บทที่ 1 เมื่อผมตาย และได้เกิดใหม่
งานแต่งงานของผมและพี่ปราชญ์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวพงษ์พัฒน์ แต่ไม่ใช่กับผมที่ไม่อยากให้งานแต่งงานนี้เกิดขึ้น ผมร้องไห้อ้อนวอนขอร้องให้พี่ปราชญ์ถอนคำพูด บอกทุกคนว่ามันไม่จริง แต่พี่ปราชญ์พูดแค่ว่า
“พี่ปราชญ์พัชขอล่ะ พี่ไปบอกทุกคนได้ไหมว่าสิ่งที่พี่พูดมันไม่จริงๆ พัชขอร้อง”
“แต่น้องพัช พี่รักเรานะ เป็นพี่ไม่ได้หรือ? พี่สัญญาจะว่าจะดูแลพัชอย่างดี เป็นพี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”
“พี่พูดบ้าอะไร!พัชไม่ได้รักพี่ พัชรักพี่ปรัช พี่ได้ยินไหม?!”
“พัช.....”
และใช่ พี่ปราชญ์รักผม แต่ผมไม่ได้รักพี่ปราชญ์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนั้น ตอนที่ผมกำลังบ้าคลั่งเรื่องงานแต่งงานกับพี่ปรัช วันงานผมไม่มีความสุขเลย แต่ที่ต้องแต่งเพราะเป็นครั้งแรกที่ป๊าร้องไห้และบอกให้ผมรักษาเกียรติของตัวเอง ผมจึงจำต้องแต่งกับพี่ปราชญ์อย่างช่วยไม่ได้ และคืนวันแต่งงานผมดื่มจนตัวเองขาดสติอีกครั้งเพราะความผิดหวัง และความเสียใจ จนมีอะไรกับพี่ปราชญ์อีกครั้ง และเช้าวันต่อมาผมก็ไล่พี่ปราชญ์ออกจากบ้านของตัวเองอีกครั้ง ใช่ เรือนหอที่ผมควรได้อยู่กับพี่ปรัช กลับเป็นพี่ปราชญ์ที่ผมต้องอยู่ด้วย คุณลองคิดดูสิว่าผมจะต้องรู้สึกทรมานมากแค่ไหนที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก? แต่คนที่ทรมานที่สุดน่าจะเป็นพี่ปราชญ์ที่ต้องอยู่กับคนที่รักแต่ไม่ได้รักตัวเอง
และในอีกเดือนต่อมาผมก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ คราแรกผมต้องการเอาเด็กออก แต่พี่ปราชญ์รู้ทันเลยซ้อนแผนผม พาออกมาจากคลินิกทำแท้งได้ทันเวลา ผมร้องไห้ที่แผนตัวเองไม่สำเร็จ เพราะพี่ปราชญ์บอกป๊าเรื่องที่ผมไปทำแท้งลูก ป๊าตบหน้าผมเป็นครั้งแรกเพื่อเรียกสติ แต่ตอนนั้นในหัวของผมมีเพียงแค่ผมไม่อยากท้องลูกของพี่ปราชญ์ ผมเลยเกรี้ยวกราดอาละวาดลั่นบ้านเพื่อระบายอารมณ์ และคนที่รับทุกอย่างไปทั้งหมดคือพี่ปราชญ์ที่ต้องทนรองรับอารมณ์ของผมในตอนนั้น จนกระทั่งผมคลอด ผมไม่แม้แต่มองหน้าลูก มีเพียงพี่ปราชญ์ที่เลี้ยงดูลูก และตอนนั้นผมจ้างนักสืบอย่างลับๆ เพื่อสืบหาว่าคนที่พี่ปรัชไปทำใครท้องเป็นใครแทน
และผมก็ได้รู้ว่าคนคนนั้นคือเลขาที่ลาออกไปก่อนหน้านั้น ณินิน เลขาที่มีเพศพิเศษเหมือนกันกับผม เลขาคนนั้นที่ผมหวาดระแวง และทุกอย่างเป็นเรื่องจริงเมื่อผมเห็นภาพครอบครัวสามคนของพวกเขา ผมก็เหมือนคนบ้าตามไปอาละวาดจนเด็กตกใจร้องไห้โฮจนไข้ขึ้น พี่ปรัชต่อว่าผมเสียๆ หายๆ ท่ามกลางเสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารกคนนั้น ตอนนั้นเป็นพี่ปราชญ์ที่เข้ามารับผม โอบกอดผมเอาไว้ และขอโทษพี่ปรัชและภรรยาแทนผม และผมก็เอาความโกรธทั้งหมดไปลงกับพี่ปราชญ์
“มันเป็นเพราะพี่!ถ้าวันนั้นพี่ไม่พูดบ้าๆ ออกไปตอนนี้ครอบครัวตรงหน้านั้นคงเป็นผมกับพี่ปรัช!ผมเกลียดพี่!”
ผมตะโกนด่าทอพี่ปราชญ์ทั้งน้ำตา แต่พี่ปราชญ์ในตอนนั้นทำเพียงกอดผมไว้ กอดแน่นมาก และเอาแต่บอกว่า
“ครับ เป็นเพราะพี่เอง พี่ผิดเอง น้องพัชไม่ร้องไห้แล้วนะครับ พี่ขอโทษ”
ดูสิว่าคนที่แสนดีขนาดนี้แต่ผมก็ยังตาบอดมองไม่เห็น เหมือนคนบ้าเลยนะว่าไหม? และตั้งแต่วันนั้นผมก็สงบลง พี่ปราชญ์ดูพยายามสานสัมพันธ์ผมกับน้องโปรดลูกชายผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์ แต่มีเพียงผมที่ปล่อยผ่านและว่างเปล่า จนกระทั่งพี่ปรัชประกาศแต่งงาน ผมเหมือนคนบ้าที่ไม่ปล่อยวางอีกครั้ง วิ่งโร่เข้าไปทำลายงานแต่งงานพี่ปรัช นักข่าวทำข่าวมากมาย ผมกรีดร้องด่าทอว่าณินินแย่งพี่ปรัชไปจากผม และเป็นครั้งแรกที่ผมโดนพี่ปราชญ์ตบหน้า
“เลิกบ้าได้แล้วพัช!!!”
“พี่ตีพัชหรือ?!!!!”
“ไม่ คือพี่ขอโทษ พัช พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่-”
เพี๊ยะ
“อย่ามาตีพัชนะพี่ไม่มีสิทธิ์!!!!!”
แล้วงานแต่งของพี่ปรัชก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะผมทำลายงานแต่งงานของเจ้าตัว ผมโดนป๊าและพี่ปราชญ์ขังเอาไว้ให้หายบ้าให้ใจเย็นลง แต่ตอนนั้นผมเหมือนคนบ้างมงาย เชื่อว่าตัวเองรักพี่ปรัชจนจะเป็นจะตาย จนกระทั่งวันนั้น วันที่พี่ปราชญ์ออกไปทำงานด่วนกะทันหัน ทิ้งลูกไว้กับผมและแม่บ้าน แต่น้องโปรดกลับร้องไห้งอแงไม่หยุด ผมยกมือขึ้นระบายอารมณ์ที่อัดอั้นมาทั้งหมดลงกับลูก ผมตีลูก ผมมันเลวที่ทำแบบนั้นลงไป แต่โชคดีที่แม่บ้านเข้ามาเห็น และพาน้องโปรดออกไปจากหมาบ้าแบบผม และรายงานเรื่องที่ผมตีน้องโปรดกับพี่ปราชญ์ พี่ปราชญ์ทิ้งงานทุกอย่างกลับบ้านมาหาผม และทะเลาะกับผมยกใหญ่
และเราก็ทะเลาะกันเรื่อยมา ชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข เพราะมีแต่ผมที่ทำพัง มีแต่ผมที่ยึดติด และมีแต่ผมที่ไม่ปล่อยวาง ถ้าวันนั้นผมเลือกพี่ปราชญ์ครอบครัวของเราจะมีความสุขมากกว่านั้นหรือเปล่า?
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ลูกพูดได้ และคำแรกที่เขาเลือกพูดคือคำว่า ‘มามา’ แม้ผมจะพยายามไม่สนใจ แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจก็ดีใจที่ลูกเรียกผมเป็นคนแรก แต่ทิฐิและอคติที่ผมมีต่อพี่ปราชญ์ทำให้ผมไม่ได้ยินดีกับความสำเร็จนั้นของลูก และเฝ้ารอคนที่ไม่มีความหวังต่อไป เหมือนคนบ้า....
จนกระทั่งงานแต่งงานของพี่ปรัชจัดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ผมเหมือนหมาบ้าของจริง ผมขับรถชนณินินระหว่างลงจากรถเดินเข้าโรงแรม ผมกรีดร้อง สะใจ ที่ณินินอาการโคม่าเกือบตาย ป๊าและพี่ปราชญ์พยายามช่วยผมทุกวิถีทาง แต่พี่ปรัชไม่ยอมความต้องการเอาผมเข้าคุกให้ได้ และเพราะแบบนั้นพี่ปรัชและพี่ปราชญ์ถึงกับแตกหักเพื่อผม แต่ผมก็ยังคงไม่สำนึก และโหยหาอ้อมกอดจากพี่ปรัชเหมือนคนบ้า จนกระทั่งพ่อแม่ของพี่ปราชญ์และพี่ปรัชยื่นมือเข้ามาขอร้องอีกคน ขอให้เรื่องทั้งหมดให้แล้วไปแล้ว ขอให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องกลับมาเหมือนเดิม ขอให้พี่ปรัชไม่เอาเรื่องผม ขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี พี่ปรัชจึงเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อลง แต่เป็นผมที่ไม่ยอมปล่อยพี่ปรัชไป เพียงแค่เพราะเพื่อนของผมที่ชื่อ ‘น้ำเหนือ’ พูดเอาไว้ว่า
“เอาจริงๆ นะ พี่ปราชญ์ก็แค่กาฝากหรือเปล่า? แค่ลูกบุญธรรม? ทุกวันนี้ยังทำงานให้น้องชายตัวเองงกๆ โชคดีแล้วที่แกได้หมั้นกับพี่ปรัช ไม่อย่างนั้นคงเสียหน้าแย่ที่ต้องมาหมั้นหรือแต่งงานกับกาฝาก”
ประโยคนี้มันฝังหัวผม ผมไม่อยากได้สามีที่มีตำแหน่งด้อยกว่าคนอื่น ไม่อยากได้สามีที่ไม่ได้หน้าตาดีหรือหล่อเหลาที่สุด ผมไม่ได้อยากได้สามีที่มีต้นกำเนิดที่ด้อยกว่าตัวเอง ผมไม่อยากได้พี่ปราชญ์เป็นสามี
แต่เป็นผมเองที่ทำผิด เป็นผมเองที่ไม่เคยมองเห็นค่าหรือความหวังดีที่พี่ปราชญ์มีให้ผมเลย วันนั้นผมไปงานเลี้ยงรุ่นเพียงลำพัง เจอกับน้ำเหนือ และเจ้าตัวก็พูดด้วยเสียงราบเรียบปกติกึ่งเย้ยหยันกับผมว่า
“ได้ยินว่าทุกวันนี้สามีแกก็ยังทำงานให้น้องชายตัวเองงกๆ เหมือนขี้ค่านี่ รู้สึกยังไงบ้างที่แต่งงานกับกาฝาก?”
“ไม่เรียกกาฝากสิ ต้องเรียกว่าเกาะเมียตัวเองกินไหม? ขนาดเรือนหอก็ได้ยินว่าเป็นของพัชนี่?”
“นั่นสิ เจ้าตัวมีอะไรเป็นของตัวเองบ้าง? แต่งงานเข้าบ้านเมียตัวเปล่า เป็นหนูตกถังข้าวสารชัดๆ ฮ่าๆ ”
“ใช่ๆ พูดถูก”
ผมอับอาย และไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายอีก หรือคนอื่นๆ แต่หนีออกมาจากงานเลี้ยงรุ่นที่ทุกคนรุมประณามผม เหมือนผมไปทำอะไรผิด เพราะทุกคนเอาแต่ล้อเลียนผมเรื่องพี่ปราชญ์ และเพราะความอับอายและกรุ่นโกรธ ผมจึงประสบอุบัติเหตุพิการช่วงล่างจนเดินไม่ได้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงอย่างน่าสงสาร
เพื่อนที่เคยมี หรือคนที่เคยคิดว่าเห็นค่าก็ไม่เห็นค่าผม เหลือเพียงป๊า กับพี่ปราชญ์ที่อยู่ข้างๆ ผม พี่ปราชญ์ที่ต้องดูแลเมียพิการติดเตียง พี่ปราชญ์ที่ต้องทนอยู่กับเมียที่ไม่ได้เรื่องอย่างผม คนที่หาเรื่องมาให้ตัวเองไม่เว้นวัน พี่ปราชญ์คนนั้นที่รักผมมากกว่าใคร กว่าผมจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ปราชญ์ก็เสียแล้ว ใช่ พี่ปราชญ์ตาย เพราะถูกรถชนขณะวิ่งออกไปซื้อของโปรดของผมระหว่างทางกลับไปโรงพยาบาล แม้แต่งานศพของพี่ปราชญ์ผมก็ยังไม่ได้ไป ผมนอนร้องไห้จะเป็นจะตายบนเตียง แต่ไปหาพี่ปราชญ์ไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวว่าสูญเสียอะไรไป พี่ปราชญ์ก็หายไปแล้ว
และเพราะแบบนั้นหลังวันตายของพี่ปราชญ์คนที่เข้ามาหาผมคือณินิน เจ้าตัวเข้ามาหาผมพร้อมพวงหรีด เจ้าตัวยกยิ้มแล้วปรบมือพลางเอ่ยเล่าว่าตัวเองลำบากแค่ไหนกว่าจะพิชิตใจของพี่ปรัชได้ และลำบากแค่ไหนกับการยุยงให้พี่ปราชญ์ยอมรับว่าตัวเองมีอะไรกับผมจนได้แต่งงานกัน เป็นฝีมือของณินินทั้งหมด เจ้าตัวปรบมือและฉลองความสำเร็จเมื่อเห็นว่าผมพ่ายแพ้ยับเยินแค่ไหน แถมยังพูดส่งท้ายเอาไว้อีกว่า
“รู้สึกยังไงบ้างที่ตอนนี้ไม่เหลืออะไรเลย?”
ผมกรีดร้องเหมือนคนบ้า อาละวาดเพื่อระบายอารมณ์ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดลงมาจากหน้าต่างเพราะทนความอัปยศในใจที่โดนแย่งชิงทุกอย่างไปไม่ได้ จบชีวิตอย่างโง่ๆ เหมือนคนโง่ งี่เง่า ไม่รู้จักคิด กว่าจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปที่โง่งมมากมายแค่ไหน ผมก็ตายไปแล้ว ต้องทนเห็นป๊าร้องไห้เสียใจ ทนเห็นลูกชายเติบโตมาท่ามกลางการขาดความรัก ทนเห็นว่าณินินกับพี่ปรัชใช้ชีวิตมีความสุขด้วยกันอย่างสุขสบายใจแค่ไหน และสุดท้ายต้องทนเห็นลูกชายที่ขาดความรักเดินทางผิด ติดยาและตายไปเพราะเสพยาเกินขนาด โดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้เพียงยืนมองเหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าเกิดขึ้น
ยืนมองป๊าร้องไห้ขาดใจแค่ไหนกับการตายของหลานชายเพียงคนเดียว ผมต้องทนเห็นป๊าร้องไห้เพราะผมอีกนานไหน อยากกอดป๊าใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ ผมทำได้เพียงยืนมองเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้น ยืนมองว่าพี่ปรัชและณินินใช้ชีวิตมีความสุขด้วยกันมากแค่ไหน มันเหมือนกับนี่คือสิ่งที่กำลังลงโทษผม ลงโทษกับความผิดที่ผมก่อขึ้น ผมต้องทนมองเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นซ้ำๆ ทนมองมันจนสุดท้ายผมก็ฟูมฟายแต่เหตุการณ์พวกนั้นยังวนมาเกิดขึ้นไม่หยุด เกิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนมันเริ่มแปรเปลี่ยนจากความเสียใจ เป็นความเคียดแค้น แค้นต่อณินินที่ทำให้ชีวิตผมพัง แค้นต่อตัวเองที่โง่งมงายในความรัก แค้นต่อโชคชะตาบ้าๆ ที่เกิดขึ้น
และเพราะแบบนั้น จู่ๆ ผมก็ได้รู้ รู้ว่าจริงๆ แล้วชีวิตของผมเป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น ณินิน ได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่ในโลกนั้น ได้รู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น ได้ทำนายเรื่องหุ้น และการเงินต่างๆ จนได้เส้นสายมากมาย จนสามารถเข้าทำงานเป็นเลขาของพี่ปรัชได้ และได้แย่งชิงเอาคนรักในฝันอย่างพี่ปรัชของใครหลายคนไปครอง และเพราะแบบนั้นผมจึงโกรธ โกรธที่ทำไมณินินต้องทำกับผมแบบนั้น? หรือแค่เพียงเพราะมันเป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่มีคนสร้างขึ้นมาอย่างไรก็ได้?
ไม่ ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ผมจะไม่ยอมให้เรื่องราวบัดซบพวกนั้นเกิดขึ้น!!!
ผมจะทำให้ดีกว่าเดิม ผมจะเลือกและรักพี่ปราชญ์ที่แสนดีกว่าใคร ผมจะรักลูกและดูแลเขาทุกก้าวที่เติบโต ผมจะทำ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ถ้าผมมีโอกาสอีกครั้ง ผมสัญญา ว่าผมจะทำ ผมจะต้องทำมันให้ได้!!!
“ใช่ครับ ผมกับน้องพัชเรามีอะไรกันแล้ว”
“อะไรนะ” เสียงของป๊า? เดี๋ยวนะ ประโยคเมื่อกี้ ผมกะพริบตาก็พบว่าที่นี่เป็นบ้านของพิพิศภักดี? ผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ผมกะพริบตามองหน้าป๊าที่หน้าซีดเผือดมองผมสลับกับพี่ปราชญ์? เดี๋ยวนะ พี่ปราชญ์?
“พี่ปราชญ์?” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา ก่อนที่พี่ปราชญ์จะมองผม แล้วเอ่ยด้วยเสียงประหลาดใจว่า
“ครับน้องพัช?” พี่ปราชญ์เอ่ยพลางมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมที่กำลังยืนขึ้นส่ายหน้า ก่อนจะกะพริบตา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบาว่า
“เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะครับ?” ผมแอบเห็นว่าใบหูพี่ปราชญ์ขึ้นสีแดง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยด้วยเสียงอึกอักว่า
“พี่ เอ่อ ผมกับน้องพัช เรา เรามีอะไรกันแล้วครับ”
“รู้แล้ว!!!” ป๊าตบเข่าฉาดก่อนจะชี้หน้าพี่ปราชาญ์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่อดทนว่า “อั๊วได้ยินแล้วลื้อจะย้ำทำไมอาปราชญ์!!”
“ก็น้องพัช.....” ผมมองป๊ากับพี่ปราชญ์สลับกัน ก่อนจะหลุดหัวเราะ ใช่ ผมหัวเราะ หัวเราะออกมาท่ามกลางคนหมู่มากนั่นแหละ
“ฮ่าๆ ” ผมหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่ป๊าจะเข้ามาจับตัวผมแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงไม่สบายใจว่า
“ลื้อเป็นอารายอาพัช ทำไมจู่ๆ หัวเราะออกมาแบบนี้!” ผมสวมกอดป๊าแน่น ก่อนจะหัวเราะออกมา ป๊าตกใจกับท่าทางแปลกๆ ของผมก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงไม่แน่ใจว่า “อาพัชลื้อเป็นอาราย?” ผมหัวเราะ ก่อนจะผละออกแล้วหอมแก้มป๊าสองฟอดทำเอาป๊ามองผมงงๆ ว่าผมเป็นบ้าอะไร ก่อนที่ผมจะมองไปทางพี่ปราชญ์ที่มองผมตาปริบๆ ผมมองพี่ปราชญ์ที่สวมแว่นหนาเตอะ ผมหวีเรียบแปล้ สวมเสื้อผ้าสุดเชยด้วยสายตาอ่อนลง ก่อนจะเงยหน้าสบตากับพี่ปรัชที่รื้อเรื่องของผมกับพี่ปราชญ์ขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่สลดกับสิ่งที่พี่ปราชญ์เอ่ยขึ้น
“ใช่ครับ ผมกับพี่ปราชญ์เราเป็นผัวเมียกันแล้ว เป็นมานานแล้วด้วย!”
“โอ๊ย อาพัช ป๊าจะเป็นลม!!!” ป๊าที่ได้ยินผมยอมรับก็ทรุดตัวลงเหมือนจะเป็นลมจนพี่ปราชญ์ต้องเข้าไปพยุง
“น้องพัช?” ก่อนที่พี่ปรัชที่ได้ยินจะเรียกชื่อผมเหมือนสับสน ผมยกยิ้มก่อนจะเดินไปตรงหน้าพี่ปรัชแล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า
“ถ้าอย่านั้นเรื่องที่พี่ไปทำคนอื่นท้อง กับเรื่องที่ผมไปมีอะไรกับคนอื่นก็ถือว่าเจ๊ากันไปนะครับ ให้งานหมั้นของเรามันยกเลิกไปเลย” เมื่อได้ยินสีหน้าของพี่ปรัชก็มองผมแปลกๆ คงแปลกใจที่ผมไม่อาละวาด แต่ช่วยไม่ได้ที่ผมไม่ได้ต้องการอาละวาด แต่ต้องการทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ผมหันหน้าไปหาพี่ปราชญ์ที่กำลังหยิบเอายาดมมาวนเวียนที่จมูกป๊า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงปกติว่า “ในเมื่อเราได้เสียกันแล้วพี่ปราชญ์จะแต่งงานกับพัชไหมครับ?” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็ขยับแว่นก่อนจะเบิกตากว้างมองผม แล้วรีบเอ่ยด้วยเสียงละล่ำละลักว่า
“ครับ แต่งครับ พี่แต่งแน่นอน!” ผมยกยิ้มก่อนจะหันไปมองคุณลุงคุณป้า หรือพ่อแม่บุญธรรมของพี่ปราชญ์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่ลดลงว่า
“ถ้าอย่างนั้นเป็นเดือนหน้าเลยได้ไหมครับคุณลุงคุณป้า งานแต่งงานของผมกับพี่ปราชญ์นะ?” เมื่อได้ยินทั้งคู่ก็มองหน้ากัน ก่อนจะมองลูกชายอย่างปรัชที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก และเพราะแบบนั้นผมเลยย้ำจุดเจ็บของพี่ปรัชอีกรอบไปว่า “อย่างไรเสียพี่ปรัชก็ไปทำคนอื่นท้องจนจะเป็นพ่อคนอยู่แล้ว ส่วนผมเองก็ได้เสียกับพี่ปราชญ์แล้ว ทำไมไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนล่ะครับ ให้ผมยกเลิกหมั้นกับพี่ปรัช และแต่งงานกับพี่ปราชญ์แทน?”
“นี่ เรื่องนี้.....” พ่อแม่ของพี่ปรัชอ้ำอึ้งก่อนจะมองหน้ากันเอง ส่วนพี่ปรัชที่โดนย้ำจุดเจ็บก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว ต่างจากผมที่ยกยิ้มไม่ทุกข์ร้อน ไม่เหวี่ยงวีน และยินดีที่จะแต่งงานกับพี่ปราชญ์อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ผมกอดอกเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบว่า
“คุณลุงคุณป้าไม่ต้องคืนสินหมั้นนะครับ เดี๋ยวพัชจะเพิ่มสินสอดตอนแต่งกับพี่ปราชญ์อีกเท่าหนึ่งด้วย”
“โอ๊ยอาพัช ป๊าจะเป็นลมแล้วจริงๆ นะ!!!” แล้วผมก็ยกยิ้มก่อนจะเข้าไปกอดป๊า แล้วกระซิบข้างหูป๊าว่า
“ทำไมครับ ป๊าไม่อยากให้พัชแต่งกับพี่ปราชญ์หรือ? พัชรู้นะว่าป๊าอยากได้พี่ปราชญ์เป็นลูกเขยมากกว่านะ?”
“อาพัช!!!!” แล้วเรื่องราววันนั้นก็จบลงที่ผมได้ยกเลิกหมั้นกับพี่ปรัช และได้แต่งงานกับพี่ปราชญ์ในเดือนหน้าสมใจ ใช่ สมใจทั้งผมและพี่ปรัช..........
+++++
Lady Zombie
26/10/67
บทสุดท้าย เมื่อผมกลายเป็นภรรยาและหม่าม้าที่ดีเข้าเดือนเมษายนที่แสนร้อนระอุ เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆ และเป็นปีที่เจ้าแฝดต้องเข้าเรียนด้วย เราเลยตกลงกันว่าจะพาเด็กๆ ไปที่ทะเลในช่วงนี้แทน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วุ่นวายจึงเกิดขึ้น ผมนั่งเก็บกระเป๋าให้ตัวเองและพี่ปราชญ์ในห้อง แต่เด็กๆ วิ่งเข้ามาทีละคนแล้วชูของในมืออย่างอารมณ์ดีพลางถามว่า“หม่าม้าโปรดเอากางเกงในสีเหลืองเป็ดไปได้ไหม?”“หม่าม้าเปลี่ยมเอารองเท้าผ้าใบคู่นี้ไปด้วยได้ไหม?”“หม่าม้าปลื้มไม่รู้จะเอาอะไรไป หม่ามาเก็บกระเป๋าให้ปลื้มได้ไหมครับ?”“หม่าม้าปกเอาของเล่นไปด้วยได้ไหม?”“ปักษ์เอาคุณเสือไปด้วยนะหม่าม้า”“.....................” นั่นแหละครับ ผมเลยทำได้เพียงต้อนเด็กๆ กลับห้องแล้วเก็บกระเป๋าให้ทีละคน พลางคิดในใจว่าเมื่อไรจะเปิดเทอม!! ก่อนจะเดินเข้าไปเก็บของให้น้องปันเป็นคนสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไปเก็บกระเป๋า ก่อนที่เสียงรถยนต์จะทำให้เด็กๆ วิ่งกรูกันลงไปข้างล่างพลางส่งเสียงดังไปตลอดทางว่า“พ่อมาแล้วววววววววว”ผมนวดขมับ ก่อนจะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋าแล้วเดินลงไปข้างล่าง ทันเห็นว่าพี่ปราชญ์กำลังถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลังวุ่นวายไปหมด
บทที่ 19 เมื่อผมได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่รักผมมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ จำได้ว่าเพิ่งนั่งรถกลับบ้านหลังไปส่งเด็กๆ ที่โรงเรียน? แล้วทำไมผมกลับมาที่บ้านได้? ผมก้าวเดินไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะพบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายผมกำลังนั่งที่เก้าอี้โยกในห้องนั่งเล่น เธอนั่งลูบท้องในขณะที่กำลังยกยิ้มพลางฮัมเพลงในลำคอ ก่อนจะเงยหน้าหันมามองผมแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “สวัสดีค่ะน้องพัช” เมื่อได้ยินผมรู้สึกสั่นไหวในใจ ก่อนจะก้าวขาไปหาอีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนพื้นตรงขาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหวว่า“ม้า?” ผู้หญิงที่ผมมักจะเห็นในรูปยกยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาว่า“ค่ะ หม่าม้าดีใจนะคะที่ได้เห็นน้องพัชมีความสุข” ผมเม้มปากน้ำตาคลอ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกลั้นน้ำตาว่า“แต่พัชจะมีความสุขกว่านี้ถ้าม้าอยู่กับพัชด้วย” หม่าม้ายกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า“ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่หม่าม้าเฝ้ามองน้องพัชมาตลอดเลยนะคะ” ผมเงยหน้ามองหม่าม้า ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า“ถ้าอย่างนั้นหม่าม้าก็คงเห็นว่าพัชเป็นคนดีใช่ไหมครับ?” เมื่อ
บทที่ 18 เมื่อผมต้องไปงานแข่งกีฬาสีโรงเรียนของลูกปีนี้น้องโปรดขึ้นชั้นป.1 แล้ว แน่นอนว่ามีกิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ งานกีฬาสีที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน น้องโปรดแข่งวิ่ง 100 เมตร กับวิ่งผลัด และลงแข่งฟุตบอลตัวสำรองด้วย วันเวลาที่ผ่านมาผมมองเห็นได้ว่าน้องโปรดตั้งใจมากกับงานกีฬาสีครั้งแรกนี้ของตัวเอง ส่วนเด็กๆ คนอื่นก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างดีด้วยความรักของผมและพี่ปราชญ์ น้องปลื้มอายุได้ 5 ขวบตอนี้ขึ้นอนุบาลหนึ่ง น้องเปลี่ยม 3 ขวบ และเจ้าแฝด 1 ขวบ ส่วนพี่ปราชญ์กับผมก็มีความสุขดีครับ วันนี้เป็นวันศุกร์กีฬาสีจัดขึ้นวันแรก ผมในฐานะหม่าม้าจึงขนเด็กๆ และพี่ปราชญ์มาให้กำลังใจน้องโปรด ที่โรงเรียน “ปก ปักษ์อย่าดิ้นครับ” พี่ปราชญ์ที่อุ้มลูกชายสองคนไว้ในมือเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าแฝดพยายามจะดิ้นออกจากพี่ปราชญ์“หาพี่” น้องปกเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่น้องโปรดที่กำลังเดินขบวน ก่อนที่น้องปักษ์จะเบะปากแล้วเอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจนนักว่า“พี่โปด หาพี่โปด” พี่ปราชญ์เลยต้องปลอบเจ้าแฝดยกใหญ่ น้องปลื้มหยิบเอาป้ายกระดาษแข็งที่นั่งวาดหลายวันมานี้ขึ้นชู แล้วมีน้องเปลี่ยมเอ่ยเสียงดังเป็นลำโพงเล็กๆ ว่า“พี่โปรดฉู้ๆ พี่โปรด!!!” ผม
บทที่ 17 เมื่อผมคลอดลูกแฝดหลังสงกรานต์ผมเตรียมตัวซื้อเสื้อผ้าให้น้องปลื้มเพื่อเตรียมไปโรงเรียนเดือนหน้านี้ ส่วนน้องโปรดกำลังขึ้นอนุบาลสอง ผมซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้น้องโปรดอีกชุด เพราะชุดเก่าเจ้าตัวคับแน่นไปหน่อย ช่วยไม่ได้ที่น้องโปรดกำลังโตก็แบบนี้ เนื่องด้วยผมท้องลูกแฝดท้องจึงใหญ่กว่าปกติจนน่ากลัว ผมเลยเคลื่อนไหวน้อยมาก และโชคดีที่มีพี่นิ้งคอยดูเด็กๆ ในช่วงนี้ เดือนเมษายนไม่มีอะไรมากไปกว่าความซนของเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเปิดเทอมในเดือนต่อมา น้องโปรดและน้องปลื้มต้องไปโรงเรียน แน่นอนว่าวันแรกผมอยากไปส่งลูกที่โรงเรียน แต่เพราะหน้าท้องที่ใหญ่มากทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ผมจึงทำได้เพียงมองป๊าพาเด็กๆ ไปส่งที่โรงเรียนแทน“บ๊ายบ่ายฮะหม่าม้า” น้องปลื้มพูดพลางกลั้นน้ำตาสุดชีวิต ผมเดินไปลูบหัวก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงปลอบโยนว่า“เดี๋ยวพี่โปรดไปส่งที่ห้องนะครับ น้องปลื้มไม่ต้องร้องนะ” น้องโปรดเข้ามากอดน้องปลื้มก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอารมณ์ดีว่า“เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเรียนน้าน้องปลื้ม”“อื้ม” น้องปลื้มปาดน้ำตา ก่อนจะยกยิ้มจับมือพี่ชายเดินขึ้นรถตู้ตามด้วยป๊าที่อารมณ์ดีทำหน้าที่ไปส่งหลาน พี่ปราชญ์ไปทำงานตั้ง
บทที่ 16 เมื่อผมกำลังทำลูกกับพี่ปราชญ์ตามธรรมชาติ“อ๊ะ อ๊า.....” ผมกรีดร้องเสียงดังเมื่อพี่ปราชญ์จับไหล่ผม แล้วดึงไปข้างหลัง พลางกระแทกกระทั้นเข้ามาในตัวผมอย่างรุนแรง ผมนัยน์ตาพร่ามัวก้มหน้าลงยันแขนกับเตียง ก่อนจะกรีดร้องเมื่อแก่นกายของพี่ปราชญ์เข้ามากระแทกย้ำๆ ที่ปากมดลูกจนผมเสียวไปทั้งตัว ก่อนจะปล่อยออกมารอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผมตัวอ่อนเหลวไปกับเตียง ก่อนที่แก่นกายของพี่ปราชญ์จะหลุดออกจากช่องทางของผม จนน้ำด้านในไหลทะลักออกมาข้างนอก ผมนอนหอบหายใจเสียงดัง ก่อนจะถูกพี่ปราชญ์พลิกตัวกลับมานอนหงาย “พี่ปราชญ์?” ผมเอ่ยเรียกพี่ปราชญ์เสียงเบา เมื่ออีกฝ่ายจับขาผมพาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนจะถูไถแก่นกายที่กำลังอ่อนตัวที่ปากทางของผมที่กำลังอ้าออก เพราะหุบไม่ลง“อีกรอบนะคะเผื่อลูกไม่ติด” ผมเม้มปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนไปว่า“จูบพัชหน่อย” เมื่อได้ยินพี่ปราชญ์ก็ก้มลงจูบผมก่อนจะค่อยๆ สอดแก่นกายที่กำลังแข็งตัวเข้ามาในร่างกายของอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ “อื้อ” ผมร้องครางพลางหลับตาก่อนจะหมดสติไปเพราะความอ่อนเพลีย แล้วผมก็ไม่รู้แล้วว่าต่อจากนั้นพี่ปราชญ์ทำอะไรต่อ เพราะหลับไปตื่
บทที่ 15 เมื่อผมต้องดูแลพี่ปราชญ์“คนไข้ดูเหมือนจะมีบุคลิกแตกแยกครับ” ผมมองหน้าหมออย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเม้มปากกอดตัวเอง แน่นแล้วเอ่ยถามเสียงสั่นว่า“หมายถึงพี่ปราชญ์อีกคนหรือครับ?” คุณหมอพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“จากการส่งตรวจเอกซเรย์สมองพบว่าคนไข้ปกติดีครับ แต่จากการสอบถามทางจิตวิทยาพบว่าคนไข้เหมือนจะแตกแยกบุคลิกออกมาอีกหนึ่งบุคลิกครับ หมอสงสัยว่าอาจจะเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงส่งผลให้ส่วนของความจำและบุคลิกมีปัญหา เลยทำให้คนไข้สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง....”“ถ้าอย่างนั้นมีโอกาสหายไหมครับ?” ผมเอ่ยถามหมอเสียงเครือ พลางปาดน้ำตาออกจากหางตา“แน่นอนครับ แต่ญาติต้องอดทนหน่อยนะครับ เพราะดูเหมือนเรื่องราวที่คนไข้สร้างขึ้นมาจะเป็นในแง่ลบทั้งสิ้นส่งผลให้จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิด”“ครับ” ผมเอ่ยเสียงตอบรับก่อนจะพูดคุยอีกนิดหน่อยก็ออกมา แล้วเดินกลับที่ห้องพักของพี่ปราชญ์ พอเข้าไปเจ้าตัวกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างในไอแพด ก่อนจะกดปิดหน้าจอฯ เมื่อเห็นผมเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า“หมอว่าอย่างไรบ้าง?” ผมเม้มปากกลั้นน้ำตา เพราะความเย็นชาห่างเหินที่พี่ปราชญ