชายข้าก็ไม่สะเทือน อย่าขัดใจคุณชายข้าจะดีกว่า” เขาต้องการให้นางไปนั่งโต๊ะเจ้านายของเขา จึงโอ้อวดบารมีเจ้านายออกไป เพราะนางไม่ไปเกรงว่าเขาคงมีโทษหนัก
จูไป๋เสวี่ยหลบถอนหายใจ นางเจอลูกค้าแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก การไม่มีอำนาจย่อมตกเป็นเบี้ยล่าง ข้อนี้นางรู้ดีอีกนั้นล่ะ
“หากท่านดึงดั้นจะให้ข้ารับรองคุณชายท่าน มีเงื่อนไขเพียงสองข้อ หากรับได้ข้ายินดีต้อนรับคุณชายของท่าน”
“ข้ายินดี” องค์ชายสามเปิดประตูห้องรับรองออกมาเมื่อเห็นว่านางยอมโอนอ่อนให้บ่าวรับใช้ของเขาแล้ว
“ข้ายินดีต้อนรับคุณชายที่โต๊ะรับรองที่สวนย่อมพร้อมบ่าวรับใช้ของข้าอีก 3คน ค่าเสียเวลาของข้า ครึ่งช่วงยาม 100ตำลึงข้ารับรองแขกได้วันล่ะ 1ชั่วยามเท่านั้น หากท่านยินดีข้าจะให้คนนำทางไปเจ้าค่ะ มีสวนและน้ำตกจำลองให้ชม บรรยากาศดีรับรองคุณชายจะไม่เสียเที่ยวที่มาเยือนเมืองหยิ่งตู่” รอยยิ้มการค้าปรากฏบนใบหน้างาม นางมักยิ้มแย้มเช่นนี้ให้ลูกค้าเสมอ
เท่ากับว่าข้าต้องเสียเงินถึง200 ตำลึงเพียงฟังนางบรรเลงขับร้องเท่านั้น องค์ชายสามหลงเฮ่าเฉินหางคิ้วกระตุกคณิกาอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยังไม่ขูดเลือดขูดเนื้อเท่านี้
“ว่าอย่างไรเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นแขกยืนนิ่ง นางจึงเอ่ยถามเสียงหวาน ไหนบอกเหมาทั้งเหลายังไม่สะเทือน พอบอกครึ่งชั่วยาม100 ตำลึง หน้าเปลี่ยนสีซะงั้น หากเขาปฏิเสธนางก็แค่กลับไปพักผ่อนที่จวน หากเขายอมรับนางก็ได้เงิน
“นำทาง” ในเมื่อลั่นวาจาไปแล้วว่ายอมรับเงื่อนไข จะผิดคำก็ไม่ได้ องค์ชายอย่างข้าจะไม่ยอมเสียหน้าในเหลาอาหารเล็กๆ นี่เด็ดขาด
จูไป๋เสวี่ย นางจะไม่รับรองแขกก็ย่อมได้ พี่สามและพี่สี่ยืนอยู่ไม่ไกล หากมีเรื่องราวหรือมีข้อพิพาท พี่ชายทั้งสองต้องเข้ามาช่วยนางแน่นอน แต่เมื่อเห็นแขกกระเป๋าหนักและดูดื้อรั้น จูไป๋เสวี่ยจึงยอมลงให้ การค้าไม่ติดขัดแถมยังได้เงินนางยินดีทำ
ในห้องรับรองถัดไปมีสองบุรุษนั่งร่ำสุราอยู่
“มาคราวนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ ไม่คิดว่าจะได้พบองค์ชายสามแห่งแคว้นเว่ย อีกทั้งได้มาพบคุณหนูจู ได้ยินชื่อเสียงความงามของนาง พอมาเห็นด้วยตา นางงามราวเทพธิดาจริงๆ ท่านว่าไหมท่านแม่ทัพ” หลังจากจบการแสดงเขาและสหายก็เดินกลับเข้ามาในห้องรับรอง ไป๋ชูเพิ่งเดินทางมาเมืองหยิ่งตู่หนแรก เพิ่งเคยเห็นหน้าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยิ่งตู่ชัดๆ เคยได้ยินเพียงข่าวลือถึงความงาม ตัวจริงงามกว่าที่คิดเอาไว้นัก
“ข้าอยากให้เจ้าจดจ่อกับการหาข่าวมากกว่ามองสาวงาม” แม่ทัพหลิวเสวียอวี้ ยกจอเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว ใช่เขากับรองแม่ทัพปลอมตัวเข้ามาสืบหาข่าวที่หัวเมืองชายแดน อีกไม่นานศึกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น
รองแม่ทัพไป๋ชู่มองหน้าสหายพลันยิ้มเยาะ เมื่อชักครู่ใครกันที่นั่งมองแม่นางจูไม่วางตา ทำมาเป็นพูดดักทางข้า กลัวข้าสนใจนางมากกว่ามั้ง แต่ก็น่าแปลกใจไม่น้อย คบหาเป็นสหายกันมาจนอายุล่วงเลยมาถึง 25 ปี ไม่เคยเห็นแม่ทัพสนใจหญิงงามคนใดเลย อย่างว่าละแม่นางจูงดงามออกปานนั้น ท่านแม่ทัพเกิดสนใจในตัวนางก็ไม่ผิดแปลก ขนาดเขาเองยังตะลึงมองไม่วางตา อีกทั้งตอนนางขับร้องเสียงนางราวกับระฆังแก้วท่วงท่าการดีดกู่เจิ่งงดงามไพเราะจับใจ หากนางไม่ใช่บุตรสาวเจ้าของเหลาอาหาร เขานึกว่านางคงเป็นนางสนมในวังหรือคุณหนูตระกูลขุนนางในเมืองหลวง
ขอบคุณเพลง 清平誤 -黃詩扶 ความสงบอันไม่เที่ยง
ตอนพิเศษ2“โอ๊ยๆ เบาฮูหยิน เบาๆ เดี๋ยวเนื้อข้าหลุด” แม่ทัพที่คุมทหารนับแสน ถูกภรรยาหยิบเข้าที่สีข้างก็ร้องโอดโอย ราวกับถูกกระบี่ฟันเขาแค่ล้อเล่นไหม ใครจะยกลูกให้คนอื่นยืมได้อย่างไรเล่า ตั้งใจปั้นมาขนาดนี้“เจ้าจะเดินทางไปรับเสด็จจูล่งฮองเต้ที่เมืองหน้าด่านที่ลี่เจียงหรือเปล่า” หลังจากฟัดพุงกลมๆ แก้มนิ่มๆ จนพอใจ ก็ส่ง ทารกน้อยหลิวไป๋อิงคืนให้บิดาของนางหลิวเสวี่ยอวี้รับบุตรสาวมานั่งลงบนตักแกร่ง“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากให้เสวี่ยเอ๋อร์อยู่กับเด็กๆ ตามลำพัง อีกอย่างนางตั้งครรภ์อยู่ เกิดเจ้าสามแสบชนหกล้มไปจะทำอย่างไร ข้าไม่ไว้ใจคนอื่นให้ดูแลแทน”เฉิงตงกลอกตามองบน เหตุผลมันก็พอฟังขึ้นอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะความรักฮูหยิน ที่มากจนเกินไปหรืออย่างไร ทำให้เสี่ยวไป๋ท้องไม่เคยว่าง ตั้งแต่เดินทางมาอยู่แคว้นฉู่ จนย่างเข้าปีที่ 5 แล้วไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แคว้นเว่ยเลย จนทำให้จูล่งฮองเต้ถึงกับต้องเสด็จมาเยี่ยมพระขนิษฐาด้วยพระองค์เองถึงแคว้นฉู่“ข้าอยู่ได้ สามแสบก็ใช่ไม่รู้ความ ข้าปรามอะไรก็ฟังตลอด มีเพียงตอนอยู่กับท่านพี่เท่านั้น ที่พูดอะไรก็ทำเป็นหูทวนลม” ตลอด 5 ปีที่อยู่แคว้นฉู่ นางไม่เคยได้กลับบ้า
ตอนพิเศษ1เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นไปทั้งสวนดอกไม้ สี่พ่อลูกกำลังวิ่งปลุกปล้ำกันมันมาอย่างสนุกสนาน“ท่านพี่ ถ้าต้นดอกไม้ข้าหัก ข้าจะให้ท่านไปนอนที่เรือนรับรอง” ฮูหยินเล็ก จูไป๋เสวี่ย ตะโกนปรามแม่ทัพและเด็กชายแฝดทั้งสาม ตอนนี้เด็กแฝดทั้งสามอายุได้ 4 หนาวแล้ว ชอบเล็กกันรุนแรงจนบ่าวไพร่ พี่เลี้ยงสู้แรงไม่ไหว นอกจากบิดาเท่านั้นที่รับมือนั้นได้ วันหยุดจึงมักจะมาเล่นกันที่สวนปลดปล่อยพลังกันอย่างอย่างบ้าคลั่งหลิวเสวี่ยอวี้ผินหน้ามามองภรรยาด้วยความรู้สึกผิด แต่จะให้เขาทำยังไง เด็กทั้งสามคนซนเหลือเกิน วิ่งจับคนนั้นคนนี้วิ่งหนี วิ่งจับคนนี้คนนั้นวิ่งหนี พอจับสองคนอีกคนก็กระโดดขี่คอ แฝดสามยังเด็กนักบางครั้งจึงไม่รู้น้ำหนักมือของตนเอง พลั้งมือลงแรงมากเกินไปทำเอาบ่าวไพร่เจ็บตัว จนไม่มีใครกล้าเล่นด้วย มีเพียงเขาคนเดียวที่รับมือไหว“สมน้ำหน้า อยากมีสิบคนใช่ไหม ข้าจะคลอดให้ท่านเลี้ยงให้ครบเลย” จูไป๋เสวี่ยขำเครือ เมื่อเห็น สามีถูกเด็กแสบทั้งสามคนตะลุมบอน“ข้าว่าอีกไม่นานหรอกสวนดอกไม้ของเจ้าต้องเหลือแต่ชื่อ” เฉิงตง สอดมือใต้รักแร้ทารกน้อยวัย 1 ขวบเศษ หลิวไป๋อิง นางช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน จนเฉิงตงอดไม่ไ
บทที่37ขุนนางทั้งหลายจากเดิมไม่คิดที่จะให้บุตรสาวแต่งกับแม่ทัพหลิวเพราะคิดว่าภายใต้หน้ากากเหล็กนั้นคือบุรุษอัปลักษณ์ อีกทั้งองค์หญิงฉู่เฉียวหมายปองอยู่คิดกันแค่เพียงว่าองค์หญิงอยากแต่งเพราะเป็นสหายมาตั้งแต่เยาว์วัยและอำนาจทหารที่สกุลหลิวถืออยู่ จึงไม่มีขุนนางคนไหนมาทาบทามไปเป็นเขย แต่หลังจากงานเลี้ยง พอได้เห็นใบหน้าและความมั่นคงของสกุลหลิวแล้ว ก็อยากให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ส่งเทียบเชิญไปงานเลี้ยงมาไม่ได้หยุดหย่อน หรือไม่ก็สั่งให้บุตรสาวไปเดินผ่านให้แม่ทัพเห็นสักครั้ง หากแม่ทัพถูกตาต้องใจก็จะได้แต่งเข้าจวน ยิ่งข่าวลือที่ว่าแม่ทัพรักมั่นต่อองค์หญิงเท่าไร สาวงามในเมืองหลวงยิ่งเพ้อฝันอยากแต่งเข้าจวนแม่ทัพ เพราะอยากได้สามีที่รักมั่นกับตนเองแบบนั้นบ้าง แต่ก็ถูกแม่ทัพพูดจาหักหน้าตรงๆ จนเสียหน้าไปหลายราย“ท่านพี่ไม่คิดที่จะไปตามเทียบเชิญบ้างเลยเหรอ ข้าเห็นวันก่อนเสนาบดีฝ่ายขวาก็ส่งเทียบเชิญให้ท่านไปงานเลี้ยงวันเกิด”“ไม่ล่ะ ข้าขี้เกียจปั้นหน้า เดิมแต่ก่อนตัวข้าก็แทบไม่เคยอยู่เมืองหลวงนาน ไม่ตรวจตราตามหัวเมืองชายแดน ก็ไปแอบดูเจ้าที่เมืองหยิ่งตู่” ริมฝีปากหนาก้มลงจุมพิตหน้าท้องขาวนวลที่ขึ้
บทที่36ขบวนราชบุตรเขยและองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยเดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นฉู่ในที่สุด ชาวเมืองออกมายืนขนาบสองข้างถนนจนแน่นขนัด ถนนสองข้างทางประดับประดาไปด้วยกระดาษสีแดงและสีทองขบวนรถขับเคลื่อนไปถึงประตูวังหลวง ฮองเต้แคว้นฉู่ และเหล่าขุนนางเตรียมงานเลี้ยงรอไว้ต้อนรับอย่างดีเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นใบหน้าของแม่ทัพหลิวเสวี่ยอวี้ชัดๆ เพราะที่ผ่านมาเห็นแค่ครึ่งหน้าเท่านั้น แต่พอล่ะสายตามายังสตรีที่เดินเคียงข้างมาแม้กระทั่งฮองเต้ยังตกตลึงไม่คิดว่าองค์หญิงจูไป๋เสวี่ยจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ด้านองค์หญิงฉู่เฉียวที่แต่งตัวงดงามกว่าวันไหนๆ รีบมายืนประจำตำแหน่งของตนเอง ลอบเยาะยิ้มสตรีผู้นั้นบังอาจลงมือทำร้ายพระองค์แถมข่มขู่ไม่ให้บอกใคร แล้วเป็นอย่างไรสุดท้ายก็ถูกแม่ทัพหลิวทิ้งไปแต่งงานกับองค์หญิงต่างแคว้น อยากจะเห็นใบหน้าองค์หญิงจูไป๋เสวี่ยนัก ว่าจะต่อกรกับสตรีหยาบช้าอย่างฮูหยินเอกของหลิวเสวี่ยอวี้ได้หรือไม่“ถวายบังคมฝ่าบาท” แม่ทัพหลิวพาองค์หญิงแห่งแคว้นเว่ยเข้าเฝ้าหน้าพระพักตร์เมื่อได้ยินเสียงองค์หญิงฉูเฉียวรีบเงยหน้าขึ้นมอง ขนกายลุกชู่ไปทั้งร่าง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลื่อนหายไป สีหน้าคล้า
บทที่35“น้องเขยมาๆ ดื่มอีกจอก” คุณชายสี่ จูหรงจียกกาสุรามารินเติมให้น้องเขยไม่ให้ขาดตอน จูหรงจีคือคนที่หวงน้องห้ามากที่สุด เดิมทีคิดว่างานจบจะคุยกับพี่ใหญ่ให้ถอนหมั้นกับยกเลิกงานแต่งซะ แต่เพราะความรักและเสียสละของแม่ทัพหลิวทำให้เขายอมปล่อยมือให้น้องแต่งงานในครั้งนี้ คงไม่มีใครดูแลน้องห้าได้ดีเท่าหลิวเสวี่ยอวี้อีกแล้ว“ดื่มๆ” เฉิงตงช่วยดันจอกสุราเข้าปากราชบุตรเขยอีกแรงราชบุตรเขยเดินโซซัดโซเซ เขาโดนมอมสุรา คงกะให้เข้าหอคืนนี้ไม่ไหว พี่ชายทั้งสี่ของฮูหยินเล่นงานเขาแล้ว สหายสุดที่รักก็ร่วมมือด้วย ทั้งๆ ที่เฉิงตงเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเขาคาดหวังกับคืนนี้มากแค่ไหน มันน่าตัดเพื่อนทิ้งจริงๆ ได้แต่คิดในใจ ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอย่างเสียไม่ได้ ทั้งพี่ชายจูไป๋เสวี่ยและสหายคงไม่ปล่อยให้เข้าหอง่ายๆ แน่คืนนี้“ถึงฤกษ์เข้าหอแล้ว พอเถอะท่านแม่ทัพยืนแทบจะไม่ไหวแล้ว” รองแม่ทัพไป๋ชูได้รับสัญญาณมือจากแม่ทัพหลิวก็รีบเข้ามาประคอง เดินประคองร่างคนเมาแทบจะหิ้วปีกไปส่งถึงประตูห้องหอที่เจ้าสาวรออยู่เมื่อประตูห้องหอปิดลง คนที่ต้องให้รองแม่ทัพหิ้วปีกมาเมื่อสักครู่ ก็เดินตัวตรงอย่างมั่นคงไปยังเตียงที่เจ้าสาวนั่งรอ
บทที่34หลิวเสวี่ยอวี้อาการดีวันดีคืนด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดของฮูหยิน จูไป๋เสวี่ยตัดสินใจรับตำแหน่งจากพี่ชาย ในฐานะพระขนิษฐาของฮองเต้อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของแม่ทัพแห่งแคว้นฉู่ จะช่วยเสริมสร้างฐานอำนาจจูล่งฮองเต้ได้อย่างมาก ใครจะกล้านางได้รู้ความจริงอันเจ็บปวดอีกอย่างจากเจียวเจี้ย ตอนที่เจียวก้านยังมีชีวิตอยู่เคยคิดพลักดันน้องสาวต่างมารดาของฮองเฮาเจียวเอินจวิ้นเข้าวัง ฮองเต้หลงในตอนนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็น ไท่จื่อ รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะเจียวก้านมาขอให้ช่วยไปพูดกับฮองเฮาให้ นั้นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไทจื่อไม่อาจรอได้อีกต่อไป เพราะหากมีองค์ชายจากตระกูลฮองเฮาเพิ่มขึ้น ตำแหน่งของตนย่อมสั่นคลอนวันนี้เป็นวันที่หลิวเสวี่ยอวี้รอคอย พออาการเริ่มดีขึ้นเขาก็เขียนจดหมายให้บิดามารดาเดินทางมายังวังหลวงแคว้นเว่ย เพราะต้องการจัดพิธีแต่งงานกับพระขนิษฐาของจูล่งฮองเต้ ไม่อยากรอหายแล้วกลับไปแต่งที่แคว้นฉู่แล้ว อยากเข้าหอกับนางสักทีราชบุตรเขยในชุดสีแดง ยืนชะเง้อคอยาวรอเกี้ยวเจ้าสาวที่ตำหนักรับรอง งานแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นในวังหลวง บิดามารดาของเขาขนสินสอดทองหมั้นมาจากแคว้นฉู่ถึง 100 เกวียน บอกแล้วงานแต่